ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 187 สาวงามตระกูลสวี สวนเก่าบุรุษตระกูลโจว

ถังซานสือลิ่วยื่นมือขวางทันที ลากเขากลับมา ส่ายหน้ากล่าว “ไม่ต้องไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงมองเขาทีหนึ่ง เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

ถังซานสือลิ่วตบไหล่เขาเบาๆ กล่าว “ตอนที่ซวงเอ๋อร์ส่งหนังสือสัญญาสมรสกลับมา ยังนำคำพูดของสวีซื่อจีมาด้วย ข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าฟังคำพูดนี้จบ คงไม่คิดจะถอนสัญญาสมรสอีก ถึงแม้ยังต้องการจะถอนสัญญาสมรส ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาใต้เท้าสังฆราชอยู่ดี”

“คำพูดใด?” เฉินฉางเซิงถาม

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “สวีซื่อจีบอกว่า ได้ยินว่าเจ้าพูดไว้กับคนในจวนขุนพลเทพ นอกจากสวีโหย่วหรงบอกต่อหน้าเจ้าว่าจะถอนการสมรส เจ้าถึงจะยินยอม ฉะนั้นตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป สัญญาการสมรสระหว่างเจ้ากับสวีโหย่วหรง เขาซึ่งเป็นบิดาจะไม่ก้าวก่ายและไม่สนใจอีก แต่ถ้าเจ้าอยากจะถอนสัญญาการสมรส ก็ต้องบอกต่อหน้าสวีโหย่วหรงเท่านั้นเช่นกัน พูดกับนางเองว่าไม่ต้องการการสมรสนี้”

เฉินฉางเซิงได้ยินดังนั้น อึ้งไปนิดหนึ่ง เขาเป็นเพียงหนุ่มน้อย จะเทียบชั้นกับผู้มีอิทธิพลมากเล่ห์ ทั้งยังหน้าหนาไร้ยางอายอย่างสวีซื่อจีได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ เขามิได้ชมชอบสวีโหย่วหรง ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆ หลังผ่านเรื่องราวมากมาย ความสงสัยและความคาดหวังของปีนั้นยิ่งไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น แม้ว่านางส่งจดหมายฉบับนั้นมาให้ในการชุมนุมไม้เลื้อย เพราะจดหมายนี้ ไม่ว่าความตั้งใจที่แท้จริงของนางแล้วคืออะไร เขาก็ขอบคุณนางมาก ไม่ยอมกระทำสิ่งใดที่มีโอกาสไปทำให้นางเสื่อมเสีย

“สวีซื่อจีคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?” เขาบอกเล่าความคิดตัวเองแก่ถังซานสือลิ่วอย่างไม่มีปิดบัง จากนั้นขมวดคิ้ว ถามอย่างไม่สบายใจ

ถังซานสือลิ่วกล่าววาจาเยาะเย้ย “อย่าได้ไปเทียบชั้นเล่ห์เพทุบายกับคนอย่างสวีซื่อจี ปีนี้เจ้าแค่สิบห้า จะขมวดคิ้วแค่ไหนก็ไม่แสดงออกว่ามีความลุ่มลึก มีแต่จะปั้นแต่งความลุ่มลึกที่น่าขัน”

เฉินฉางเซิงถาม “เช่นนั้น จริงๆ แล้วเขาหมายความว่าอย่างไร?”

ถังซานสือลิ่วมองเขาเหมือนมองคนเขลา กล่าว “ความหมายของสวีซื่อจีชัดเจนถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมองไม่ออก? ในเมื่อตอนนี้ เขาไม่อยากถอนสัญญาสมรส จึงหาข้ออ้างยัดเยียดกลับมาให้เจ้า ต้องต่อหน้าสวีโหย่วหรงจึงจะถอนสัญญาได้ ชัดเจนมาก เพราะเขาแน่ใจว่าเมื่อเจ้าได้เจอหน้าสวีโหย่วหรง เห็นลูกสาวสุดที่รักของเขา จะต้องพูดเรื่องถอนสัญญาสมรสไม่ออกแน่นอน!”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ ถามอีกว่า “เพราะเหตุใด?”

