ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 179 แสงอาทิตย์ยามอัสดง กลับเป็นรุ่งอรุณ

หอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสงัด ไม่ว่าจะเป็นข้างล่างหรือว่าข้างบน

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าควรจะประเมินการต่อสู้สนามนี้อย่างไร จนกระทั่งหลังจากเวลาเนิ่นนานผ่านไป ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาทอดถอนหายใจเอ่ยออกมาสองคำ “ยอดเยี่ยม”

คำนี้เอ่ยถึงเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ ความยอดเยี่ยมของเฉินฉางเซิง อยู่ที่เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์น่าหวาดกลัวอันยิ่งใหญ่ เขาสามารถสงบนิ่งได้เช่นนี้ จนถึงขนาดว่าเงียบขรึม ด้วยเหตุนี้จึงน่าเกรงกลัว ความยอดเยี่ยมของโก่วหานสือ อยู่ที่เผชิญกับช่วงเวลาการฝึกบำเพ็ญอันโชกโชน เขาสามารถสงบนิ่ง ใช้สติปัญญานำความเลือดร้อนของคนหนุ่มเปลี่ยนเป็นพละกำลังชนิดหนึ่ง พละกำลังของการปล่อยวาง

การต่อสู้สนามตัดสินของการสอบใหญ่ก็ได้สิ้นสุดเช่นนี้ ใช้การถอนตัวของโก่วหานสือเป็นการประกาศสิ้นสุด อันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่จึงได้ตัดสินออกมาเช่นนี้ จิตใจของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่กลับยังคงสลับซับซ้อนจนยากจะเอื้อนเอ่ยได้

สายฝนเม็ดเล็กค่อยๆ หยุดลง ท้องฟ้าของตำหนักฝึกฝนมีก้อนเมฆกระจายตัวเคลื่อนไหว แสงท้องฟ้าค่อยๆ สว่างจ้าขึ้น ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ร่วงหล่นบนใบหน้าของพวกเขา ใบหน้าของเหมยหลี่ซาไร้ความรู้สึก คล้ายกับว่ามิได้คิดสิ่งใด ใบหน้าของม่ออวี่ไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ สวีซื่อจีใบหน้าไร้ความรู้สึก มีคนจำนวนมากรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด ใบหน้าของใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองไร้ความรู้สึก เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรจะคิดสิ่งใด

โก่วหานสือเดินออกมาจากหอชำระธุลี ยืนอยู่บนบันได ไม่ได้สนใจสายตาที่มองมายังตนเหล่านั้น และก็มิได้เร่งฝีเท้าเพื่อไปพูดคุยกับศิษย์ผู้น้อง แต่จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีคราม

ด้านในของพระราชวังหลีในโลกแห่งความเป็นจริง ใต้เท้าสังฆราชจ้องมองหยดน้ำที่อยู่บนโลกใบไม้สีเขียวเหล่านั้น ส่ายศีรษะ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดหยดน้ำออกอย่างพิถีพิถัน

ตามการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าของมือใต้เท้าสังฆราช ท้องฟ้าในตำหนักฝึกฝนเกิดการเปลี่ยนแปลง

โก่วหานสือจ้องมองเมฆฝนถูกเช็ดออกไป ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครา ในจิตใจก็โล่งสบายขึ้นมาด้วย ความรู้สึกทางด้านลบที่เกิดขึ้นจากเพลงกระบี่หลายกระบวนท่าในหอชำระธุลีช่วงสุดท้ายนั่นค่อยๆ หายไป

ด้านนอกหอชำระธุลี ผู้เข้าสอบทั้งหมดต่างก็จ้องเขม็งที่บานประตูบนขั้นบันไดหิน

พวกเขาเห็นโก่วหานสือเดินออกมา หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ เห็นเฉินฉางเซิงออกมา…หากจะกล่าวให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ เขาถูกพวกนักบวชของพระราชวังหลีหามแคร่ยกออกมา จากนั้นนักบวชพระราชวังหลีจึงประกาศผลสุดท้ายออกมา

……

……

เฉินฉางเซิงชนะแล้วหรือ

หนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวง เอาอันดับแรกประกาศแรกของการสอบใหญ่ได้จริงๆ รึ

