อะไรคือโชคชะตา? คำคำนี้มีนิยามมากมาย มั่งมียากไร้ก็ต้องเผชิญหน้ากับชะตาบนเส้นทางแห่งชีวิต เส้นทางชีวิตไม่เที่ยง จับต้องไม่ได้ เรื่องราวขึ้นๆ ลงๆ ยากคาดเดา หรือว่าลิขิตลึกลับไม่อาจคาดเดาได้?
หากชะตาชีวิตไม่สามารถหยั่งรู้ และความเป็นไปของมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลง การเป็นอยู่แบบนี้ไหนเลยมีความหมาย คัมภีร์สวรรค์ถือกำเนิดขึ้นบนโลก สรรพสิ่งบนดินแดนต้าลู่เริ่มบำเพ็ญเพียร หยิบยืมพลังจากท้องฟ้าดวงดาว เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรไม่ยอมรับคำตัดสินเรื่องนี้ พวกเขาจะขบคิดว่าโชคชะตาของตนเองคืออะไร ใช้หัวใจอันยิ่งใหญ่ไม่หวั่นไหวไปเผชิญหน้ากับโชคชะตา กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
จุดเริ่มต้นของการเกิดความสัมพันธ์ระหว่างผู้บำเพ็ญทุกคนและโลก ก็คือคืนที่ยืนยันดาวโชคชะตา ผู้คนรู้จักโชคชะตา ในที่สุดก็ตกอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนท่ามกลางคลื่นหมู่ดาว
นับแต่อดีต ดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง หรือความสว่าง ล้วนแน่นอนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่องสว่างท่ามกลางผู้คนอย่างเคร่งครัดและเป็นนิรันดร์ เส้นสัมพันธ์ระหว่างดวงดาวมากมายแน่นอนว่าซับซ้อนไร้จุดสิ้นสุด ไม่สามารถบรรยายออกมาได้อย่างสิ้นเชิง รูปร่างที่เกิดจากการรวมตัวของเส้นเหล่านั้นเป็นเช่นนี้
มองดวงดาวบนท้องฟ้า ผู้คนก็จะเห็นรูปร่างตระการตาจนทำให้ใจสั่น ซับซ้อนจนใจเต้น พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างแน่นอนว่าภายในรูปร่างเหล่านั้นต้องซ่อนความหมายอันลึกซึ้ง
ไม่กี่ปีที่แล้ว ผู้มากความสามารถรุ่นก่อนในนิกายหลวง คล้ายกับว่าสังเกตเห็นการตอบสนองบางอย่างระหว่างฟ้าและคน คาดเดาออกส่วนหนึ่งว่ามีพลังงานชนิดหนึ่งในดวงดาวบนท้องฟ้า ที่คาดเดาไม่ได้อีกส่วนส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของทั้งดินแดนต้าลู่
ทว่าสำหรับปัจเจกบุคคลของทุกสิ่งมีชีวิตแล้ว ดาวโชคชะตาของพวกเขารวมถึงบริเวณเขตแดนดวงดาวรอบๆ ดาวโชคชะตา รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างท้องฟ้ากับดวงดาวทั้งหมด หรือนั่นก็คือโชคชะตาของตัวสิ่งมีชีวิต
…คำสันนิษฐานนี้ พอดีเข้ากับตำราลัทธิเต๋าที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาอันเปี่ยมด้วยปรัชญาและคำอธิบายที่เข้าใจยากที่สุด โชคชะตาคือกิจกรรมเส้นทางชีวิตโดยรวมระหว่างคนและคน
