เข้าใจจิตใจของใคร ของใต้เท้าสังฆราช จิตใจเป็นอย่างไร เช่นนั้นคงจะต้องพิจารณาตราประทับและลายมือชื่อของใต้เท้าสังฆราชอย่างลึกซึ้ง จะต้องสัมผัสจิตวิญญาณของตนในส่วนลึก จึงจะสามารถเข้าใกล้โลกจิตใจของใต้เท้าสังฆราชที่กว้างใหญ่ไพศาลดังดวงดาวและมหาสมุทรได้สักหน่อยกระมัง
เมื่ออาจารย์ซินออกจากห้องของท่านมุขนายกสำนักการศึกษากลาง ใคร่ครวญถึงประโยคสุดท้ายนั้น สีหน้ายังคงขาวซีด จิตใจยังมิคลายความสงบ เขาทำหลากหลายวิธีพยายามที่จะคิดให้ออก แต่กลับยังคงไม่มีหนทางที่จะแน่ใจว่าอันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง ใต้เท้าสังฆราชตัดสินใจที่จะส่งเสริมสำนักฝึกหลวงให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งเชียวรึ แล้วเพราะเหตุใดในจิงตูไม่มีข่าวคราวใดๆ เพราะเหตุใดถึงเลือกนักเรียนที่อายุน้อยเช่นนี้มาจัดการธุระเล่า กุญแจสำคัญของปัญหาอยู่ตรงที่ เรื่องราวปัญหาของประวัติศาสตร์สำนักฝึกหลวงยังไม่ได้รับการแก้ไข แล้วผู้ใดจะกล้าแตะต้องเรื่องนี้เล่า
เขาสาวเท้ามาถึงด้านหน้าของเฉินฉางเซิง การไตร่ตรองทั้งหมดจะต้องสิ้นสุด ด้วยเหตุนี้เขาใช้เวลาก้าวเดินสิบกว่าก้าว ตัดสินใจว่าตนเองจะทำสิ่งใด รอยยิ้มที่เสแสร้งแต้มอยู่บนใบหน้า พลางเอ่ย “นี่คือสมุดรายชื่อและกุญแจ เพียงแต่ว่าเจ้าอาจจะมีบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ ถึงแม้จะมีรายชื่อในสมุดรายชื่อของสำนักฝึกหลวง พวกเราก็ยากยิ่งที่จะตามพวกเขากลับมา”
เฉินฉางเซิงรับเอาสมุดรายชื่อมาพลิกออกสองหน้า พบว่าหน้าของสมุดรายชื่อเก่าแก่อย่างยิ่ง บนรายชื่อส่วนใหญ่ด้านหลังล้วนแต่มีคำว่า ‘ลบออก’ สองคำนี้ จึงเอ่ยถามว่า “ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร”
อาจารย์ซินคิดว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของตนเองไม่ใช่รึ เมื่อคิดได้เช่นนี้ แต่กลับไม่เอ่ยออกมา เขามีวิธีการที่แน่วแน่แล้ว เพียงแค่ไม่เอาตนเองไปป่าวร้องให้กำลังใจแทนสำนักฝึกหลวง ไม่ต้องการไปพัวพันกับแผนการที่เข้าใจยากของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ทำในสิ่งที่สามารถทำได้ในอำนาจขอบเขตของตน หากต้องการเงินก็มีเงินให้ หากต้องการคนก็มีคนให้
“เจ้าคิดว่า…ร่ำเรียนที่สำนักฝึกหลวง ตอนนี้ยังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่” เขาจ้องไปยังนัยน์ตาของเฉินฉางเซิง หยั่งเชิงถามออกไป
เฉินฉางเซิงคิดไตร่ตรอง จึงกล่าวว่า “ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ”
“หากเจ้าต้องการให้อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าโยกย้ายมาสำนักฝึกหลวง…อย่างนั้นเกรงว่าไม่ได้”
อาจารย์ซินหัวเราะพลางกล่าวออกไป ตนเองรู้ดีว่าประโยคนี้มิได้น่าขำขันสักนิด กลับจะเหมือนน่าเบื่อเสียมากกว่า
เฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “ข้าต้องการคน”
ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของอาจารย์ซินค่อยๆ หยุดลง กล่าวด้วยสีหน้าปกติ “ต้องการกี่คน”
เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างจริงจัง “ต้องการจำนวนมาก”