ถังซานสือลิ่วจ้องตาเฉินฉางเซิง พินิจเพื่อให้มั่นใจว่าจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เข้าใจ ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ กล่าว “เพราะว่าไม่มีใคร หลังจากเจอสวีโหย่วหรงตัวเป็นๆ แล้วยังคงไม่อยากอยู่กับนาง”

เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ถามต่อว่า “เพราะเหตุใดกัน?”

ถังซานสือลิ่วโมโหอย่างยิ่ง กลับไม่รู้จะอธิบายข้อเท็จจริงที่ทุกผู้คนล้วนสามารถเข้าใจแจ่มแจ้งได้อย่างไร หลังขบคิดไปเนิ่นนาน กลับพูดออกมาไม่กี่คำ “เพราะนางสวย!”

แน่นอนว่ามันไม่ใช่สาเหตุที่ตื้นเขินขนาดนี้ แต่นี่คือสาเหตุที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมามากที่สุดเท่าที่ถังซานสือลิ่วจะสามารถเรียบเรียงออกมาได้ในเวลาระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะพอโน้มน้าวเฉินฉางเซิงผู้ซื่อบื้อ อย่างไรก็ตาม นี่กลับทำให้เขารู้สึกล้มเหลวบางอย่างเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าความงามทางสุนทรียะหรืออะไรทำนองนั้น เขาจึงโมโห เปล่งวาจาเสียงดังไปเล็กน้อย กอปรกับคำว่าสวยนั้นพูดออกมารุนแรงยิ่ง บันดาลให้ท่ามกลางแสงสลัวในหอตำราเกิดน้ำตกสายหนึ่งเป็นฟองฟอดขึ้นมา

เงียบสงบไประยะหนึ่ง เฉินฉางเซิงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดหน้าตนเองอย่างละเอียด จากนั้นเดินไปที่เรือนเล็ก เงาด้านหลังอ้างว้างยิ่ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กลับมาปรากฏอีกครั้ง

ถังซานสือลิ่วนึกถึงเรื่องความรักสะอาดของเขา ขอโทษอย่างจริงจัง

เฉินฉางเซิงอาบน้ำเสร็จ รู้สึกสดชื่นไม่สกปรก โบกมือแสดงว่าไม่เป็นไร แต่สีหน้ากลับมีความสงสัย ถามเสียงต่ำๆ ว่า “นาง…สวยจริงหรือ?”

……

……

ในคืนนั้น บรรดาหนุ่มสาวของสำนักฝึกหลวงถึงกับพูดคุยสนทนาอย่างจริงจัง เพราะเหตุใดจวนขุนพลเทพตงอวี้ จู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจยอมรับสัญญาสมรสของเฉินฉางเซิง เฉินฉางเซิงคิดว่า หรือเป็นเพราะการแสดงออกถึงความสามารถที่น่าอัศจรรย์ของตนเองระหว่างการสอบใหญ่ ถังซานสือลิ่วเยาะเย้ยไม่เห็นด้วย ถังซานสือลิ่วเชื่อว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมของสวีซื่อจีน่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์รวมถึงการตัดสินใจต่อสถานการณ์ของคนผู้นี้

สถานการณ์ทางการเมืองของราชสำนักต้าโจวในตอนนี้เมื่อเทียบกับหลายปีก่อนนั้นแตกต่าง ไม่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะยินดีหรือไม่ นางต้องเริ่มขบคิดว่ายกบัลลังก์ให้ใคร ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เหล่าท่านอ๋องที่กระจายไปทั่วอาณาจักรล้วนมีโอกาส เฉินหลิวอ๋องก็มีความเป็นไปได้ ตระกูลเทียนไห่กลับไม่มีความหวังใดๆ