ท้องฟ้าดวงดาวปราศจากขอบเขตสามารถรองรับคนจำนวนมาก แม้สำหรับคนคนหนึ่งโชคชะตาจะลึกลับ อย่างไรก็สามารถค้นเจอคำพรรณนาที่ตรงกันจากในนั้นได้อย่างแน่นอน
อาจกล่าวได้ว่า หลังคนคนหนึ่งคลอดออกมาแล้ว เส้นทางโชคชะตาชีวิตของเขาจะสามารถหาคำพรรณนาที่ตรงกันกับดวงดาวบนท้องฟ้า หรืออาจกล่าวได้ว่า ก่อนคนคนหนึ่งคลอด โชคชะตาของเขาก็มีอยู่ในท่ามกลางดวงดาวบนท้องฟ้าแล้ว หรือว่าเส้นตรงสั้นๆ หรือรูปภาพดาวที่มีพลังอันยิ่งใหญ่ ผู้บำเพ็ญที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง ต้องเปลี่ยนแปลงเส้นตรงหรือแบบภาพที่พรรณนาถึงโชคชะตาของตัวเอง ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและความสว่างของดวงโชคชะตา แต่ถ้าต้องการให้ตำแหน่งและความสว่างของดาวโชคชะตาเข้ากับที่ตัวเองตั้งใจจะเปลี่ยน เส้นสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงดาวอื่นรอบๆ แน่นอนว่าก็ต้องเปลี่ยนตามเช่นกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า มีโชคชะตาของหลายคนจะถูกเปลี่ยนไปด้วย
โชคชะตาไม่เคยอยู่อย่างโดดเดี่ยว โชคชะตาของแต่ละคนกับของผู้อื่นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ยังคงเป็นคำอธิบายเดิมตามตำราลัทธิเต๋า โชคชะตาคือกิจกรรมเส้นทางชีวิตโดยรวมระหว่างคนและคน
เพียงแต่ล้านล้านปีที่ผ่านมา ผู้สังเกตดวงดาวจำนวนมากของต้าลู่ได้บันทึกคำอธิบายเอาไว้ ดาริกาบนท้องฟ้า ไม่เคยขยับ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหรือความสว่าง ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง คิดอยากจะเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองผ่านการขยับดาวโชคชะตา แค่ฟังก็รู้ว่าคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ผู้ใดมีความสามารถยืนอยู่บนพื้นดินแล้วส่งผลกระทบต่อบนฟ้า? ผู้ใดที่ตัวอยู่บนโลกหล้าแต่สามารถยื่นมือไปเด็ดดาว? บทสรุปฉบับสุดท้ายในตำราลัทธิเต๋า บทความเกี่ยวกับโชคชะตามีประมาณหกร้อยกว่าตัวอักษร ทว่ามีเพียงท่อนที่สองที่กล่าวถึงความเป็นไปได้ในบางข้อแบบพื้นฐาน เช่นหลังจากที่ผู้บำเพ็ญเข้าสู่ขั้นอิสระอย่างแท้จริง หรือว่ามีโอกาสทำได้ถึงจุดดังกล่าว แต่ว่าขั้นอิสระชนิดนั้น เมื่อเทียบกับขั้นอำพรางเทพในตำนานแล้วยิ่งลึกลับ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมามันก็มีอยู่แค่ในจินตนาการ เหมือนเรื่องเล่าขานในตำนาน จะมองว่าเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร?
