ดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนตกจากกลางอากาศสู่รถลาก เฉินฉางเซิงมองกลับมา หยิบกลีบดอกไม้บนเสื้อ พยักหน้าให้ผู้คนที่อยู่รอบสี่ทิศ ขอบคุณพวกเขาที่ใจกว้างและต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่น
สวนรกร้างแห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวัง ก็มีดอกไม้โรยร่วงลงมาเช่นกัน ดอกเหมยฤดูวสันต์ผู้ต้านทานความหนาวเหน็บถูกลมพัดโชย เกสรสีชมพูเล็กๆ หล่นร่วง ปกคลุมเป็นชั้นข้างขอบสระ พิศแล้วงดงามยิ่งนัก
ใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ท่ามกลางกลีบดอกเหมย มองไปยังสระมังกรดำ
“วันก่อน เขาลงชื่อการสอบใหญ่ที่วังศึกษา สมควรเข้ารอบสิบหกคนสุดท้าย? ตอนนั้นข้าพูดว่าคงจะได้เพียงเท่านี้…ไม่คิดเลย เด็กคนนี้กลับไม่หยุดก้าวไปข้างหน้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไม้ยืนต้นมวลบุปผาข้างสระน้ำ ผุดความรู้สึกถึงประวัติศาสตร์ของวังถง อย่างเงียบๆ เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล ถ้านางไม่ต้องการให้เฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่ง นางมีวิธีมากมาย อย่างเช่นจริงๆ แล้วม่ออวี่ควรทำอะไรสักอย่างกับเหตุการณ์นั้น แต่ในที่สุดนางก็ไม่ได้ทำอะไร
นางมองไปยังสังฆราช เลิกคิ้ว แล้วกล่าว “เมื่อคิดดูแล้ว การชุมนุมไม้เลื้อยคืนนั้น ม่ออวี่พาเด็กคนนั้นมาที่นี่ วางแผนจะใช้วังถงเพื่อกักขังเขา ก็น่าจะเป็นความคิดของเจ้าด้วยใช่ไหม?”
สังฆราชพูดอย่างสงบ “เด็กคนนั้นในสายตาของม่ออวี่ ข้า และเหนียงเหนียง*ก็หาได้มีสิ่งใดแตกต่าง เขาเคารพข้าเหมือนที่เคารพเหนียงเหนียง หลังจากเรื่องเกิดขึ้นแล้ว หากรู้สึกไม่ถูกไม่ควร ก็ไม่สามารถพูดได้”
“เหมยหลี่ซาเงียบไปถึงสองร้อยกว่าปี ทว่าตั้งแต่ปีที่แล้วที่เฉินฉางเซิงย่างกรายเข้ามาในเมืองหลวง เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างกะทันหัน ตอนนั้น ข้าถึงรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดปกติ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์วางมือไพล่หลัง เดินมายังขอบสระ มองเห็นผิวน้ำของสระสะท้อนท้องฟ้าสดใสที่มีก้อนเมฆลอยพลิ้ว พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวงเป็นการแสดงออกอย่างเฉพาะเจาะจงของคนเก่าแก่บางคนที่ใจไม่ยอมรับ มีการวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้ว เพียงแต่ไม่ค่อยจริงจัง เหมือนกับคืนหนึ่งที่ข้าพูดกับม่ออวี่แบบนั้น จิตใจข้ากว้างขวางสามารถรับได้ทั้งแผ่นดิน จะไม่รับสำนักฝึกหลวงแห่งนี้และเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้อย่างไร?”
พูดถึงจุดนี้ นางหันหลังกลับมา จ้องตาสังฆราชเงียบๆ กล่าว “แต่เจ้ากลับแสดงออกอย่างปุบปับฉับพลัน มิหนำซ้ำยังแสดงออกติดต่อกันถึงสองครั้งสองหน ทำให้ข้าไม่เตือนตัวเองไม่ได้”
ใต้เท้าสังฆราชมิได้เปล่งวาจา สองร้อยกว่าปีที่ผันผ่าน ต้าโจว รวมถึงความสงบสุขและความแข็งแกร่งของต้าโจวและทั้งโลก หลักๆ แล้วมาจากความเชื่อใจและมิตรภาพระหว่างผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า ภายในนั้นสิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือมิตรภาพของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราช หลายปีที่แล้ว จักรพรรดิองค์ก่อนไม่สนใจเรื่องการเมือง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้รับฎีกาแทน จัดการบริหารการเมืองแทน ตลอดจนว่าราชการหลังม่าน ไม่ทราบว่าสร้างเสียงคัดค้านและการโจมตีเนื่องจากไม่พอใจมากเพียงใด สาเหตุที่สำคัญที่สุดในการคัดค้านจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่สำเร็จสักทีคือ ทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้รุนแรง ใต้เท้าสังฆราชจะพานิกายหลวงมา และยืนหยัดอยู่ข้างกายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่วแน่
สิบกว่าปีที่แล้ว จักรพรรดิองค์ก่อนประชวรหนัก ผู้มีอิทธิพลจำนวนมากของนิกายหลวงรวมถึงราชสกุลแซ่เฉิน เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นครองราชย์โดยอิสตรีอย่างเด็ดขาด หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการก่อกบฏที่เร่งรีบ สำนักฝึกหลวงจึงถูกล้างเลือดในวันนั้น ผู้นำสำนักถูกฆ่าด้วยฝีมือของใต้เท้าสังฆราช ทุกคนล้วนคิดว่า ความพินาศย่อยยับของสำนักฝึกหลวง เป็นการแสดงออกถึงมิตรภาพและขุมกำลังระหว่างใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ บรรดาคนในของนิกายหลวงที่บังอาจกล้าคัดค้านสังฆราช และพวกเชื้อพระวงศ์ที่เก่าแก่ที่บังอาจก่อกบฏ ล้วนตายในสำนักฝึกหลวง ตายอย่างหมดจด
แล้วเพราะเหตุใดใต้เท้าสังฆราชถึงเปลี่ยนความคิด?
“เฉินฉางเซิง…เป็นศิษย์หลานของข้า” สังฆราชมองไปที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แล้วกล่าวขึ้น
สวนรกร้างยิ่งมายิ่งเงียบเหงา ความรู้สึกหนาวเยือกของสระมังกรดำกระทบผิวหน้า กลีบเหมยโปรยดั่งเศษหิมะ
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เงียบไปพักใหญ่ ค่อยกล่าว “นักพรตจี้?”
ใต้เท้าสังฆราชกล่าวว่า “ในเมื่อเขาคือนักพรตจี้ แน่นอนว่าคืนนั้นเขาไม่ตาย”
“อย่างนี้นี่เอง ว่าแล้วต้องเป็นเช่นนี้…แต่แล้วอย่างไรเล่า? เจ้ายังคิดจะพูดถึงมิตรภาพการเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับศิษย์พี่ของเจ้าหรือ? อย่าลืมว่า สาเหตุที่ปีนั้นพวกเราตกลงฆ่าเขาคืออะไร”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ชี้ไปยังที่ใดที่หนึ่งของด้านข้างสระน้ำ อีกาสีดำตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้อันเหน็บหนาว
“ภายในสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ร่องรอยของกลุ่มคนชุดดำยังคงวนเวียนอยู่บริเวณรอบเมืองเสวี่ยเหล่า ไม่ได้อยู่ในเมืองซีหนิง สิ่งที่วันก่อนเด็กตระกูลชิวซานทำ ก็ยืนยันจุดนี้ได้”
ใต้เท้าสังฆราชมองจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พร้อมถอนหายใจ กล่าว “หรือว่า ปีนั้นพวกเราฆ่าผิดคน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ใบหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ กล่าวว่า “ถึงศิษย์พี่เจ้าไม่ใช่คนชุดดำ แต่มันไม่สมควรตายหรอกหรือ?”
สังฆราชมิได้ตอบประโยคข้างต้น กลับพูดออกมาว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องราวของรุ่นที่แล้วกับรุ่นถัดไปไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง เฉินฉางเซิงอย่างไรเสียก็เป็นศิษย์หลานของข้า และเด็กคนนี้ไม่ได้รับรู้เรื่องราวในกาลก่อน อีกอย่าง บัดนี้ไม่มีใครกล้าคัดค้านเจ้า เจ้าจะจดจำเรื่องกาลก่อนไปเพื่ออะไร?”
ฟังวจีนี้แล้ว จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง ค่อยระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา กล่าว “อย่างนี้ก็ดี”
เสียงหัวร่อของพระนางมิได้ทำให้สีหน้าใต้เท้าสังฆราชแปรเปลี่ยน ส่วนจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าใครก็ยากหยั่งอารมณ์บนพระพักตร์เช่นกัน พระนางตรัสว่า “เรื่องสวนโจว เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดินไปตามแนวของสระมังกรดำฝั่งตรงข้าม กล่าว “ใต้รวบรวมดวงดาว เหนือทะลวงอเวจี ช่วงเดือนที่สองของฤดูร้อน ระยะเวลาสิบปี ไม่เปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้”
ใต้เท้าสังฆราชเดินตามไป กล่าวสำทับ “ยังต้องรอดูผลของการบรรลุที่สุสานเทียนซู ปีนี้เป็นปีใหญ่ ใครจะคาดเดาได้ว่ามีศิษย์กี่คนที่ทะลวงอเวจีสำเร็จ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์หยุดเดิน ค่อยกล่าว “เรื่องนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
……
……
คืนนั้น ผู้นำขันทีเฒ่าในพระราชวัง ทำตามคำสั่งลับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เริ่มสืบสวนคดีเก่าคดีหนึ่ง เริ่มค้นเอกสารคดีเก่าลับๆ อย่างเงียบเชียบ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มอบหมายให้ม่ออวี่ทำเรื่องนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเชื่อใจหรือไม่ แต่เป็นเพราะเรื่องนี้มันนานเกินไป ตอนนั้นม่ออวี่ยังเด็ก ทั้งยังเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมทารุณมาก ในเมื่อม่ออวี่ไม่รู้เรื่องนี้ ก็ไม่ต้องไปรู้เลยดีที่สุด
คดีเก่าคดีนี้คือต้นเหตุการถูกล้างเลือดของสำนักฝึกหลวงเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
ปีนั้นจักรพรรดิองค์ก่อนป่วยหนัก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นกังวลกระวนกระวายพระทัย ปัญหาการเมืองยิ่งยุ่งยากรุมเร้า จึงทำให้ในเวลานั้นพระนางอ่อนกำลังใจมาก วรกายทรุดโทรมหนัก ณ ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เชื้อพระวงศ์เก่าผุดความคิดที่จะลักพาตัวองค์ชายเพียงคนเดียวของพระนาง
นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก และที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือความคิดของพวกเชื้อพระวงศ์เก่าเกิดบรรลุผล องค์ชายหายตัวไปในทันใด อีกทั้งไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาเป็นหรือตาย
เพราะเกิดเรื่องนี้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงคราวพิโรธ จึงฆ่าบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทั้งหมด รวมถึงจวิ้นอ๋องอีกสองพระองค์ ทุกคนในสำนักฝึกหลวงถูกฆ่าทั้งหมด ตอนนี้ ใต้เท้าสังฆราชยืนยันว่าผู้นำของสำนักฝึกหลวงยังมีชีวิตอยู่ เขาคือนักพรตจี้ ฉะนั้น องค์ชายองค์นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือ?
ถ้าหากไม่เป็นเพราะอายุของเฉินฉางเซิงไม่พอดี จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงจะต้องคิดหนัก
……
……
เวลาพลบค่ำ เฉินฉางเซิงเสร็จสิ้นภารกิจประกาศชื่อของการสอบใหญ่ทั้งหมด กลับมายังสำนักฝึกหลวงเพื่อผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์สะอาด ออกจากตรอกไป่ฮวา เดินผ่านสะพานเล็กๆ ที่ซ่อนตามถนนในนครจิงตู ผ่านแม่น้ำลั่วสามครั้งและคลองไร้ชื่อ มาถึงหน้าจวนขุนพลเทพตงอวี้
ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว เขามาจวนขุนพลเทพตงอวี้ครั้งหนึ่ง นั่นเป็นครั้งเดียวของเขา นับแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปี หลายเรื่องเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็มีหลายอย่างที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นความเคร่งครัดเงียบสงบของจวนขุนพลเทพตงอวี้แห่งนี้ และเสียงน้ำไหลใต้สะพานหิน
เก็บสายตาที่มองคลองสายนั้นกลับมา เฉินฉางเซิงเดินลงจากสะพานหิน มาถึงหน้าจวนขุนพลเทพตงอวี้ เมื่อแสดงตัวแก่ทหารเฝ้าหน้าประตู ก็ถูกเชิญเข้าไปทันที
*เหนียงเหนียงเป็นคำที่บ่าวรับใช้หรือคนทั่วไปเรียกขานเจ้านายของราชวงศ์