ท่วงท่าของอาจารย์ซินไม่เปลี่ยนแปลง มือทั้งสองกลับค่อยๆ เย็นลง ในใจใคร่ครวญมิน่าเล่าเป็นดังเช่นหัวหน้าสำนักการศึกษากลางได้คาดเดาไว้ ใต้เท้าสังฆราชได้ใช้เบื้องหลังของการเปิดสำนักฝึกหลวงขึ้นอีกครั้ง…เพื่ออำพรางจุดมุ่งหมายที่ไม่สามารถบอกให้ผู้คนทราบได้อย่างนั้นรึ หาไม่แล้วนักเรียนหนุ่มคนนี้เพราะเหตุใดถึงได้เอ่ยว่าต้องการคน ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องการคนจำนวนมาก ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ละเมิดข้อห้ามต่างๆ จริงแล้ว อย่างนั้นจะทำอย่างไร
“ข้าขอถามอะไรสักหน่อย…เจ้าต้องการคนจำนวนมากเพราะเหตุใด”
เขาจ้องเขม็งไปยังนัยน์ตาของเฉินฉางเซิงกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ ลักษณะท่าทางเอาจริงเอาจัง เตรียมพร้อมที่จะปฏิเสธทุกเมื่อ หลังจากนั้นก็หันหลังกลับออกไป
เฉินฉางเซิงไม่ได้รับรู้ถึงความตื่นเต้นของเขา ถึงแม้จะสามารถรับรู้ได้ ก็ไม่มีวิธีที่จะเข้าใจ เอ่ยว่า “สำนักฝึกหลวงมีพื้นที่ไม่ได้เล็ก สิ่งปลูกสร้างหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้รับการซ่อมแซม ถึงแม้การบูรณะจะค่อยๆ ทำได้ แต่ว่าหากต้องการที่จะศึกษาตำราข้างใน ถึงอย่างไรก็ต้องทำความสะอาดเสียหน่อย ถ้าว่ากำลังคนไม่พอ เกรงว่าจะเสียเวลานาน”
อาจารย์ซินได้ฟังคำพูดนี้ ถอดถอนลมหายใจเย็นๆ ออกมาหนึ่งครั้ง ไม่ใช่เพราะเกรงกลัว เพียงแค่คาดคิดไม่ถึง เป็นห่วงว่าเฉินฉางเซิงจะเสียใจภายหลัง กล่าวโดยมิได้ลังเลว่า “เบี้ยเลี้ยงที่ควรมีจะรีบส่งไปให้ กำลังคนที่ควรจัดสรรก็ไม่น้อย ข้าจะจัดสรรคนงานไปให้ชั่วคราวก่อน ไม่ๆ ข้าจะพาคนงานไปส่งให้ท่านด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดประโยคเหล่านั้นแล้ว เขาก็ตบไหล่เฉินฉางเซิงอย่างสนิทสนม ประคองแขนของเฉินฉางเซิงเบาๆ มุ่งไปยังห้องโถงของสำนักการศึกษากลาง อาจารย์ซินที่เวลาปกติน่าเกรงขามหาผู้ใดเปรียบ คาดไม่ถึงว่าจะสนิทสนมกับเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ ภาพของฉากนี้ไม่รู้ว่าดึงดูดสายตามากเท่าไหร่ เป็นธรรมดาที่จะก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์
“เฉินฉางเซิงเข้าไปในสำนักฝึกหลวงจริงรึ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ…หลังจากที่หญิงรับใช้อาวุโสหนิงจากไป ผ่านไปไม่นานเขาก็ไปที่สำนักการศึกษากลาง”
ห้องตำราของจวนขุนพลเทพตงอวี้ หลังจากพูดคุยสองประโยคง่ายๆ นี้ ก็ตกอยู่ในความเงียบอย่างรวดเร็ว
ท่าทางที่เย็นชาของสวีซื่อจี จ้องมองไปยังหญิงรับใช้อาวุโสฮวาที่กำลังไม่สงบ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นความหมายของทางนั้น อย่างนั้นยังไม่ต้องจัดการชั่วคราว”
ฮูหยินสวียืนอยู่ข้างๆ กล่าวด้วยความกังวล “เพราะเหตุใดถึงมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้”
สวีซื่อจีกล่าวว่า “ข้าให้นางออกหน้าจัดการกับปัญหาของสำนักเด็ดดารา ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าเด็กคนนั้น ยอมสละน้ำใจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เดิมทีปรารถนาจะนำเรื่องการหมั้นหมายบอกแก่นาง รายงานจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์โดยผ่านนาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางทำสิ่งใดก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล”
ฮูหยินสวีใบหน้ากลัดกลุ้ม เอ่ยว่า “ปัญหาอยู่ที่หญิงรับใช้อาวุโสหนิงเอ่ยสองประโยคนั่น ปรารถนาให้เจ้าเด็กนั้นมีชีวิตอยู่ เพราะเหตุในพระราชวังต้องก้าวก่ายเรื่องเล็กๆ เช่นนี้ด้วยเล่า”
สวีซื่อจีมองหญิงรับใช้อาวุโสฮวาแวบหนึ่ง
หญิงรับใช้อาวุโสฮวาก้มศีรษะลง กล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อคืนวาน แม่นางซวงเอ๋อร์เข้าไปในพระราชวัง ตามที่คุณหนูมีจดหมายส่งกลับมา”
ฮูหยินสวีได้ฟังประโยคนี้ รู้สึกไม่ยินดี กล่าวว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เขียนจดหมายถึงบิดามารดา เขียนจดหมายถึงคนนอกเพื่อสิ่งใด”
สวีซื่อจีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากฟังคำพูดเหล่านั้น เอ่ยว่า “การสมรสเป็นเรื่องใหญ่ บิดามารดาถึงจะเป็นผู้ตัดสินใจ ถึงแม้ผู้อาวุโสของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มิได้สนใจ เจ้าจะกังวลใจกับเรื่องเหล่านั้นทำไมกันเล่า เพื่อให้เกียรติแม่นางม่ออวี่ เพราะฉะนั้นให้เจ้าเด็กนั่นมีชีวิตชั่วคราว หากเขายังคงไม่ยินยอมอยู่ในขอบเขต ค่อยมาเจรจากันอีกทีก็ไม่สาย”
ฮูหยินสวี เอ่ยว่า “เพียงแค่กังวลว่าเจ้าเด็กนั้นภายหลังตำแหน่งหน้าที่ก้าวไกล จะแค้นใจคนในจวน”
ทันใดนั้นสวีซื่อจีหัวเราะ กล่าวคำที่มีความหมายลึกซึ้งออกมา “ตำแหน่งหน้าที่ก้าวไกลรึ”
ฮูหยินสวีจ้องมองสามีของตนเองหัวเราะรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย โบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงรับใช้อาวุโสฮวาถอยออกไป พลางกล่าวเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้องค์ชายเฉินหลิวให้คนมาเชิญท่านพี่ไปร่วมงานเลี้ยง ท้ายที่สุดแล้วท่านพี่ได้เข้าร่วมหรือไม่ ถึงแม้ว่าเขาได้รับคำชื่นชมจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มากทีเดียว แต่ว่าฐานะเขาถึงอย่างไรก็มีความพิเศษ คิดว่าไม่ค่อยเหมาะสม”
ตั้งแต่หลายปีก่อน เชื้อพระวงศ์หลังจากถูกสำเร็จโทษอย่างโหดเหี้ยมครั้งสุดท้ายเพราะวางแผนให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลงจากบัลลังก์มังกร ลูกหลานทั้งหมดของเชื้อพระวงศ์ภายในสามรุ่น ล้วนแต่ถูกให้ขับออกจากจิงตู ทุกอำเภอของมลรัฐล้วนแต่ถูกจับตามอง มีเพียงแค่องค์ชายเฉินหลิวของจวนเซียงอ๋องยังสามารถอาศัยอยู่ที่จวนอ๋องในจิงตูต่อไปได้เนื่องจากยังทรงพระเยาว์
ก็เป็นเพราะว่าทรงพระเยาว์นี่เอง ดังนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทรงอนุญาตให้องค์ชายกับองค์หญิงที่มีอายุพอๆ กันเข้าพระราชวัง ยังได้ศึกษาร่ำเรียนกับแม่นางม่ออวี่ ทั้งสองได้พัก ดื่ม กินที่เดียวกัน มีความผูกพันกันลึกซึ้ง เขาก็รอให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองให้เขาเติบใหญ่ ดังนั้นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญและรักใคร่เขา เกรงว่าหลังจากเติบใหญ่ก็คงไม่ให้ออกจากจิงตู ถึงขนาดที่จะให้เขาเป็นองค์รัชทายาทกระมัง
แน่นอน มีผู้คนจำนวนมากคิดว่าองค์จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำดีกับองค์ชายเฉินหลิวเช่นนี้ นอกจากความรักความเอ็นดูที่มีต่อกัน องค์ชายเฉินหลิวขณะนี้อยู่ที่ราชวังก็ยังมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในโลกมนุษย์ ที่สำคัญกว่านี้ก็คือ เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองใบหน้าของเขา คงจะทำให้คิดถึงองค์ชายที่ทรงประสูติด้วยองค์เองซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม องค์ชายเฉินหลิวในที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์ ในร่างกายของเขาก็ยังมีโลหิตของราชสำนักไหลเวียนอยู่ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ระแวดระวังในตัวเขา และสวีซื่อจีเป็นขุนพลเทพตงอวี้ที่มีความสำคัญต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เรื่องอย่างการไปร่วมงานเลี้ยงที่จริงแล้วดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่
ฟังคำพูดของฮูหยินสวี สวีซื่อจีเงียบงันไปชั่วขณะ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร องค์ชายบอกกล่าวด้วยเจตนาดีครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากข้ายังคงทระนงในฐานะตนเอง องค์ชายคงไม่ยินดี ในพระราชวังก็คงมองข้าไม่ดีสักเท่าไหร่ ขุนนางที่ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใดจนเกินไปก็ไม่ใช่ขุนนางที่ดีนัก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จิตใจใสสะอาดดั่งกระจก รู้ว่าองค์ชายเฉินหลิวเพียงแค่อยากมีความสัมพันธ์ผ่านทางข้าและตระกูลชิวซาน ดูแลเซียงอ๋องที่กัดฟันต่อสู้กับวันเวลาอยู่ทางทิศใต้อันไกลโพ้นอย่างดี เรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความกตัญญู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์น้ำใจดั่งมหาสมุทร แล้วจะใส่ใจทำไมเล่า พูดถึงเซียงอ๋องที่ชีวิตนี้มีความซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะเรียกเขากลับมาจิงตูก็เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก”
ฮูหยินสวีมิได้เอ่ยสิ่งใด ความรู้สึกกลับตึงเครียด นางเข้าใจอุปนิสัยของสวีซื่อจีมากกว่าผู้ใด ในวันปกติเขาจะอยู่ลำพังพูดน้อย ในเวลานี้กล่าวคำอธิบายมากมาย แต่หากไม่อธิบายให้ตนเองฟัง อย่างนั้นจะไปอธิบายให้ใครฟังเล่า ก็คงจะอธิบายว่าตนเองก็ไม่แน่ใจว่าคำพูดเหล่านี้แท้ที่จริงแล้วจะมีคุณค่าหรือไม่
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขายังคงต้องไปงานเลี้ยงขององค์ชายเฉินหลิว นี่อธิบายถึงอะไรเล่า
หลังจากที่สวีซื่อจีกล่าวประโยคเหล่านั้นแล้ว ก็พบว่าตนเองแสดงสิ่งที่ผิดปกติออกไป จึงทำจิตใจให้แน่วแน่ จ้องมองไปยังฮูหยินยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไป…เจ้าเด็กคนนั้นก็คงจะไม่สามารถมีอนาคตใดๆ หรอก แม่นางม่ออวี่ให้เขาเข้าไปที่สำนักฝึกหลวง เดิมทีความหมายก็เป็นเช่นนี้”
ชื่อของสำนักฝึกหลวง เมื่อได้ยินที่จริงแล้วช่างยอดเยี่ยมจริงๆ สามารถนำคำว่า ‘ฝึกหลวง’ มาเป็นชื่อได้ ดูยังไงก็คงไม่ห่างจากสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารามากนัก ในความเป็นจริง ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมายาวนานหลายร้อยปี สำนักฝึกหลวงที่จริงแล้วเป็นสำนักที่ดีที่สุดในจิงตูมาตลอด และก็สอบเข้าสำนักยากที่สุดอีกด้วย
แต่ว่าขณะนี้ สำนักฝึกหลวงเสื่อมโทรมราวกับต้นหญ้าในฤดูใบไม้ร่วงมานานแล้ว ถูกผู้คนลืมเลือน อยู่ภายในสำนักไม่ได้มีฐานะใดๆ ถ้าหากว่าเป็นเหมือนเมื่อหลายปีก่อนที่ไม่มีข่าวสารใดๆ ก็คงจะแล้วไป แต่นี่ยังมีข่าวคราวเล็กน้อย คงจะทำให้อับอายขายหน้าไม่มีที่สิ้นสุด มิเช่นนั้นอาจารย์และนักเรียนเหล่านั้น เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ จะกระจัดกระจายจนว่างเปล่าอย่างนี้รึ
สำนักฝึกหลวงเปลี่ยนแปลงเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้ ยิ่งต้องกล่าวถึงเรื่องในอดีตหลายสิบปีที่ผ่านมา ในปีนั้นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงยังดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำของนิกายหลวง เป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกับใต้เท้าสังฆราช อยู่ภายในนิกายหลวงยังมีตำแหน่งเทียบเท่าสังฆราช ได้รับความยกย่องเลื่อมใสอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเทพธิดาของนิกายทางทิศใต้ก็ยังต้องทำความเคารพ กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์นิกายหลวง
กล่าวกันตามเหตุผล มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ควรที่จะพึงพอใจถึงจะถูก แต่ว่าจิตใจมนุษย์ก็เหมือนกับดวงดาวดาษเดียรบนท้องฟ้า ยากที่จะนับได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีหนทางที่จะมองเห็นได้ชัดเจน เจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงปรารถนาที่จะแย่งชิงตำแหน่งสังฆราช แต่ว่าไม่ได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายเขาจึงสมคบคิดกับเชื้อพระวงศ์ทั้งผู้อาวุโสและผู้เยาว์วัยที่จงรักภักดี วางแผนที่จะโค่นล้มการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏว่าเพียงแค่หนึ่งคืนก็พ่ายแพ้ย่อยยับ เจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงถูกใต้เท้าสังฆราชประหารให้กลายเป็นเถ้าธุลีด้วยตนเอง และผู้ที่สนับสนุนสำนักฝึกหลวงอย่างแน่วแน่เป็นธรรมดาที่จะประสบกับชะตากรรมนองโลหิต
หลังจากคืนนั้น ก็มีคนเคยที่จะพยายามฟื้นฟูสำนักให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครา ทว่าก็ถูกเพ่งมองจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และผู้ที่ดำรงตำแหน่งสังฆราชในปีนั้นซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดในโลกมนุษย์ ศิษย์ของสำนักฝึกหลวงเมื่อสำเร็จการศึกษาออกมาแล้วก็ไม่มีอนาคตอย่างสิ้นเชิง เพียงใช้ระยะเวลาแค่สองปี สำนักฝึกหลวงก็หมดหนทางที่จะมีนักเรียนมาสมัครสอบเข้าศึกษา เป็นธรรมดาที่อาจารย์จะต้องจากไป
ก็เป็นเช่นนี้ สำนักฝึกหลวงที่เคยมีเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ แปรเปลี่ยนเป็นสวนภูตผีที่น่าสะพรึงกลัว
จนกระทั่งระยะเวลาผ่านพ้นมาสิบกว่าปี สำนักฝึกหลวงจึงต้อนรับนักเรียนใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นักเรียนใหม่คนนั้นมีนามว่าเฉินฉางเซิง
“เข้าเรียนรึ”
“ไม่ใช่ นั่นคือการเนรเทศ”
“นักเรียนใหม่หรือ”
“ไม่ นั่นคือเหวลึกที่ไม่อาจปีนป่ายออกมาได้ตลอดกาล”
สวีซื่อจีสรุปออกมาสีหน้าไร้ความรู้สึก