ฉะนั้น จริงๆ แล้วมีใครเคยท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้สำเร็จบ้าง? จากการบันทึกในคัมภีร์ลัทธิเต๋าฉบับนั้นหรือว่าคำอธิบายของทางการ ตั้งแต่คัมภีร์สวรรค์ตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนดินแดนต้าลู่ ถึงแม้จะเคยเกิด แต่เพราะว่าไม่มีหลักฐาน และเพราะว่าส่งผลกระทบมากเกินไป จึงไม่มีใครเลยกล้าวิจารณ์อย่างเปิดเผย
ความจริงแล้ว ท่ามกลางฝูงชนมีข่าวลือบางอย่างที่เล่าขานต่อๆ กันมา หรือจะพูดว่าเป็นการคาดเดาต่างๆ นานา ในหนึ่งพันปีที่ผันผ่านไป น่าจะมีเกิดการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาขึ้นสามครั้ง มีเพียงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดสามคนที่ถูกสงสัยว่าเป็นคนท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ถึงจะสามารถลบล้างบันทึกของสำนักดาราศาสตร์และหอดูดาว ถึงมีอำนาจทำให้เหล่ามนุษย์บนโลกหล้าล้วนไม่กล้าหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาวิจารณ์ เพราะว่าผู้เกี่ยวข้องของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสามครั้งนั้น ล้วนเป็นจักรพรรดิของดินแดนต้าลู่
สามคนนั้นคือจักรพรรดิไท่จู่ จักรพรรดิไท่จง รวมถึง…จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ของต้าโจว
……
……
พันปีที่แล้ว ราชสำนักก่อนระส่ำระสาย ประชาชนอดอยาก นอกจากนี้ยังมีเผ่ามารที่จ้องตาเป็นมัน ทางใต้เหล่าตระกูลมีฐานะคิดคดเอาใจออกหาก ขุนพลลุกฮือขึ้นมาผดุงคุณธรรมหลายครั้ง สงครามรบราติดต่อกันหลายหน ดินแดนจวนจะพินาศ
จากสงครามที่ดุเดือดเลือดพล่านนี้ ผู้แข็งแกร่งเลิศล้ำนับไม่ถ้วนของต้าลู่แสดงตนออกมาไม่หวาดไม่ไหว แม้กระทั่งปรากฏผู้เก่งกาจจากขั้นเทพจำนวนหนึ่งออกมา นี่ก็คือช่วงจุดเปลี่ยนครั้งแรกของขอบเขตการบำเพ็ญ
ณ ขณะหนึ่ง หัวเมืองลั่วหยางเปลี่ยนธงชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดท่านหนึ่งนำพาราชาที่แพ้รบเข้าไปที่ตงชิว วันต่อมาคุณชายสองของตระกูลเซียวทางใต้เปลี่ยนตำแหน่ง สถาปนาตนเองขึ้นเป็นซือหม่า ถือหนังสือราชโองการของเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นำพาผู้แข็งแกร่งของบรรดาพรรคต่างๆ ไปกำจัดขุนนางโฉดชั่วข้างกายจักรพรรดิ ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายผู้ใดเป็นคนเก็บกวาดพื้นที่ที่พังทลายเหล่านี้
ไท่จู่ตอนนั้นเป็นอ๋องปกครองหัวเมืองเทียนเหลียง เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับนางสนมที่รักใคร่ของอดีตจักรพรรดิ จึงได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างยิ่ง รับคำสั่งในการเฝ้าเมือง สามารถกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนถ่อมตน หรืออาจกล่าวได้ว่าเขาธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง โดยรวมแล้ว ยืนหยัดอยู่ที่เมืองเทียนเหลียงพื้นที่เช่นนี้ ไม่กล้าออกจากภูเขาอยู่นานหลายขวบปี ในสายตาผู้คน เขาจึงถือเป็นคนไม่ได้ความ เทียบกับบรรดาอ๋องที่ฉายแววเจิดจรัสเหล่านั้น อย่างไรก็ดูมืดหม่นอับแสงไป ใครเลยจะคาดคิดว่าเขาจะสามารถแย่งชิงแผ่นดินไปได้ เมื่อพูดถึงแผ่นดิน ไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงชื่อเขา ผู้คนเพียงคิดว่าอ๋องปกครองหัวเมืองเทียนเหลียงเป็นตำแหน่งที่ใช้ได้ และไท่จู่มีบุตรชายประเสริฐอยู่หลายคน น่าจะสามารถเอาตัวรอดได้ในช่วงเหตุการณ์วุ่นวายนั้น รอดูสถานการณ์ สุดท้ายค่อยเลือกนาย ยินยอมค้อมเศียรรับใช้
ไหนเลยผู้ใดจะเคยคิดมาก่อนว่า หลายปีผ่านไป สถานการณ์ต้าลู่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน สงครามต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน กำลังของแต่ละฝ่ายเสียหายมหาศาล ไท่จู่เร้นกายที่เมืองเทียนเหลียง ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น วันหนึ่ง นำพากองทัพสามหมื่นเดินออกมาจากถนนบรรพตบูรพา ครั้งเดียวรบชนะสิบเจ็ดเมือง ร่วมพันธมิตรกับบรรดาตระกูลชนชั้นสูง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนกองกำลังจากสานุศิษย์ทั้งหมดของลัทธิเต๋า คว้าชัยชนะนอกเมืองลั่วหยาง พร้อมได้รับการขนานนามที่กล้าหาญว่าผู้กล้าแห่งหู่ชิว ทะลวงเข้าไปยังเมืองลั่วหยางได้อย่างสำเร็จ ปีที่สองเข้ายึดเมืองจิงตู ขึ้นครองราชย์หน้าสุสานเทียนซูอย่างเป็นทางการ ปกครองใต้หล้าจริงๆ!
หลังจากเรื่องราวดังกล่าว กลับมาดูหน้าประวัติศาสตร์การสถาปนาแผ่นดินต้าโจวส่วนนี้ มีหลายจุดที่ไม่สามารถอธิบายได้ มีเรื่องราวมากมายที่ตามเหตุผลแล้วไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่นบรรดาจักรพรรดิเก่งกล้าที่ทวยราษฎร์เลื่อมใสเหล่านั้น ในตอนแรก เพียงแค่มองอ๋องเมืองเทียนเหลียงผู้นี้ผ่านๆ ก็คงจะบีบคอฆ่าไท่จู่ที่ยังอ่อนกำลังอยู่ สามสนามสงครามแรกหลังจากไท่จู่ออกจากภูเขา ทุกครั้งที่สถานการณ์ย่ำแย่ กลับเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้ตลอด การสงครามติดต่อกันสิบสนามนอกเมืองลั่วหยาง ไท่จู่สมควรสิ้นชีพนานแล้ว แต่กลับไม่ตาย เหมือนท่ามกลางความมืดมนมีพลังงานบางอย่างคอยคุ้มครองเขา
ถ้าจะพูดว่ามันเพียงเป็นแค่โชค โชคอันยิ่งใหญ่ปานนี้ โชคที่ต่อเนื่องเป็นเวลานาน นั่นคือโชคชะตา
หลังการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิไท่จู่ที่จิงตู บุตรทั้งหลายของเขานำกองทัพรบรอบสี่ทิศ พรรคพวกตระกูลชั้นสูงทางใต้เป็นขุนนางในนาม บรรดาจักรพรรดิเก่งกล้าที่ทวยราษฎร์เลื่อมใสที่ไม่ยอมถูกปราบปราม ในเวลานั้น วีรบุรุษทั้งแผ่นดินไม่ตายล้วนถูกจับกุมส่งมายังจิงตู เหล่าผู้หยิ่งยโสเหล่านั้นไหนเลยยินยอม ต่างก่นด่าฟ้าดินบนลานประหารไม่หยุด
มีเรื่องราวเล่าขานหนึ่งที่เริ่มกระจายไปถ้วนทั่วนับตั้งแต่นั้น ที่จักรพรรดิไท่จู่สามารถเปลี่ยนตัวเองจากชนชั้นสามัญ แกว่งดาบฝ่าวงล้อมท่ามกลางผู้แข็งแกร่ง เพราะว่าสิบกว่าปีก่อนเขากับหัวหน้าลัทธิเต๋า ดังเช่นสังฆราชในรุ่นนั้นร่วมมือกันใช้วิธีลับบางอย่างในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา นำเอาดาวโชคชะตาธรรมดาเปลี่ยนเป็นดาราจักรพรรดิ