มิใช่สวรรค์ประทานให้ และก็มิใช่โชคชะตาที่อยู่ๆ พลันหมุนเปลี่ยน แต่เป็นรางวัลของตนเอง เป็นธรรมดาที่จะมั่นใจ เพียงแค่การมั่นใจนี้เป็นของเฉินฉางเซิง
ม่ออวี่มิได้คิดเช่นนี้ นางยังคงไม่มีความมั่นใจใดๆ ต่อเขา
เฉินฉางเซิงทำให้นางอัศจรรย์ใจมากมาย ได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ในการสอบใหญ่ปีนี้ จนถึงขนาดว่าในการต่อสู้ที่รุนแรงดุเดือด เพียงปิดตาลืมตาก็ผ่านการทะลวงอเวจี นางยังคงคิดว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจเอาชนะโก่วหานสือได้ เพราะว่าเรื่องมหัศจรรย์ชนิดนี้ ยี่สิบกว่าปีมานี้นางได้พบเห็นมาแล้วมากมาย ดังเช่นเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นฉับพลันของโจวทง ดังเช่นปีนั้นพวกที่ไม่ฝักใฝ่เชื้อพระวงศ์รวมถึงบรรดาขุนนางต่อต้านเฉินหลิวอ๋องที่อยากทดลองการทะลวงขั้น นางชัดเจนยิ่งนัก สิ่งปาฏิหาริย์สามารถแก้ไขปัญหาบางอย่าง แต่ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด
ระยะเวลาสั้นยาวในการฝึกบำเพ็ญเพียรมีความห่างกัน วิทยายุทธ์มีความแตกต่างกัน ถึงแม้ขณะนี้จะสามารถไล่ตามระดับขั้นของโก่วหานสือได้ กลับมีระยะห่างทางด้านนี้ที่ไม่อาจไล่ตามได้
ตัวแทนทั้งสามที่มาจากนิกายทางทิศใต้ ตั้งแต่การสอบใหญ่เริ่มขึ้นจนถึงขณะนี้พวกเขาแสดงออกค่อนข้างเงียบนิ่งมาตลอด การเงียบนิ่งชนิดนี้อาจจะเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง และก็หมายความว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวผู้เข้าสอบของทิศใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อมั่นในตัวโก่วหานสือ เฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็ทะลวงขั้นทะลวงอเวจีที่เหนือความคาดหมายของกลุ่มผู้คน ทำให้ท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมา แต่เวลาต่อมาก็กลับเป็นสงบนิ่งดังเดิม เพราะว่าพวกเขายังคงไม่คิดว่าเฉินฉางเซิงไม่มีโอกาสไปมากกว่านี้เหมือนกับม่ออวี่ ความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อโก่วหานสือมิได้ลดลงแม้แต่น้อย
เฉินฉางเซิงที่ทะลวงอเวจีอย่างฉับพลัน เรียกได้ว่าในบรรดาคนที่อายุเท่ากันในจิงตูเขาแข็งแกร่งที่สุด จนกระทั่งอาจจะเหนือกว่าสวีโหย่วหรงที่อยู่อันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋น แต่ไม่อาจนำเขามาเปรียบเทียบกับโก่วหานสือ รวมถึงชิวซานจวินที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีเช่นเดียวกันได้ ถึงแม้ระดับฝีมือเพลงกระบี่ของทั้งสอง รวมถึงความรู้ในการฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่บนกระดาษจะทัดเทียมกัน ลูกศิษย์เขาหลีซานฝึกฝนกระบี่ด้วยความยากลำบากเหลือเกิน แล้วเฉินฉางเซิงจะเหนือกว่าพวกเขาได้อย่างไร
ใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็เงียบนิ่งอย่างยิ่ง เพราะว่าตกตะลึง ยิ่งเป็นเพราะว่าสายฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านั้น นับตั้งแต่หลังสายฝนห่านั้น ผู้ทรงอำนาจของนิกายหลวงทั้งสองท่านเอ่ยวาจาน้อยอย่างยิ่ง แม้เหมยหลี่ซาใต้เท้ามุขนายกแห่งสำนักการศึกษากลางมาถึงสนามด้วยตนเองก็ไม่อาจทำให้ท่าทางของพวกเขาเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
สายฝนฤดูไม้ใบไม้ร่วงมาจากภายนอกโลกใบไม้คราม ซึ่งแทนความหมายภายในจิตใจของใต้เท้าสังฆราช
พวกเขาเป็นคนใกล้ชิดของใต้เท้าสังฆราช เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจใหม่นิกายหลวงในสายตาของผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาและขุนนางในราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงทุ่มสุดตัวเพื่อยับยั้งเฉินฉางเซิง ผู้ใดจะคาดคิดมาก่อน ใต้เท้าสังฆราชกลับใช้สายฝนฤดูใบไม้ผลิเหล่านั้นแสดงความคิดเห็นที่มีต่อเฉินฉางเซิง แล้วพวกเขาจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไรเล่า ส่วนเวลานี้การต่อสู้ของเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือที่อยู่ข้างล่าง พวกเขาไม่รู้ว่าจะควบคุมจุดยืนให้อยู่ในระดับไหน เพียงแค่รู้สึกว่าเฉินฉางเซิงในเมื่อได้ทำให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ เขาอาจจะมีความหวังที่จะทำอะไรบางอย่าง
ความรู้สึกของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ริมหน้าต่างบนชั้นสองแปลกประหลาด เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด มีเพียงเหมยหลี่ซาใต้เท้ามุขนายกของสำนักการศึกษากลางที่มาถึงยังสนามได้ไม่นาน ยังคงแสดงท่าทางเงียบนิ่งเช่นเดิม ผู้อาวุโสเองก็เป็นเพราะว่าการทะลวงอเวจีฉับพลันของเฉินฉางเซิงและความตกตะลึงทำให้จิตใจสั่นไหวเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เพราะว่าทั้งหมดยังไม่มีผลลัพธ์ออกมา
คิ้วของเซวียสิ่งชวนยิ่งนานยิ่งสูงขึ้น คล้ายกับว่าพบเรื่องอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ ส่วนคิ้วของสวีซื่อจียิ่งขมวดแน่นขึ้น คล้ายกับว่าพลันเห็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจขึ้น
ไม่ว่าผู้คนบนหอจะคิดอย่างไร การต่อสู้สุดท้ายแล้วก็ต้องดำเนินต่อไป
เฉินฉางเซิงถาโถมเข้าไปหาโก่วหานสือเป็นครั้งที่สาม ย่างก้าวแปรเปลี่ยนเป็นยากที่จะคาดเดาได้ ย่างก้าวหยั่งเทวาทะลวงเข้าไปในม่านหมอกอ่อนบางนั่น ดวงดาวบนท้องฟ้าสาดส่อง มาถึงยังด้านหน้าของโก่วหานสืออย่างไร้สุ้มเสียง
กระบี่ของเขาค่อยๆ ร่วงลง กระบี่สั้นอาบพลังปราณแท้ทรงพลัง เสียงจักจั่นด้านนอกหอชำระธุลีแผดเสียงสูงขึ้นฉับพลัน สายอัสนีที่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างเมฆฝนและฟ้าครามพลันร่วงลงมาเสียงดังครั่นครืน มีอานุภาพไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากผ่านการทะลวงอเวจี ระดับพลังของเขาแท้จริงแล้วมีขอบเขตกว้างขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับกระบี่นี้ โก่วหานสือยังคงเงียบนิ่ง ที่เฉินฉางเซิงผ่านการทะลวงอเวจีก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึง เวลานี้บนใบหน้าที่ราบเรียบเป็นปกติของเขาหาร่องรอยก่อนหน้านี้ไม่เจอแม้แต่น้อย
เขากุมด้ามกระบี่ที่ไม่รู้ว่าใช้เงินกี่ตำลึงตีขึ้นมา หมุนข้อมือพลิกขึ้น ทะลวงอากาศพุ่งออกไป เห็นเพียงปลายกระบี่ยกพระอาทิตย์ดวงหนึ่งขึ้นมาในชั่วพริบตา แสงอาทิตย์ส่องสองไปยังกำแพงทั้งสี่ด้าน!
ด้านหน้าปลายแหลมของกระบี่ ดุจมีพระอาทิตย์กำลังปรากฏขึ้นจริงๆ
นั่นมิใช่พระอาทิตย์ยามอัสดงที่คลุ้งกลิ่นคาวโลหิต และก็มิใช่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอันสดใส แต่เป็นพระอาทิตย์ยามเที่ยงซึ่งร้อนแรงที่สุด เจิดจ้าที่สุด สว่างที่สุด เดิมทีก็ไม่อาจจ้องมองได้ตรงๆ!
กระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของโก่วหานสือก็คือเพลงกระบี่ลำนำชาวประมงสามกระบวนท่ารึ มิใช่ ในฐานะลูกศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซาน มีความรู้ทางด้านวิชากระบี่กว้างใหญ่ประหนึ่งมหาสมุทร จะนั่งเรือเพียงแค่หนึ่งลำได้อย่างไร กระบี่นี้ถึงเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับเขา!
เห็นพระอาทิตย์ที่อยู่ด้านหน้ากระบี่ ท่าทางของเฉินฉางเซิงหนักอึ้ง วิชาย่างก้าวมิได้ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด กลับกันริมหน้าต่างบนหอชั้นสองมีเสียงตกใจดังขึ้น เสียงร้องตกใจเหล่านั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงและสงสัย
“วิหคทอง! จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“วิหคทองคำกลับเขาหลีซาน หรือว่าคนผู้นั้นได้กลับมาแล้ว!”
กระบี่นั้นของโก่วหานสือ ก็คือเคล็ดลับเพลงกระบี่วิหคทองของพรรคกระบี่หลีซานที่ขาดการสืบทอดมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ตามที่เล่าขานกันมีเพียงแค่อาจารย์ปู่เล็กของเขาหลีซานในตำนานถึงจะใช้วิชากระบี่นี้เป็น ผู้ใดจะคาดคิดมาก่อน วิชากระบี่ที่แข็งแกร่งทรงพลัง สามารถแผดเผาทั่วพงไพร สุดท้ายแล้วจะปรากฏต่อโลกในการสอบใหญ่ปีนี้!
ตามที่พระอาทิตย์ได้ปรากฏด้านหน้าปลายกระบี่ของโก่วหานสือ ฟ้าดินพลันเปลี่ยนเป็นกลางวัน สายฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้าก็เปลี่ยนเป็นเส้นสีขาวบริสุทธิ์ แสงสายัณห์ของท้องฟ้าด้านนอกหอไกลๆ พลันสลายหายไป พระอาทิตย์ที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าคล้ายกับว่ากลับมายังกลางวัน เปล่งเป็นลำแสงร้อนรุนแรงนับไม่ถ้วน ทั่วทั้งหอชำระธุลี รวมถึงต้นไม้และสายฝนด้านในหอราวกับว่าเผาไหม้ไปพร้อมๆ กัน ราวกับชโลมไว้ด้วยทองคำ
กระบี่นี้เป็นวิชาความรู้ของพรรคกระบี่หลีซาน เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในระดับขั้นเดียวกัน แล้วจะสามารถหาวิธีที่จะทำลายได้จากที่ไหนกัน
ถึงแม้จะเป็นเวลาที่สำนักฝึกหลวงเจริญรุ่งเรืองเต็มที่ เจ้าสำนักและอาจารย์ที่มีความรู้กว้างไกลระดับวิทยายุทธ์สูงส่ง ก็ไม่อาจหาวิธีใดมาทำลายเคล็ดวิชาลับกระบี่ชุดนี้ของอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉินฉางเซิง ณ ขณะนี้
ไม่มีใครคิดว่าเฉินฉางเซิงจะทำลายกระบี่ของโก่วหานสือได้
ทว่าเขายังคงควบคุมกระบี่เข้าไป เงียบนิ่งและตั้งใจ ประหนึ่งว่าเดิมทีมองไม่เห็นแสงอาทิตย์บนท้องฟ้า และไม่เห็นว่าหอชำระธุลีอาบชโลมไปด้วยแสงสีทอง
เขามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ มีความแน่วแน่และแน่นอนอย่างมิต้องสงสัย มองเห็นท่าทางของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เกิดความรู้สึกชนิดหนึ่ง คล้ายกับว่าเขามีวิธีทำลายกระบี่นี้ได้จริงๆ
อีกทั้งเขาราวกับรู้สึกว่าตนจะทำลายกระบี่นี้ได้ง่ายดายอย่างยิ่ง
โก่วหานสือก็มองเห็นท่าทางนี้ ใบหน้าที่แน่วแน่ของเขา มองหนุ่มน้อยที่กวัดแกว่งกระบี่ออกไป เขาถึงขนาดรู้สึกว่าตนเห็นความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของจักรพรรดิ
ถ้าหากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะชื่นชมจิตใจที่แน่วแน่กับพลังจิตใจของเฉินฉางเซิง
ทว่าเวลานี้ เขาโมโหอย่างยิ่ง
เพราะว่าเฉินฉางเซิงไม่อาจทำลายกระบี่นี้ได้
ความคิดของเฉินฉางเซิง ราวกับว่าเหยียดหยามพรรคกระบี่หลีซานรวมถึงอาจารย์ปู่เล็กในตำนานท่านนั้น