ด้านนอกหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสงัด จากนั้นจึงเกิดเสียงฮือฮาระเบิดขึ้นมา

ผู้เข้าสอบที่ยังคงอยู่ในสนาม สีหน้าของคนจำนวนมากเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่ง โดยเฉพาะนักเรียนของหอจงซื่อและจวนพระราชวังหลีที่หลายวันก่อนยั่วยุเหน็บแนมเฉินฉางเซิงบนทางเดิน

เยี่ยเสี่ยวเหลียนศิษย์น้องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตกตะลึงจนไม่รู้ว่าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

ข้างชายป่าจู่ๆ ก็เกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาวุ่นวาย

ถังซานสือลิ่ว ลั่วลั่ว และเซวียนหยวนผ้อ วิ่งไปยังด้านหน้าหอชำระธุลี

รอคอยอยู่ด้านหน้าหอ แน่ใจว่าการต่อสู้สนามนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถังซานสือลิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ จากนั้นหัวเราะออกมาเสียงดัง ขณะเขาหัวเราะ ตั้งใจเท้าสะเอว จ้องมองไปยังพวกผู้เข้าสอบที่เคยดูถูกดูแคลนเฉินฉางเซิง ท่าทางการหัวเราะนั้นช่างเกินจริง เพราะว่าเขาอิ่มอกอิ่มใจและภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

เซวียนหยวนผ้อก็ตื่นเต้น ดีอกดีใจจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก ใบหน้าแดงก่ำ หนวดเคราสีเขียวอ่อนที่เพิ่งขึ้นใหม่ราวกับว่าแทงออกมาจากผิวหนัง ยกหมัดขึ้นหมายจะชกไปยังหน้าอกเฉินฉางเซิงที่นอนอยู่บนแคร่

ขณะนี้เฉินฉางเซิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากถูกเขาตีอีกเพียงแค่หมัดเดียว แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเล่า

พอดีกับว่าหมัดของเซวียนหยวนผ้อถูกมือเล็กข้างหนึ่งสกัดไว้ ลั่วลั่วคุกเข่าอยู่ด้านข้างแคร่ เก็บมือซ้ายกลับ จ้องมองใบหน้าที่ขาวซีด เฉินฉางเซิงที่มีโลหิตท่วมตัว บนใบหน้าเรียวเล็กเขียนไว้ด้วยความกังวลใจ

“ข้าได้รับปากกับตนเอง และได้รับปากกับพวกเจ้า ว่าจะต้องชนะ”

เฉินฉางเซิงกุมมือซ้ายของนาง มองนางพลางเอ่ยว่า “ข้าชนะแล้ว”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ ริมฝีปากของเขาคลี่ออกมากยิ่งขึ้น รอยยิ้มโง่เง่ายิ่งนัก

ถังซานสือลิ่วหมุนกายไปมองท่าทางของเขา เอ่ยอย่างเป็นห่วง “คงจะไม่ถูกตีจนเลอะเลือนนะ”

เวลานี้เอง ด้านหน้าหอชำระธุลีอยู่ๆ ก็มีเสียงของกวนเฟยไป๋ดังขึ้น “นี่มันเรื่องอันกัน”

น้ำเสียงของเขาเยือกเย็นอย่างยิ่ง โมโหอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจยอมรับว่าศิษย์ที่รองจะพ่ายแพ้ให้แก่เฉินฉางเซิง

ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ด้านนอกหอชำระธุลี ได้มองเห็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดจำนวนมาก แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็หาเหตุผลที่ศิษย์พี่จะพ่ายแพ้ให้แก่เฉินฉางเซิงได้…ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนนี้โก่วหานสือมิได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังยืนอยู่บนบันไดหินได้ เป็นเฉินฉางเซิงที่กลับนอนอยู่บนแคร่มีโลหิตท่วมตัว!