ยังคงคำพูดเดิม ประชาชนต้าโจวสามารถยอมรับการปกครองโดยพระนาง กลับไม่มีทางยอมรับญาติของพระนางมารับช่วงปกครองต่อ หลายคนรอคอยคนแซ่เฉินกลับมา โดยเฉพาะเฉินฉางเซิงที่อยู่ในกระบวนการรับเกียรติอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าสังฆราชได้แสดงท่าทีบางอย่างแล้ว

สวีซื่อจีเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาก็ต้องพิจารณาอนาคตของจวนขุนพลเทพของตนเอง…เฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงได้รับการยอมรับจากใต้เท้าสังฆราชอย่างเห็นได้ชัด สามารถผ่านการสมรสนี้ ก็เท่ากับได้รับการสนับสนุนในระยะยาวมากขึ้น แต่ถึงแม้ไม่สำเร็จ เขาก็คงไม่ต้องการให้เฉินฉางเซิงคิดลบหรือเป็นศัตรูกับตนเอง

พอฟังถังซานสือลิ่วอธิบายเสร็จ เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าสมเหตุสมผล ในใจคิดอยู่ว่าลูกหลานของบ้านตระกูลดีๆ ตรรกะความคิดช่างแตกต่างกับตนเองยิ่งนัก และหันศีรษะหมายจะถามไถ่ความเห็นของเซวียนหยวนผ้อ กลับเห็นหนุ่มเผ่าปีศาจร่างดั่งภูเขานอนหลับอุตุ

เช้าวันต่อมายามห้า เฉินฉางเซิงตื่นตรงเวลา เรียกถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อ มาที่ห้องเพื่อเริ่มย่างเนื้อ นี่คือสิ่งที่พูดไว้แล้วหลายวันก่อน ฉลองพร้อมกับจินอวี้ลวี่

รายการของกำนัลและเทียบเชิญทั้งหมดอยู่ที่ห้องเก็บของ ไม่มีผู้ใดมารบกวนความสงบของสำนักฝึกหลวงชั่วคราว จนถึงพระอาทิตย์ฤดูใบไม้ผลิแขวนอยู่กลางอากาศ ข่าวสารที่กระจายไปทั่วเมืองฉางอานกว่าครึ่งค่อนวันเพิ่งจะมาถึง

หมูป่าเมฆหมอกหนึ่งตัวเสียบอยู่บนไม้ไผ่เหนือกองไฟถูกแทะจนเหลือแต่กระดูกและเขี้ยวสองซี่ยาวเฟื้อย ลักษณะน่าเกลียดยิ่ง น้ำมันไหลตามซอกเนื้อ ค่อยๆ หยดลงมายังถ่านไฟที่ใกล้ดับ ส่งเสียงซู่ๆ บันดาลถังซานสือลิ่วที่ตกตะลึงอึ้งค้างจนพูดไม่ออกขึ้นมา

“ชิวซานจวิน…ทำเรื่องอะไรไป? แท่นบูชาเหนือใต้ทั้งสองของนิกายหลวง ราชสำนักแห่งต้าโจว และเมืองไป๋ตี้ถึงกับมอบหนังสือพระบรมราชโองการเพื่อเป็นการยกย่อง? เรื่องอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งอย่างเจ้ายังไม่ทันหายร้อน ก็จะถูกถีบลงไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เขามองไปยังเฉินฉางเซิง พูดอย่างเห็นอกเห็นใจ กลับเห็นเฉินฉางเซิงเงียบไม่เปล่งวาจา สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ถามด้วยความสงสัย “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ข้ารู้ตั้งแต่คืนที่ไปจวนขุนพลเทพตงอวี้แล้ว”

“แล้วเหตุใดเมื่อคืนไม่บอกกับพวกเรา?”

“ลืมไป”

ห้องในสำนักฝึกหลวงเงียบลงจนมีเพียงเสียงหยดน้ำมันที่ตกลงบนกองไฟ

“เงียบเสียงเก็บตัวหายไปครึ่งปี แท้จริงแล้วเป็นการอำพรางปิดบังชื่อแซ่ แกะร่องรอยเบาะแสที่องค์กรชุดดำเหลือไว้ในโลกมนุษย์ กลับตามหาร่องรอยของสวนโจวได้ก่อน ผลงานระดับนี้ เยี่ยมยอดจริงๆ”

จิวอวี้ลวี่กลับถึงในห้อง เขาพูดถึงข่าวสารที่เพิ่งได้รับจากพระราชวังหลี เบื้องหลังของข้างในนั้นย่อมมีเนื้อหาสาระมากกว่าที่กระจายอยู่ในนครจิงตู รู้สึกทอดถอนใจมากระดับหนึ่ง

ถังซานสือลิ่วอยู่ฝั่งเฉินฉางเซิง ได้ยินคำพูดเหล่านี้แน่นอนว่าไม่ค่อยพอใจ ทว่ากลับไม่สามารถโต้แย้งใดๆ…ในสถานการณ์ที่ชิวซานจวินไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก ต่อสู้อย่างรุนแรงกับเหล่าหนุ่มสาวที่แข็งแกร่งของเผ่ามารเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดชิงเปิดสวนโจวได้ก่อน จินตนาการได้เลยว่าเขาต้องประสบพบเจอการต่อสู้ที่หนักหนาสาหัสหรือถึงขั้นวัดเป็นตายก็ว่าได้ การสอบใหญ่ดูเหมือนจะรุนแรง ทว่าแท้จริงแล้วการแข่งขันชนิดนั้นกลัวถูกควบคุมอย่างเข้มงวดซึ่งเทียบกันไม่ได้

“องค์กรนั่น?” เฉินฉางเซิงมองจินอวี้ลวี่

จินอวี้ลวี่พยักหน้า เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่ลั่วลั่วโดนลอบสังหาร ฆาตกรเผ่ามารผู้นั้นที่ถูกจับโดยเซวียสิ่งชวน น่าจะเป็นสมาชิกหนึ่งในสมาชิกองค์กรนั้น

“สวนโจวตกลงคืออะไรกันแน่?”

นี่คือความสงสัยที่มากที่สุดในตอนนี้ของหนุ่มสาวทั้งสามคนแห่งสำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อเติบโตในป่าในภูเขา ในคัมภีร์เต๋าก็มิได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ แต่ถังซานสือลิ่วที่เป็นลูกหลานตระกูลในเมืองใหญ่ ไม่คิดว่าเขาก็ไม่เคยได้ยินสวนโจวเหมือนกัน ในความจำของเขา ตอนเด็กที่ท่านปู่อุ้มตัวเองไว้บนตักแล้วนั่งร่ำสุราไปพลางร่ำพรรณนาถึงเรื่องเก่าๆ ไปพลาง ก็ไม่เคยพูดเกี่ยวกับสวนโจว

“วังศึกษา หรือกล่าวได้ว่าโลกใบไม้ครามเป็นโลกใบเล็กของใต้เท้าสังฆราช”

จินอวี้ลวี่นึกถึงชื่อนี้ เค้ารอยบนใบหน้าจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นความกังวลขึ้นมา กระทั่งรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย “สวนโจว คือโลกใบเล็กของโจวตู๋ฟู”

โจวตู๋ฟู ผู้ที่เก่งกาจที่สุดในดินแดนต้าลู่ในรอบหนึ่งพันปี

ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์ เผ่ามาร เผ่าปีศาจ หรือพวกที่อาศัยอยู่ในส่วนลึกลับเขตป่าไม้ต้องห้าม ทั้งหมดทั้งมวลรวมกัน เขายังคงเป็นคนที่เก่งกาจสุด

เมื่อหลายปีก่อน เขาพเนจรไปไกล ไม่มีข่าวสารอีกเลย หลายคนคิดว่าเขาตายแล้ว หลายคนคิดว่าเขาไปโลกใบอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจากไปแล้ว และไม่เคยกลับมาอีก เหลือเพียงแต่โลกใบเล็กใบหนึ่ง

โลกเล็กใบนั้น ก็คือสวนโจว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset