เมื่อมาถึงยังด้านหน้าหมอก นักพรตจี้หยุดย่างก้าวลง อวี๋เหรินเท้าข้างหนึ่งเป๋ ถ้าหากมิใช่การปีนเขาสูงชัน ปกติแล้วจะใช้ไม้เท้าน้อยอย่างยิ่ง เขาไม่ชินที่จะถือไม้เท้าค้ำยันไว้ด้วยมือซ้าย มือทั้งสองอยู่ข้างหน้าแล้ววาดถามออกไป “การสอบใหญ่ก็คงจะสิ้นสุดแล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์น้องตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่าทางของนักพรตจี้ให้ความรู้สึกประหนึ่งเทพเซียน ใบหน้าราวกับปีนั้น มองไม่เห็นร่องรอยของความชรา มองใบหน้าที่มีร่องรอยกังวลใจของอวี๋เหริน ยิ้มพลางลูบหัวเขา มิได้เอ่ยสิ่งใด
อวี๋เหรินวาดมือถามอีกครา “อาจารย์ เมื่อไหร่พวกเราถึงจะไปจิงตู”
นักพรตจี้เอ่ยตอบ “เมื่อจำต้องให้เจ้ากลับไปจิงตู ก็จะต้องไปแน่”
อวี๋เหรินมิได้ใส่ใจประโยคที่เขาบอกว่าไปจิงตู ซึ่งใช้คำว่ากลับ
ที่นี่เป็นดินแดนตงถู่เป็นเทือกเขาทุรกันดารป่าเถื่อนห่างไกลจากดินแดนต้าลู่ที่สุด มีสัตว์อสูรเที่ยวก่อกวนรังแกชาวบ้าน มนุษย์พบเห็นได้น้อยยิ่ง อีกทั้งยังเปลี่ยวมากกว่าเทือกเขาที่อยู่ท้ายเมืองซีหนิงเสียอีก มีเมฆหมอกหนาแน่น เดินทางไปในนั้นไม่รู้ว่าไปแห่งใด จนราวกับเหมือนได้ออกจากดินแดนมนุษย์ ม่ออวี่ส่งคนมาตามหา แล้วจะตามหาอาจารย์และศิษย์ทั้งคู่พบได้อย่างไรเล่า
ในหมอกมีเสียงแตกกระจายดังขึ้น ยิ่งนานยิ่งมากขึ้น คล้ายกับว่าเป็นการเคลื่อนไหวแปลกประหลาด ต่อมามีพลังปราณคุกคามสิบกว่าสาย คงจะเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นแน่
นักพรตจี้ไม่อยากเผชิญกับสัตว์ที่น่าสยดสยอง ขมวดคิ้วพลางเอ่ยออกมา “เปิดทาง”
อวี๋เหรินเดินหน้าทำตามคำสั่ง ร้องตะโกนไปยังปลายทางที่มีหมอกหนาแน่น
ลิ้นของเขาขาดไปครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงพูดไม่เหมือนคนปกติ แต่นี่มิได้หมายความว่าเขาเปล่งเสียงไม่ได้ จึงได้ยินเสียงคำรามแหลมที่ออกมาจากปากของเขา
คล้ายเสียงคำราม แท้ที่จริงแล้วเป็นคำหนึ่ง เป็นคำพยางค์เดียวที่ซุกซ่อนความหมายไว้มากมาย และก็เป็นคำที่เฉินฉางเซิงใช้พูดคุยกับมังกรดำที่ใต้บ่อน้ำ ภาษามังกร
เสียงคำรามของอวี๋เหรินทำลายอากาศออกไป เข้าไปยังเมฆหมอกอย่างไร้ร่องรอย มิได้ทำให้แตกออกเป็นระลอกคลื่น ทว่าในเวลาต่อมา พลังอำนาจที่แอบแฝงอยู่ในเสียงคำราม ตามเมฆหมอกเข้าไปในทุกทิศทุกทางของเทือกเขา สัตว์อสูรที่ซ่อนเร้นอยู่ในเมฆหมอกส่วนลึกเหล่านั้น หวาดกลัวจนส่งเสียงร้องออกมา เพื่อเป็นการแสดงว่าตนยอมศิโรราบและขอรับโทษ เสียงเสียดสีกระทบกันดังขึ้น ใช้ความรวดเร็วที่สุดจึงหายไป มวลเมฆจึงกลับมาสงบนิ่งอีกครา
สถานที่ยิ่งห่างไกลจากจิงตูไปอีก มีทุ่งกว้างสีขาวผืนหนึ่ง ส่วนกลางของทุ่งกว้าง มีเมืองหนึ่งที่ใช้ก้อนหินก่อขึ้นมา กำแพงเมืองทรงกลมเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มองแล้วโอ่อ่ายิ่งใหญ่อย่างยิ่ง
มีคนจำนวนหลายล้านคนนั่งคุกเข่าอยู่บนทุ่งกว้าง หัวเข่ากับลำคอของพวกเขาสัมผัสกับทรายและกรวด ถูกดวงอาทิตย์แผดเผาเป็นเวลานาน มีกลิ่นไหม้เกรียมอ่อนๆ ทว่าบนใบหน้าของพวกเขามองไม่เห็นท่าทางทุกข์ทรมานแต่อย่างใด เพียงแค่เงียบนิ่ง และก็ไม่ได้ยินพวกเขาเปล่งเสียงใดๆ มีเพียงแค่เงียบสงบอย่างเดียว ประหนึ่งมหาสมุทรที่เงียบนิ่งและน่าหวาดกลัว มหาสมุทรมนุษย์
ด้านหน้าสุดของกลุ่มผู้คนมีแท่นสูงทำจากไม้ บริเวณรอบแท่นไม้มีใบหญ้าสีเขียวจำนวนไม่ถ้วน เป็นความสดใสซึ่งตรงกันข้ามกับภาพที่เปล่าเปลี่ยว รุ่มร้อน น่าเบื่อหน่ายของบริเวณรอบๆ
ตรงกลางแท่นไม้มีตัวอักษรตั้งตระหง่านอยู่ เป็นสัญลักษณ์ที่แอบแฝงไปด้วยทางศาสนาอย่างรุนแรง ตามการอธิษฐานของผู้ศรัทธาจำนวนหลายล้านคน กำลังเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาเบาบาง
บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าสัญลักษณ์ศาสนานั้น มองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหลายล้านคน มองเสื้อผ้าของเขาแล้วก็คงจะเป็นผู้นำทางศาสนา เขาที่มีอายุล่วงเข้าสู่วัยกลางคน หางตามีรอยย่นรางๆ กลับไม่อาจทำลายใบหน้าที่งดงามได้ สิ่งที่ทำให้คนหลงใหลก็คือดวงตาของเขา ดวงตาทั้งคู่ที่เงียบสงบมีความสงสารและความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คล้ายกับว่าสามารถมองเห็นสถานที่ห่างไกลอย่างไร้ขอบเขต คล้ายกับว่าสามารถมองเห็นทุกสิ่งทั้งหมดทั้งมวล
เขาชูไม้เท้าอาคมในมือขึ้น แล้วยิ้มให้กับโลกที่โหดร้ายใบนี้
คนหลายล้านคนบนทุ่งกว้างสีขาวยืนขึ้น ตะโกนออกไปทางเทือกเขา “เพื่อครอบครัว!”