สถานการณ์เช่นนี้ เฉินฉางเซิงจะชนะได้อย่างไรเล่า

แผ่นหินด้านนอกหอเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบชั่วพริบตา

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นมายังโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง

มีคนอีกจำนวนมากที่เป็นดังเช่นกวนเฟยไป๋ ยกเว้นโก่วหานสือที่ยอมรับว่าตนเองพ่ายแพ้ บางทีอาจจะมีคนพูดโน้มน้าวเหตุผลให้กับทุกคน มิเช่นนั้นทุกคนต่างก็สงสัยเบื้องหลังของการต่อสู้สนามนี้

โก่วหานสือยกมือขวาขึ้น เป็นสัญญาณมิให้เหล่าศิษย์น้องเอ่ยสิ่งใด

เฉินฉางเซิงอยู่ภายใต้การประคองของลั่วลั่ว ยันกายลุกนั่ง จ้องมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ขอบใจมาก”

โก่วหานสือเงียบนิ่งเป็นเวลานาน ครุ่นคิดเกี่ยวกับการต่อสู้ตั้งแต่แรกจนถึงสุดท้ายในหอชำระธุลี มั่นใจว่ามิได้มีรอยรั่วอะไร จึงเอ่ยออกมา “เจ้าเหมาะสมที่จะชนะ เหตุใดจะต้องขอบใจด้วยเล่า”

เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา “ข้าสู้เจ้าไม่ได้ นี่เป็นการเอาเปรียบ”

โก่วหานสือเข้าใจความหมายของเขาดี ส่ายศีรษะเอ่ยออกมา “เรื่องการต่อสู้ พิจารณาจากทุกด้าน แม้ว่าในหนึ่งร้อยแห่งเจ้ามีเก้าสิบเก้าแห่งที่สู้ข้าไม่ได้ ทว่ามีเพียงแค่แห่งเดียวที่เอาชนะข้าได้ ก็นับว่าชนะ”

ด้านนอกหอชำระธุลีเงียบสนิท ใบหน้าของกวนเฟยไป๋ ชีเจียนและเหลียงปั้นหูเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่านี่เอ่ยถึงสิ่งใด อะไรคือเก้าสิบเก้าแห่งไม่ชนะ มีเพียงหนึ่งแห่งก็เพียงพอให้ชนะ

“เพราะว่านั่นเป็นหนึ่งแห่งที่สำคัญที่สุด”

โก่วหานสือมองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยออกมา เวลาเดียวกันก็อธิบายให้แก่ศิษย์น้องทั้งสาม “ก็เหมือนกับถังไม้ถังหนึ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดตลอดกาลก็คือไม้แผ่นที่เล็กที่สุดนั่น หากข้าด้อยกว่าเจ้าในจุดนั้น ก็เท่ากับว่าด้อยกว่าในทุกเรื่อง”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร มีเพียงแค่โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงที่รู้ นั่นก็คือการมองความเป็นตาย เฉินฉางเซิงเมื่อได้ยินประโยคนี้ หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา “ยังคงต้องกล่าวว่าขออภัย”

โก่วหานสือยิ้มออกมา มิได้กล่าวตอบเขา มองไปยังกวนเฟยไป๋เอ่ยว่า “ข้า…รู้สึกหิวแล้ว”

กวนเฟยไป๋ยังคงไม่เข้าใจว่าการต่อสู้รอบตัดสินสนามนี้แท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ในเมื่อศิษย์พี่ได้ยอมแพ้ ตามนิสัยที่ทระนงของเขาเป็นธรรมดาที่จะไม่ก่อกวนใจอีก เพียงแค่กังวลเกี่ยวกับจิตใจขณะนี้ของศิษย์พี่ จึงเปล่งเสียงให้นุ่มนวลและสงบเล็กน้อย กล่าวถามออกไป “ศิษย์พี่ ท่านอยากกินอะไร”

โก่วหานสือครุ่นคิด เอ่ยว่า “ข้าวต้มแล้วกัน”

เหลียงปั้นหูเอ่ยว่า “ด้านนอกก็ใกล้จะมืดแล้ว ไม่รู้ว่าจะหาได้หรือไม่”

ชีเจียนกล่าวเสียงเบา “หากเหลือมาจากมื้อกลางวัน ก็เกรงว่าจะเย็นเสียแล้ว”

โก่วหานสือเอ่ยตอบ “ข้าวต้มเย็นยิ่งดี”

