“ข้างในสวนโจวมีอะไร? ขุมทรัพย์?”
“น่าจะมีอาวุธหรือตำราวิทยายุทธ์ของผู้แข็งแกร่งหาใดเปรียบมิได้ที่พ่ายแพ้แก่โจวตู๋ฟูในปีนั้น แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดคือ มรดกของเขาเองก็มีโอกาสที่จะตกหล่นหลงเหลืออยู่ในสวนโจว”
“เข้าไปในสวนโจวแล้วหาสิ่งใดเจอสิ่งนั้นจะเป็นของตนเองเลยหรือ? ไม่ต้องส่งให้ราชสำนัก?”
“ตามผลงานเพื่อการมอบรางวัลมันเป็นกฎเกณฑ์พื้นฐาน แน่นอนว่า แม้สวนโจวจะดีเลิศ แต่การคิดที่จะเข้าไปข้างในกลับเป็นเรื่องสุ่มเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคู่แข่งที่ลำดับขั้นพอๆ กัน ดังนั้นความหมายสำคัญของสวนโจวอยู่ที่มันเป็นสถานที่ในการฝึกฝนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเหล่าผู้บำเพ็ญเพียร”
“แล้วเหล่าผู้อาวุโสที่เก่งกาจเยี่ยมยุทธ์ไม่คิดที่จะเข้าไปในสวนโจวเพื่อแย่งชิงขุมทรัพย์หรือ?”
“พวกผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักหรือศิษย์ของเหล่าตัวประหลาดเฒ่าจะเสี่ยงเข้าสวน แต่พวกเขาก็ยังคงต้องคำนึงถึงท่าทีของนักปราชญ์ทั้งห้า คิดว่าคงไม่ทำเกินเหตุ”
หลายปีที่แล้ว หนึ่งในสงครามโบราณของลั่วหยาง โจวตู๋ฟูชนะจักรพรรดิไท่จง จักรพรรดิไท่จงแห่งต้าโจวต้องแพ้อะไรบางอย่างจากเขาเป็นแน่ ก่อนหน้านี้ เขาอยู่นอกเมืองเสวี่ยเหล่า รบชนะราชามารที่เคยได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุด ตาข่ายฟ้าสุดแข็งแกร่งในมือของราชามารถูกทำลายย่อยยับ ลำดับบนการจัดอันดับร้อยศาสตราร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็ใช้การได้แค่พรางตนลอบฆ่าในสำนักฝึกหลวง
จากจุดนี้สามารถดูออกได้ว่า อิทธิพลของโจวตู๋ฟูที่มีต่อดินแดนต้าลู่มากน้อยปานใด มันแผ่กระจายกว้างขวางขนาดไหน รวมถึงหยั่งรากล้ำลึกเพียงใด ในหนึ่งชีวิตนี้ของเขา ไม่รู้ว่าชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทานไปแล้วกี่คน หากอาวุธและวิทยายุทธ์ของผู้ไร้เทียมทานเหล่านั้นอยู่ในสวนโจวทั้งหมด นั่นก็จะเป็นขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างที่จินอวี้ลวี่กล่าวไว้ ร่องรอยของโจวตู๋ฟูไม่ได้ปรากฏเป็นเวลาหลายร้อยปี เป็นหรือตาย สาบสูญแตกสลายไปในช่องว่างของกาลเวลา ไม่ว่ากรณีไหน ก็อาจเป็นไปได้ที่มรดกของเขายังหลงเหลือตกค้างอยู่ในสวนโจว
มรดกของสุดยอดจอมคนในดินแดนต้าลู่…แค่คิดจิตใจก็ฟุ้งซ่านจนไม่อาจสงบได้ ฟังคำพรรณนาของจินอวี้ลวี่ ในที่สุดทั้งสามคนก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้ง ในห้องพลันเงียบสงบกว่าเดิม หยดน้ำมันที่สะสมอยู่ปลายเขี้ยวแหลมยิ่งมายิ่งหนักอึ้ง
สวนโจวเป็นเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ต้องการเข้าไปเล่า?
หลายปีผ่านไป สวนโจวเปิดตรงเวลา สั่นสะเทือนทั้งแผ่นดินต้าลู่ กลับไม่ใช่ทุกครั้งที่จะสามารถหาตำแหน่งของมันได้ ตำแหน่งของสวนโจวในปีนี้ถูกยืนยันอีกครั้ง ดังนั้นแปลว่า ราชสำนักต้าโจวจะส่งคนจำนวนมากเข้าไปสำรวจสวนโจวเป็นแน่ เพื่อพยายามค้นหาขุมทรัพย์ที่แท้จริงเหล่านั้น
สิ่งที่ชิวซานจวินทำจนถึงตอนนี้ เพียงแค่หาประตูใหญ่ของสวนโจวเจอ หยิบกุญแจของสวนโจว ออกมา หมอกที่ปกคลุมสวนโจวเบื้องหน้าค่อยๆ จางหาย ทว่าโลกภายในนั้นยังคงลึกลับ
อย่างไรก็ตาม โลกเล็กๆ ที่เปิดทุกสิบปีใบนี้ ย่อมมีมาตรฐานในการความควบคุมผู้บำเพ็ญที่ต้องการเข้าโลกใบนี้อย่างเข้มงวดด้วยวิธีการยากจะเข้าใจ…มีเพียงทะลวงอเวจีเท่านั้นถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในนั้นได้
ถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อมองไปที่เฉินฉางเซิง รอบชิงชนะเลิศของการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงทะลวงอเวจีสำเร็จอย่างยากจะหาคำอธิบาย ฉะนั้น แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในสวนโจว
เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะไปมา เขาแน่ใจว่าจำนวนผู้บำเพ็ญหนุ่มสาวที่สามารถเข้าสวนโจวได้ ต้องมากกว่าตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะว่าพรุ่งนี้คือช่วงเวลาของการบรรลุสู่สุสานเทียนซู
“พรุ่งนี้จัดเตรียมยาและหินผลึกให้เรียบร้อย พยายามผ่านการบรรลุที่สุสานเทียนซู” เขามองถังซานสือลิ่วและเซวียนหยวนผ้อพลางกล่าว “ถึงเวลานั้นพวกเราเข้าสวนโจวด้วยกัน”
จินอวี้ลวี่กล่าว “พรุ่งนี้องค์หญิงก็เข้าไปที่สุสานเทียนซูเช่นกัน”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เข้าไปด้วยกันทั้งสี่คนนั่นแหละ”
……
……
ความจริงแล้ว เฉินฉางเซิงไม่ค่อยใส่ใจเรื่องสวนโจว เพราะมันยังอีกไกล…จริงๆ ถ้าคิดตามเวลาแล้ว ก็ไม่ไกลเท่าไร เพียงแต่ความคิดที่อยู่ตรงหน้าของเขา ก็คือคืนนี้
คืนนี้ เขาต้องเข้าพระราชวังเพื่อทำในสิ่งที่ตนจำเป็นต้องทำ รวมทั้งต้องทำเรื่องนั้นให้ดี เพียงเช่นนี้อย่างเดียวเท่านั้น สิ่งของอย่างอื่นบนโลกใบนี้ อย่างเช่น ขุมทรัพย์ และสิ่งมหัศจรรย์ถึงจะมีความหมายสำหรับเขา
ยามพลบค่ำ แสงสนธยาเข้มข้น รถม้าคันหนึ่งจอดหน้าพระราชวังช้าๆ ถังซานสือลิ่วกระโดดลงมาก่อน จากนั้นเป็นเซวียนหยวนผ้อที่ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย แล้วเฉินฉางเซิงก็เดินออกมาจากรถม้า
ข้างหน้าพระราชวังล้วนมีแต่มนุษย์ ที่ใกล้ๆ คือศิษย์หนุ่มสาวของสำนักต่างๆ รวมถึงพรรคต่างๆ ที่ไกลออกไปเป็นฝูงชนที่มาดูเพื่อความคึกคัก การใฝ่หาความคึกคะนองของชาวจิงตูไม่เคยได้รับอิทธิพลจากผลกระทบในเรื่องเวลาและสภาพอากาศ
มองดูสำนักฝึกหลวงโดยเฉพาะทั้งสามคนนำโดยเฉินฉางเซิง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน จู่ๆ ก็ดังขึ้นมา สีหน้าของเหล่าผู้สอบหนุ่มสาวก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ค่ำคืนนี้ สามขั้นของการสอบใหญ่ ศิษย์ทั้งหมดสี่สิบสองคน ล้วนเข้าร่วมงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่อลังการที่จัดโดยจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่โถงจันทรคติ ร้องรำทำเพลงดื่มด่ำเพื่อการเฉลิมฉลอง จากนั้นก็พักผ่อนค้างคืนในพระราชวัง คืนที่สองก็จะตรงไปที่สุสานเทียนซู
ยกเว้นเฉินฉางเซิงที่ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งกลับไม่อาจเข้าร่วมงานฉลองนี้ เพราะต้องไปนั่งสมาธิอย่างสงบหนึ่งคืนที่หอหลิงเยียนโดยลำพัง นี่คือกฎระเบียบ
การวิพากษ์วิจารณ์ของฝูงชน และการเปลี่ยนสีหน้าของเหล่าผู้สอบ ก็มาจากตรงนี้ หอหลิงเยียนเป็นหอแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นพื้นที่ต้องห้าม เมื่อคราวเทศกาลใหญ่หรือราชสำนักเกิดเรื่องใหญ่ ฝ่าบาทถึงจะเข้าหอหลิงเยียน นอกจากนี้แล้ว จะมีเพียงแค่อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ของทุกปี สามารถนั่งสมาธิข้างในหนึ่งคืน ดูจากภายนอกแล้ว แน่นอนว่าเป็นเกียรติอันพิเศษที่หาได้ยาก แต่ความจริงกลับ ไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องดี
ภายในหอหลิงเยียนแน่นอนว่าไม่มีเครื่องนอน นั่งสมาธิหนึ่งคืนสงสัยว่าคงต้องนั่งขัดสมาธิ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนอน แค่จะพักผ่อนชั่วครู่ยังยาก การทรมานอย่างนี้ทั้งคืน ตอนเช้าต้องอิดโรยอ่อนเพลียมากอย่างแน่นอน
ไม่มีใครเข้าใจ เพราะเหตุใดจักรพรรดิไท่จงจึงตั้งกฎนี้ขึ้นในปีนั้น ได้เพียงแต่สรุปว่ามหากษัตริย์พระองค์นั้นมีดำริที่ว่าจะใช้วิธีนี้ เพื่อเพิ่มความจงรักภักดีที่มีต่อแผ่นดินของอันดับหนึ่งขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ในแต่ละรุ่น
ทว่าตามกาลเวลาที่ผ่านไป กฎระเบียบชนิดนี้กลายเป็นเพียงแค่กฎระเบียบ ถูกหลายคนลืมเลือนไปหรือแม้กระทั่งทำเป็นมองไม่เห็น มีเพียงแค่สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว กฎระเบียบนี้หาใช่เป็นแค่กฎระเบียบธรรมดา แต่เป็นเรื่องสำคัญที่สุด คือการที่เขาออกจากซีหนิง มาถึงจิงตู เข้าสำนักฝึกหลวง เข้าร่วมการสอบใหญ่ ผ่านหนาวผ่านร้อนมานับไม่ถ้วน ฝ่าฟันภยันตรายมามากมาย…ก็เพื่อเหตุผลเพียงหนึ่งเดียว
ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนที่มองส่งเขา เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปที่ประตูพระราชวังอันมืดมิดและหนาวเหน็บ
ภายใต้การรับส่งของขันทีคนหนึ่ง เดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวังโดยผ่านวังต่างๆ ผ่านตำหนักแสงเหมันต์ ผ่านสวนรกร้าง พวกนี้ล้วนเป็นสถานที่ที่เขาเคยไป จากนั้นเขาเห็นกำแพงพระราชวังสูงตระหง่านที่อยู่ทางทิศตะวันตกรวมทั้งไม้เลื้อยที่ม้วนตวัดอยู่บนกำแพง ทราบว่าฝั่งนู้นคือสำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้า
ยิ่งเข้าใกล้ส่วนลึกของพระราชวังยิ่งเงียบสงบ หรือถึงขั้นพูดได้ว่าเงียบสงัด ก่อนหน้าที่ยังพอเห็นนางในและขันทีตอนนี้กลับไม่เห็นเงาแม้สักคน เสียงเพลงบริเวณโถงจันทรคติที่อยู่ไกลลิบยิ่งมายิ่งเบา ราวกับเป็นเสียงที่มาจากโลกใบอื่น สุดท้ายหายวับไปทั้งหมด เงียบวังเวงไปถ้วนทั่ว
ขันทีคนนั้นไม่รู้ว่าออกไปเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไร
เหลือแค่เฉินฉางเซิงเพียงคนเดียวและเรือนหลังหนึ่ง
เรือนสูงโดดเดี่ยวหลังนี้ที่อยู่เบื้องหน้า เป็นไปไม่ได้ที่จะมองผิด ที่นี่คือหอหลิงเยียน
ไม่จำเป็นต้องชี้นำ เขาก็ไม่หลงทาง เพราะว่าเส้นทางไปหอหลิงเยียนมีเพียงทางเดียว
หอหลิงเยียนสูงชะลูด เส้นทางตรงดิ่งอันประกอบหลอมรวมจากบันไดศิลา แสงสลัวของม่านราตรีปกคลุมจิงตู หมู่ดาวเคลื่อนที่เข้าใกล้โลกมนุษย์ แสงดาราตกทอดสู่ขั้นบันไดศิลา ปกคลุมบางๆ ชั้นหนึ่งบนนั้น มองจากล่างขึ้นบน ราวกับเป็นขั้นบันไดหินอันไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเดินตรงไปยังจุดสูงสุดของขอบฟ้ารัตติกาล
เฉินฉางเซิงไม่ลังเล เดินตามขั้นบันไดศิลานั้น เดินไปยังหอหลิงเยียนที่อยู่กึ่งกลางฟ้า ฝีเท้าของเขาแน่วเแน่มาก แต่ในไม่ช้า มือทั้งสองที่อยู่ข้างลำตัวค่อยๆ รวบกำเข้าหากันเหมือนกำปั้น สื่อถึงความตื่นเต้นและความคาดหวัง
ลมราตรีพัดเข้ามาโจมตี กระทบอาภรณ์ของเขาจนลอยขึ้นพรึ่บ ส่งเสียงดังหวีดหวิว