……
……
จิงตูเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ยังคงเหน็บหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิของเมืองเสวี่ยเหล่า ก็เหน็บหนาวจนไร้ที่เปรียบ ลมหิมะประหนึ่งกำลังร้องไห้ประหนึ่งกำลังพรรณนาพัดปลิวอยู่กลางหนทางในเมือง ดุจสายลมธุลีทราย ทำให้คนไม่อาจลืมตาขึ้นได้
เผ่ามารชื่นชอบสีดำ ชื่นชอบความเงียบ ชื่นชอบโลหิตสด ชื่นชอบการเข่นฆ่า ในจิตใจของคนรุ่นหลัง ด้วยเหตุนี้นักศิลปะของเผ่ามารรวมถึงในความลับของเชื้อพระวงศ์ จะได้เห็นเพียงรูปภาพผืนใหญ่หรือว่าเป็นลายเส้นที่แปลกพิลึกกึกกือ อีกทั้งเมืองเสวี่ยเหล่ายังมีโทนสีมืด ทำให้คนรู้สึกเงียบเชียบและมึนชา คนที่เดินผ่านเมืองต่างก็ชื่นชอบสวมชุดคลุมยาวสีดำ มองจากที่ไกลๆ ก็ยากจะแบ่งแยกได้ว่าใครเป็นใคร
มีเผ่ามารผู้หนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะ ชุดคลุมยาวสีดำบนร่างกายของเขาธรรมดาอย่างยิ่ง เก่าคร่ำครึเล็กน้อย ปลายขอบของชุดมีรอยขาด แต่ว่าอย่างน้อยนี่ก็เป็นชุดคลุมสีดำที่ไม่เหมือนกับผู้อื่น
คนชุดดำเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวหายอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่บ้าคลั่ง เกรงว่าแม้จะใช้สายตาจดจ้องก็ยากจะรู้ตำแหน่งที่แน่นอน จนกระทั่งเขาเดินออกจากเมืองเสวี่ยเหล่า ยืนอยู่บนแม่น้ำแข็งทางทิศใต้
สายลมเยือกเย็นพัดกระหน่ำ หมวกงอบเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของเผ่ามาร ใบหน้านั้นขาวซีดผิดปกติ คล้ายกับว่าหลายปีมาแล้วที่ไม่ได้โดนแสงอาทิตย์ คล้ายกับว่าเพิ่งจะฟื้นจากอาการป่วยสาหัส คล้ายกับว่ามิได้มีอุณหภูมิในร่างกาย ยิ่งเหมือนว่ามิได้มีชีวิตอย่างสิ้นเชิง ทำให้คนรู้สึกแฝงไปด้วยความตายอย่างน่ากลัว
เผ่ามารผู้นั้นมองไปยังทิศทางของจิงตูที่อยู่ทางทิศใต้ เงียบนิ่งเป็นเวลานาน ริมฝีปากอ้าออก เสียงที่เยียบเย็นรวดเร็ว “ในที่สุดเจ้าก็ไม่อาจดูถูกการมีอยู่ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว”
หลังจากลั่วลั่วย้ายไปอยู่พระราชวังหลี สวนร้อยหญ้าก็มิได้มีคนพัก พวกหนุ่มน้อยของสำนักฝึกหลวงต่างก็ไปเข้าร่วมการสอบใหญ่ เวลานี้จึงไร้ผู้คน ประตูใหม่บนกำแพงบานนั้นถูกผลักออก แน่นอนว่าไร้ผู้คนพบเห็น
แพะดำเดินออกมาจากประตูด้านใน มองไปยังด้านข้างทะเลสาบ พื้นหญ้าข้างทะเลสาบยังคงหลงเหลือหิมะอยู่ กิ่งต้นหญ้าเหี่ยวเฉา มันรู้สึกงงงวย คิดไปถึงครึ่งปีก่อนหน้านี้ หญ้าที่หนุ่มน้อยผู้นั้นได้ป้อนให้มันมิได้เป็นรสชาติเช่นนี้
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงยังสำนักฝึกหลวง
สิบกว่าปีมานี้ เป็นครั้งแรกที่นางมาสำนักฝึกหลวง
ก่อนหน้านี้ในสวนร้อยหญ้า เวลานั้นนางคิดไปถึงจักรพรรดิไท่จงที่สังหารกบฏราชวงศ์ เวลานี้ยืนอยู่ที่สำนักฝึกหลวง นางคิดไปถึงตนที่สังหารกลุ่มอำนาจเก่า
หลังจากจักรพรรดิไท่จงกลับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ นางสังหารคนเป็นจำนวนมาก เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่คัดค้านต่อต้าน เริ่มจากเมื่อได้เริ่มออกว่าราชการ คนเหล่านั้นก็เริ่มต่อต้านนาง จนกระทั่งสิบกว่าปีก่อน จักรพรรดิประชวรจนไม่อาจทนไหว คนเหล่านั้นล้วนแต่มิได้สนใจไยดี คิดเพียงแค่อยากจะต่อต้านนาง
คนที่กล้าต่อต้านนาง สุดท้ายแล้วก็ถูกนางสังหาร นางสังหารคนเป็นเวลาหลายร้อยปี จนกระทั่งสิบกว่าปีก่อนได้สังหารคนจำนวนมากในสำนักฝึกหลวง สุดท้ายจึงไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้านนางอีก
นางรู้ว่ามือของตนเต็มไปด้วยโลหิต แต่นางมิได้สนใจ เพียงแค่เรื่องราวผ่านไปหลายปีจนมาถึงสำนักฝึกหลวง มองเห็นสวนเก่าที่ไม่ได้พ่ายแพ้อีกต่อไป นางยังคงคิดถึงวันที่สังหารผู้คนอย่างไม่หยุด
ความคิดนี้ไม่ได้ทำให้นางไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้มีความสุขแต่อย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ถูกนางสังหาร มีคนจำนวนมากเป็นคนที่นางชื่นชม คนเหล่านั้นกล้าหาญ ซื่อสัตย์ มีความสามารถ โดดเด่น ยอดเยี่ยม ทรหดและสูงส่ง นางเคยให้โอกาสคนเหล่านั้นนับไม่ถ้วน แต่ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่ให้โอกาสนาง จนถึงขนาดบีบบังคับให้นางสังหารพวกเขา
เพราะว่าคนเหล่านั้นอยากจะพิสูจน์ให้โลกใบนี้เห็นว่า นางเป็นผู้ปกครองที่โหดเหี้ยม
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังทิศทางของพระราชวังหลี คิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ รู้สึกเยือกเย็น จิตใจเยือกเย็น
สายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็น
คิดไม่ถึงสังฆราชจะลงมือ
นางเคยคิดว่าเฉินฉางเซิงจะมาถึงแค่ตรงนี้ เวลานี้เพิ่งจะเข้าใจ มิได้เป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วนางอยากจะถามคนเหล่านั้น พวกเจ้าอยากจะเดินถึงตรงไหน ต้องการบีบบังคับให้ข้าเริ่มสังหารคนอีกแล้วหรือ
……
……
ผู้ยิ่งใหญ่ก็มีเรื่องของผู้ยิ่งใหญ่ให้ขบคิด คนธรรมดาไม่ต้องไปขบคิดเรื่องของผู้ยิ่งใหญ่ เฉินฉางเซิงไม่สนใจว่าจะมีคนเท่าใดใส่ใจการสอบใหญ่และตน ก็เหมือนเขาเคยกล่าวกับลั่วลั่ว เขาใส่ใจเพียงแค่ตนจะเอาประกาศแรกอันดับแรกได้หรือไม่ จะเข้าไปในหอหลิงเหยียนได้หรือไม่
ก่อนเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้น เผ่ามารบุกรุกเข้ามาล้วนแต่เป็นเรื่องเล็ก เรื่องอื่นนั้นไม่ต้องพูดถึง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมตัวการต่อสู้ครั้งสุดท้ายด้วยความอดทน เงียบนิ่งและตั้งใจฟังกลยุทธ์ที่ถังซานสือลิ่ววางไว้ให้แก่ตน
ถังซานสือลิ่วมองเขาด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พลางเอ่ยว่า “ก่อนอื่นทำให้จิตใจคนสั่นคลอน จากนั้นใช้เหตุผลเอาชนะใจคน สุดท้ายใช้พลังอำนาจ ท้ายที่สุดถึงจะต่อสู้ สามประโยค สามวิธี ลำดับขั้นตอนสำคัญยิ่ง หวังว่าจะมีประโยชน์ แน่นอนว่าถ้าหากบัณฑิตยากจนผู้นั้นตั้งแต่ต้นจนจบไม่สะเทือนใดๆ ข้าแนะนำเจ้าว่าจะต้องครุ่นคิดเสียหน่อย ว่าควรใช้วิธีการไหนยอมแพ้ให้มีเกียรติยศที่สุด”
ลั่วลั่วอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ ลองถามซื้อเขาดูก่อน”
ถังซานสือลิ่วแสยะยิ้มออกมา “นั่นคือโก่วหานสือ บัณฑิตที่วางตัวเป็นคุณชายแห่งคุณธรรม จะถูกซื้อได้อย่างไร เขายิ่งไม่ใช่เจ๋อซิ่วเด็กยากจนที่ไม่เคยเห็นเงินมาก่อน”
เจ๋อซิ่วนอนอยู่บนแคร่ข้างต้นหยาง โลหิตบนร่างกายค่อยๆ หยุดไหล ได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ได้ยินประโยคนี้ของถังซานสือลิ่ว เขาใบหน้าไร้ความรู้สึก มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ลั่วลั่วขยับเข้าไปใกล้หูเฉินฉางเซิงเอ่ยเสียงเบาไม่กี่ประโยค เฉินฉางเซิงรู้สึกตกตะลึง ไม่อยากจะรับไว้ กลับไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่นางยัดเยียดไว้ให้
ถังซานสือลิ่วเห็นสิ่งของที่ลั่วลั่วยัดใส่เข้าไปในอกของเขา ริมฝีปากอดไม่ได้ที่จะกระตุกออกมา จากนั้นเขาหันมองไปยังร่างกายของตน พบว่าไม่มีสิ่งของที่อยู่ในระดับเดียวกัน ครุ่นคิดชั่วครู่ จึงปลดกระบี่เวิ่นสุ่ยที่เหน็บข้างเอวส่งให้เขา
“ข้าเองมีกระบี่ จะเอาของเจ้าไปทำอะไร” เฉินฉางเซิงเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ
ถังซานสือลิ่วจ้องมองดวงตาของเขา กล่าวตอบ “กระบี่ของตระกูลถัง ก็เหมือนกับเพลงกระบี่โถงบทบัญญัติเขาหลีซานของชีเจียน ไม่เหมาะที่จะอยู่บนการจัดลำดับร้อยศาสตราวิเศษ แต่มิได้หมายความว่าจะอ่อนด้อย เจ้านำไปไว้ข้างกาย เมื่อเวลาสำคัญอาจจะกำบังให้เจ้าได้สักกระบวนท่าหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ได้ใช้ ก็มิได้หนักหนาอะไร หรือว่าจะทำให้เจ้าเหนื่อยรึ”
เฉินฉางเซิงรู้ความหมายของเขา จิตใจจึงยากจะปฏิเสธ หลังจากคิดแล้วจึงรับเอา
“มีเหตุผล” ลั่วลั่วถูกถังซานสือลิ่วเตือน จึงปลดแส้วิรุณโปรยออกจากเอวอย่างมิลังเล ส่งเข้าไปในมือของเฉินฉางเซิง
เซวียนหยวนผ้อใช้มือหนาลูบคลำไปทั่วร่างกายของตน ก็ไม่เจอสิ่งของอันใด แม้แต่สิ่งที่เป็นเครื่องรางเพื่อความปลอดภัยก็ไม่มี จึงอดไม่ได้ที่จะซึมเศร้า
เฉินฉางเซิงตบไหล่ของเขา ยิ้มพลางเอ่ยออกมา “ตอนเย็นเจ้าทำอาหาร”
เซวียนหยวนผ้อยิ้มออกมาซื่อๆ กล่าวตอบ “ถ้าหากเจ้าชนะแล้ว จะเพิ่มเกลือเป็นพิเศษอีกสองช้อน”
เฉินฉางเซิงคิด ถ้าหากเอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ได้จริง มื้อหนึ่งกินน้ำมันและเกลือมากหน่อย ดื่มสุราสักสามจอก ก็คงจะไม่เป็นไร
เขาเตรียมที่จะออกจากข้างชายป่า อยู่ๆ ก็คิดเรื่องหนึ่งได้ หันไปมองเจ๋อซิ่วที่นอนอยู่บนแคร่ เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ข้าจะพยายามนำสิ่งนั้นให้กับเจ้า”
เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกมองเขา กล่าวว่า “เจ้าจะต้องชนะ”
……
……
เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในหอชำระธุลี
โก่วหานสือได้อยู่ในสนามแล้ว ยืนอยู่เงียบๆ เสื้อผ้าบนร่างกายถูกซักจนเป็นสีขาว กระบี่ที่เหน็บข้างเอวมองไม่ออกว่ามีชื่อเสียงและล้ำค่าหรือไม่