ในประโยคสนทนาธรรมดาไม่กี่ประโยคเหล่านั้น ศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซาน ยอมรับผลของการสอบใหญ่ครั้งนี้ เดินไปยังตำหนักฝึกฝน พวกเขาเป็นหนุ่มน้อยที่แข็งแกร่งและทะนงตน ด้วยเหตุนี้จึงทะนงตนเช่นนี้

เจ็ดคำโคลงแดนเทพ ก็คือเจ็ดคำโคลงแดนเทพ

“พวกเราก็ไปกันเถอะ” ลั่วลั่วเอ่ย

ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อรับแคร่มาจากในมือของนักบวชพระราชวังหลี

เวลานี้เอง ม่ออวี่เดินออกมาจากในหอชำระธุลี มายังด้านหน้าของคนสำนักฝึกหลวง ทำความเคารพต่อลั่วลั่วก่อน จากนั้นมองไปยังเฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ยินดีด้วย”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “ขอบใจ”

ม่ออวี่ขมวดคิ้วที่ละเอียดเล็กได้รูป เอ่ยออกมาราวกับว่าแฝงนัยบางอย่าง “เพียงแค่หวังว่านี่จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ”

เวลานี้เหล่าผู้เข้าสอบที่อยู่ด้านนอกหอรู้ฐานะของสตรีที่สวมชุดพระราชวังวิจิตรงดงามผู้นี้ จึงทยอยทำความเคารพพร้อมเพรียงกัน ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่ทันได้มาข้างหน้าเพื่อแสดงความเป็นห่วง ม่ออวี่ก็ถลาออกไปเสียแล้ว

เฉินฉางเซิงและคนอื่นคิดถึงประโยคที่นางทิ้งไว้ จิตใจที่ยินดีอย่างยิ่งแต่เดิมอยู่ๆ ราวกับมีพยับเมฆเคลื่อนออกมา เพียงแค่ยังไม่ทันได้คิดให้ลึกซึ้งกว่านี้ เพราะว่าเวลาต่อมามีคนมาหาอีกครั้ง

เซวียสิ่งชวนกับเฉินหลิวอ๋องเดินออกมาจากหอชำระธุลี มุ่งไปยังนักเรียนทั้งสี่ของสำนักฝึกหลวงเพื่อแสดงความยินดี เฉินหลิวอ๋องแสดงเจตนาดี เซวียสิ่งชวนมีฐานะเป็นขุนพลเทพที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาทำเช่นนี้ นี่ทำให้เฉินฉางเซิงยิ่งเพิ่มความงุนงง

เมื่อใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเดินออกมาจากหอชำระธุลี มาถึงยังด้านหน้าของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ผู้คนจึงได้ทราบว่าคงจะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดออกมาอีกแล้ว เพราะว่าผู้อาวุโสได้เอ่ยออกมาตรงๆ “ออกจากพระราชวังไปพร้อมกันเถอะ”

มิใช่เป็นประโยคคำถาม นับว่าเป็นการเชื้อเชิญ ไม่ง่ายที่จะปฏิเสธ และก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ขณะนี้ทั่วทั้งต้าลู่ต่างรู้ดี เฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวง เป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจเก่า อีกทั้งจะต้องยอมรับ ถ้าหากไม่มีผู้อาวุโสท่านนี้รวมถึงผู้นำของสำนักการศึกษากลางที่คอยดูแลอย่างลับๆ เฉินฉางเซิงไม่มีความเป็นไปได้ใดๆ ที่จะเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่

ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ระหว่างเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวง และผู้อาวุโสที่เก่าแก่ ไม่อาจตัดขาดจากกันได้ เช่นนั้นตอนนี้เรื่องที่พวกเขาสามารถทำได้ จึงทำได้เพียงแค่ยอมรับ

สถานการณ์ของลั่วลั่วมีความพิเศษ เมื่ออยู่ในความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง นางไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าบุคคลคนดังเช่นใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาได้ เพราะว่านางเป็นตัวแทนทัศนคติของเผ่าปีศาจ บนการต่อสู้ที่คอยขัดแข้งขัดขากันในโลกมนุษย์ใบนี้ นางจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง จนกระทั่งไม่อาจเปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมาได้

เฉินฉางเซิงจ้องมองนางพลางเอ่ยปลอบโยน “มิเป็นไร เจ้ากลับไปก่อนเถิด พวกเราค่อยเจอกันที่สำนัก”

ความไม่สบายใจของลั่วลั่วค่อยๆ ลดลง จูงมือเขาพลางเอ่ยออกมา “อาจารย์ พักผ่อนรักษาอาการบาดเจ็บให้ดี”

หลังจากเฉินฉางเซิงใช้ยา อาการบาดเจ็บจึงได้รับการรักษา ไม่ต้องนอนอยู่บนแคร่อีก ได้รับการประคองจากถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อ ตามใต้เท้ามุขนายกออกไปยังสำนักฝึกฝน

ลั่วลั่วพักอยู่ในตำหนักฝึกฝน ไม่อาจออกไปด้ จึงทำได้แค่สั่งลา

เวลาผ่านไปไม่นาน หนึ่งผู้อาวุโสและอีกสามหนุ่มน้อยเดินออกมาจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์

ทอดสายตามองไป เห็นเพียงแค่ท้องฟ้ายามอัสดงย้อมไปด้วยสีแดง ท้องฟ้ายามราตรี ที่แท้ก็เป็นยามพลบค่ำวันที่สอง พวกเขาเพิ่งจะรู้ การสอบใหญ่ที่จริงแล้วดำเนินมาแล้วสองวันหนึ่งคืน

คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาไม่อาจยับยั้งความรู้สึกเหนื่อยล้าได้ ท่าทางเหน็ดเหนื่อยพลันได้เกิดขึ้น

……

……

ด้านนอกทุกหนทุกแห่งของพระราชวังหลีล้วนแต่คือผู้คน ทั่วทั้งผืนมืดฟ้ามัวดิน

เห็นกลุ่มฝูงชนที่คึกคักไม่ยินยอมจากไป คนจำนวนมากในมือกุมใบพนันรอคอยผลสุดท้ายด้วยความตื่นเต้น รอบๆ เสาหิน มีอาจารย์ของบรรดาสำนักและพรรครวมถึงผู้อาวุโส รอคอยให้พวกผู้เข้าสอบของตนออกมา

การสอบใหญ่สุดท้ายได้สิ้นสุดลงแล้ว ผลลัพธ์สุดท้ายก็ได้ประกาศมาแล้ว บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้น ความตกตะลึงที่เหลือสุดท้ายแล้วยังเป็นห่วงสถานการณ์ของผู้เข้าสอบของตนเอง

พวกผู้เข้าสอบทยอยออกมาจากตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ เดินไปตามทางหลักของพระราชวังหลีออกไป มาพบกับอาจารย์ที่รอคอยตนอยู่ ก่อเกิดเป็นภาพหลากหลายรูปแบบ มีผู้เข้าสอบร้องตะโกนออกมาติดต่อกัน คนในครอบครัวต่างก็ดีใจน้ำตาไหล มีผู้เข้าสอบที่สีหน้าเขียวคล้ำ มีคนใกล้ชิดปลอบโยนไม่หยุด มีผู้เข้าสอบที่ท่าทางงุนงง เจ้าสำนักได้อบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด

ตามที่ผู้เข้าสอบได้ออกมาจากพระราชวังยิ่งนานยิ่งมากขึ้น ด้านนอกพระราชวังหลีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้นมา ลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานออกมาทางด้านหลังของตำหนักพิสุทธิ์ เข้าในตำหนักรับรอง และมิได้ออกมาอีกเลย แล้วผู้คนยังคงรอคอยสิ่งใดอยู่

ตะวันคล้อยบ่ายทางด้านทิศตะวันออก ประหนึ่งอาทิตย์ยามอัสดงในความฝัน บนทางเดินและขั้นบันไดยาวเหยียด

เฉินฉางเซิงได้รับการพยุงจากถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อ ค่อยๆ เดินลงมาจากขั้นบันได

ใต้เท้ามุขนายกอยู่ทางด้านหลัง

ด้านนอกและด้านในของพระราชวังหลี ทั่วทั้งผืนเงียบสงัด

ตะวันยามอัสดงร่วงหล่นบนบันได ทั่วทั้งผืนสีแดงอบอุ่น ไม่แตกต่างจากแสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset