กาลเวลาไม่หยุดหมุนเวียน ท่าทางพวกผู้เข้าสอบด้านนอกหอยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง ความหวาดกลัวในแววตายิ่งนานยิ่งมากขึ้น ไม่รู้ว่าการต่อสู้สนามนี้เมื่อใดถึงจะแยกออกว่าผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ หลังจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยจากไปแล้ว โก่วหานสือกับเจ๋อซิ่วก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งในสนามที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะมองอย่างไร การต่อสู้ในสนามนี้ต่างก็ไม่ควรจะดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลานานเช่นนี้
การต่อสู้สนามนี้เวลาล่วงเลยมายาวนาน ไม่เหมือนดังเช่นการต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว เสียงในหอชำระธุลีส่งเสียงดังออกมาไม่ขาดสาย บางคราประหนึ่งหิมะ บางคราประหนึ่งคลื่นยักษ์โหมตีบนท้องฟ้า ท้องฟ้าสีครามมีปุยเมฆงดงามปรากฏบ่อยครั้ง นั่นเป็นภาพที่โลกใบเล็กถูกพลังปราณแท้รบกวน เสียงและภาพเหล่านี้ล้วนพิสูจน์ได้ว่าการต่อสู้เวลานี้ดุเดือดเพียงใด
ด้านนอกหอชำระธุลีเงียบสงัด ผู้คนต่างพากันจ้องประตูใหญ่ที่ปิดแน่น ฟังเสียงที่ดังออกมาจากข้างใน ในใจตื่นเต้นยิ่ง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างในแท้จริงเป็นอย่างไร หลังจากเวลาล่วงมาครึ่งชั่วยาม บนใบหน้าของลูกศิษย์ทั้งสามของพรรคกระบี่หลีซานใบหน้ามิได้เผยความกังวลใจใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากประโยคนั้นที่ถังซานสือลิ่วคุยกับเฉินฉางเซิง ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ท่าทางยิ่งนานยิ่งหนักอึ้ง ดวงตายิ่งนานยิ่งจริงจัง ยืนยิ่งนานยิ่งตั้งตรง คล้ายกับว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อบางคน
เวลาล่วงมาครึ่งชั่วยามแล้ว การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป เซวียนหยวนผ้อจ้องมองถังซานสือลิ่ว พลางเอ่ยถาม “เจ้ารู้อะไร คงจะไม่เกิดเรื่องใช่หรือไม่”
หลังจากถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยตอบ “เจ้าลูกสุนัขป่ากำลังสู้อย่างสุดชีวิต”
การต่อสู้รอบก่อนหน้านี้ เจ๋อซิ่วหยิบธนบัตร พยักหน้าพึงพอใจ แสดงว่าตนจะต่อสู้ให้ดี เขาจึงต่อสู้กับหนุ่มน้อยศิษย์สำนักเด็ดดาราจนถูกส่งไปตำหนักฝึกฝน ก่อนการต่อสู้รอบนี้เขามิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ในความเป็นจริงพิสูจน์ได้แล้วว่าเขากำลังพยายามสุดชีวิต
การต่อสู้มีหลากหลายวิธี ต่อสู้ให้ดีเป็นอีกวิธีหนึ่ง ต่อสู้จนสุดชีวิตก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง
เจ๋อซิ่วไม่ว่าจะแข็งแกร่งอีกเพียงใด สุดท้ายก็ไม่อาจเหนือกว่าโก่วหานสือที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ถ้าหากไม่ใช้พลังทั้งหมดไปต่อสู้ แล้วจะยืนหยัดมาเป็นเวลานานเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งมาตลอด
เขาเข้าใจยิ่งว่าเพราะเหตุใดอยู่ๆ ถังซานสือลิ่วถึงเอ่ยกับตนเช่นนั้น
ความแน่วแน่ในการต่อสู้ที่เจ๋อซิ่วแสดงออกมารวมถึงทุ่มเทในการแลกเปลี่ยน แน่นอนว่าธนบัตรเบาบางแผ่นนั้นสามารถซื้อได้ ทหารรับจ้างเริ่มต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต พิสูจน์ได้ว่าเขาต้องการสิ่งนั้นจริงๆ
“สุนัขป่าเป็นสัตว์ที่มีความเด็ดเดี่ยวกับมีความอดทนที่สุด”
ลั่วลั่วได้ยินเสียงในหอชำระธุลีดังบ่อยครั้ง ใบหน้าเล็กปรากฏร่องรอยทนไม่ได้ เอ่ยว่า “ปีนั้นที่ไล่จับสังหารทหารเผ่ามารเป็นครั้งแรกเจ๋อซิ่วเพิ่งจะอายุสิบเอ็ดขวบ ครั้งนั้นเขาไล่กวดทหารเผ่ามาอยู่ที่ทุ่งหิมะที่หนาวเหน็บเป็นเวลาสามเดือน จนกระทั่งสุดท้ายแล้วทหารเผ่ามารผู้นั้นเหนื่อยล้าหมดแรง เขาถึงจับสังหารได้สำเร็จ”
เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิดความทรหดอดทนของเผ่าสุนัขป่าคิดไม่ถึงว่าจะกล้าหาญถึงเพียงนี้
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของเรื่องเกียรติยศภายนอก
หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่ ลั่วลั่วจึงเอ่ยขึ้นต่อ “ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เวลานั้นโรคที่ปกปิดไว้ในร่างกายของเขาก็กำเริบขึ้น บวกกับสิบกว่าวันที่ไม่ได้กินอาหาร ดื่มเพียงแค่น้ำหิมะ สามารถกล่าวได้ว่าห่างจากความตายเพียงแค่ก้าวเดียว ถ้าหากมิใช่ทหารเผ่ามารผู้นั้นยอมแพ้ อาจจะเป็นเขาที่เสียชีวิตก่อน”
ข้างชายป่าทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ
ถังซานสือลิ่วมองประตูใหญ่ที่ปิดสนิทของหอชำระธุลี ความรู้สึกสลับซับซ้อนเอ่ยออกมา “ในพจนานุกรมของลูกสุนัขป่าต่างก็ไม่มีคำว่ายอมแพ้กับกรุณาสองคำนี้ ถ้าหากมิใช่พื้นที่ในหอชำระธุลีมีจำกัด รูปแบบการต่อสู้ถูกควบคุม ให้เขากับโก่วหานสือต่อสู้ในความเป็นความตายอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง ก็ยังไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะยืนหยัดถึงสุดท้าย”
เฉินฉางเซิงจ้องมองหอชำระธุลี เงียบนิ่งไร้คำเอื้อนเอ่ย
ก้อนเมฆเป็นชั้นๆ ในท้องฟ้าสีครามอยู่เหนือหอทรงกลมถูกทำให้แตกกระจายเป็นปุยฝ้าย บ่อยครั้งมีเสียงแหลมร้องคำรามขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเสียงลมกำลังคำราม หรือว่าเสียงสุนัขป่ากำลังตะโกน ทำให้ตื่นตระหนกตกใจ
สายตาร่วงหล่นบนประตู เขาคล้ายกลับว่ามองเห็นด้านในหอ มองเห็นเจ๋อซิ่วที่ใบหน้าไร้ความรู้สึกและโก่วหานสือที่ต่อสู้อย่างสงบนิ่ง โลหิตบนนิ้วมือค่อยๆ ไหลรินอยู่บนพื้น
ยืนอยู่ในการสอบใหญ่ในตอนนี้ เขาราวกับว่ามองเห็นว่าก่อนหน้านี้หนุ่มน้อยผอมบักโกรกเคลื่อนไหวอยู่ในสายลมหิมะ เพราะว่าร่างกายที่บาดเจ็บหนักและความอ่อนแอทำให้ร่างกายโคลงเคลงไปมา
ทว่าบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของหนุ่มน้อยกลับมองไม่เห็นความหมายของความหวาดกลัวและท้อถอยใดๆ เขามองภาพเบื้องหลังของทหารเผ่ามารสูงใหญ่ รอคอยให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงก่อน ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและยืนหยัด มองแล้วดุจสุนัขป่าตัวหนึ่ง เพราะว่าเขาเป็นหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่า
พอดีกับว่าดังเช่นที่ถังซานสือลิ่วเอ่ย ถ้าหากให้เจ๋อซิ่วกับโก่วหานสือต่อสู้กันในโลกแห่งความเป็นจริง สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ อย่างไรก็ตาม ตำหนักฝึกฝนก็คือโลกใบเล็ก มิใช่โลกจริงๆ ด้วยเหตุนี้คนที่ยืนหยัดจนถึงสุดท้ายก็คือโก่วหานสือ หนุ่มน้อยที่เกิดมายากจนข้นแค้นผู้นี้กลับเป็นลูกศิษย์ที่ท่องตำราจนแตกฉานของเขาหลีซาน
เสียงแอ๊ดอ๊าดที่เสียดหูดังขึ้น ประตูที่ปิดสนิทของหอชำระธุลีค่อยๆ เปิดขึ้น โก่วหานสือเดินออกมาจากหอเชื่องช้า มายังบนบันไดหิน เขาไอออกมาด้วยความทุกข์ทรมานสองที สีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ย่างก้าวช้าลง กวนเฟยไป๋กับเหลียงปั้นหูออกไปรับ ส่วนชีเจียนรีบหายาในถุงเดินทาง
เจ๋อซิ่วก็ออกมาจากหอชำระธุลี แต่ว่าเขามิได้เดินด้วยตนเอง ถูกหามออกมา โลหิตได้หยดลงมาตามขอบของแคร่ไม่หยุด มองแล้วรู้สึกสยดสยอง บนใบหน้าที่ขาวซีดของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ แสดงออกมา มองแล้วสงบนิ่งยิ่งนัก ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท และก็ไม่อาจมองออกได้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
เขาดุจดังสุนัขป่าที่ต่อสู้กับโก่วหานสืออย่างสงบนิ่งและมั่นคงเป็นเวลาครึ่งค่อนชั่วยาม ทำให้โก่วหานสือได้รับบาดเจ็บไม่เบา ทว่าเขาได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ยิ่งใหญ่ออกไป จากอาการบาดเจ็บของเขาตอนนี้ อาจจะรุนแรงจนไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป จนถึงขนาดว่ามีอันตรายต่อชีวิต เดิมทีจะต้องถูกส่งไปรักษาที่ตำหนักฝึกฝน แต่อยู่ในหอชำระธุลีก่อนหน้านี้ เมื่อผู้ควบคุมนักบวชพระราชวังเตรียมคิดที่จะจัดการเช่นนี้ ก็ถูกสายตาที่เฉยชาและความแน่วแน่ของหนุ่มน้อยบีบบังคับ จึงทำได้เพียงยกเขาออกมายังด้านนอกหอชำระธุลี
สามารถกวดไล่โก่วหานสือมาจนถึงสภาพตอนนี้ได้ เจ๋อซิ่วได้รับความเคารพจากผู้เข้าสอบทุกคน ทว่าความเคารพสุดท้ายแล้วก็จะหยุดอยู่แค่คำว่ายำเกรง ผู้คนมองโลหิตที่ไหลรินมาจากขอบแคร่และเขาที่นอนอยู่บนนั้น เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ยิ่งไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเพื่อแสดงความเป็นห่วงและปลอบโยน เขามีฐานะของนักเรียนสำนักเด็ดดาราในการเข้าร่วมการแข่งขัน รอบก่อนหน้านี้กลับทำให้สหายร่วมสำนักพิการ ตอนนี้สำนักเด็ดดาราก็ไม่อาจดูแลเขาได้ พวกนักบวชพระราชวังหลีที่กำลังยกแคร่ เห็นพวกผู้เข้าสอบที่อยู่ด้านนอกหอชำระธุลี ก็ไม่รู้ว่าควรจะไปส่งเขาที่แห่งใด
เวลานี้เอง เฉินฉางเซิงพยุงกายยันต้นหยางลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก
ลั่วลั่วเข้าใจความหมายของเขา ตบหลังเซวียนหยวนผ้อ แสดงว่าให้ออกไปข้างหน้าเพื่อยกแคร่กลับมา เซวียนหยวนผ้อไม่กล้าออกความคิดเห็นใดๆ ทำตามคำสั่ง ใช้มือข้างเดียวรับแคร่กลับมา
แคร่มาถึงยังข้างชายป่า เจ๋อซิ่วนอนสงบอยู่บนนั้น สีหน้าขาวซีด โลหิตท่วมกาย ไม่อาจขยับและไม่อาจพูดได้ แต่ดวงตาของเขาลืมขึ้น ราวกับว่าสงบนิ่งยิ่งนัก
เซวียนหยวนผ้อเริ่มพันแผลให้เขา เฉินฉางเซิงป้อนยา ลั่วลั่วมองเขาด้วยความรู้สึกซับซ้อน ถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมา “เหตุใดถึงต่อสู้ทุกข์ยากเช่นนี้เล่า”
เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกมองเขา พลางเอ่ยออกมา “เพิ่มเงิน”