ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 32 กุญแจของโลงศพสีดำ

โมโหมากหรือ? นั่นมันแน่นอน

หญิงสาวที่ใจดี สงบเงียบเหมือนฝนใหม่กลางภูเขาร้าง กลับถูกคนคลุมถุงชนกับผู้ชายที่ไร้ยางอายเช่นนั้น ไม่ว่าใครก็ล้วนรู้สึกเหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ คนดีตกอยู่ในที่ต่ำทราม โมโหอย่างหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ แต่สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว…นี่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องดี เพราะว่าการต่อสู้กับเผ่ามาร โลกของเผ่ามนุษย์จริงๆ แล้วก็เหมือนกับเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ล้วนเห็นความสำคัญกับการสมรสมาก คนวัยเยาว์ที่มีสัญญาสมรสเหมือนเขาและนางมีจำนวนมาก ก็เหมือนกับที่นางพูดในก่อนหน้านี้ สัญญาสมรสเป็นสัญญาที่ทรงเกียรติชนิดหนึ่ง ถ้าไม่ใช่มีสถานการณ์พิเศษ ยากมากที่จะถูกยกเลิก…ดีที่เขาและนางล้วนเจอคนไม่ดี

ประโยคนี้ฟังดูแล้วมีความประหลาดเล็กน้อย มีเหตุผลมาก เป็นเพราะว่าคู่สมรสล้วนย่ำแย่เช่นนั้น จึงมีแรงกระตุ้นและเหตุผลในการถอนสัญญาสมรส มองดูแล้วเหมือนเป็นปัญหาที่ยุ่งยากมาก แต่ก็แก้ไขไปได้อย่างสบายเช่นนี้ เฉินฉางเซิงจู่ๆ พลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามาก เขาตัดสินใจได้ทีขี่แพะไล่ จัดการปัญหาสุดท้ายทิ้ง

เขามองตาของนาง พูดว่า “เรื่องมาถึงตอนนี้ ข้าก็ไม่สามารถปิดบังเจ้าได้อีก ที่จริงแล้วข้า…”

เส้นสีดำมองดูเหมือนอยู่บนฟ้าไกล แต่ใช้เวลาไม่นานเกินไปก็จะมาถึงหน้าสุสาน คลื่นอสูรจะนำมาซึ่งความตาย เวลาที่โลกใบนี้หลงเหลือไว้ให้พวกเขาน้อยมากแล้ว ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจู่ๆ ก็ใจเต้น นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และก็เป็นเรื่องที่โชคดี เขาเตรียมจะบอกนางว่าตัวเองก็คือเฉินฉางเซิง

เขาเชื่อว่าชื่อของตัวเอง ทั้งต้าลู่ล้วนรู้จัก แม้จะเป็นคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรปีศาจอันไกลโพ้นก็น่าจะรู้จัก

สวีโหย่วหรงไม่รู้ว่าเขาเตรียมที่จะบอกชื่อจริงของเขา นางนึกว่าเขาเป็นลูกศิษย์พรรคภูเขาหิมะ ชื่อว่าสวีเซิง มองเห็นเขาพะอืดพะอม ท่าทางเหมือนจะตื่นเต้น นางก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน

นางนึกว่าเขาจะสารภาพรัก

จิตใต้สำนึกไม่อยากฟัง และก็ได้ทำการเตรียมใจปฏิเสธถ้าเขาพูดออกจากปากจริง

เพียงแต่…นางไม่ได้อยากปฏิเสธ ถ้าเขาบอกว่าชอบตน ตัวนางเองจริงๆ แล้วควรทำอย่างไร? ความคิดของนางสับสนวุ่นวายเล็กน้อย ต่อจากนั้น รู้สึกอีกว่าตัวเองแปลกประหลาดมหัศจรรย์ยากแก่เข้าใจ ทั้งๆ ที่บำเพ็ญเพียรใจเดียว ทำไมถึงเวลาใกล้ตาย กลับคิดเรื่อง…เล็กน้อยพวกนี้? จากนั้น ความคิดที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ยากแก่เข้าใจจู่ๆ ก็หายไปอย่างไร้วี่แวว เหลือเพียงแค่ความสงบ

การบำเพ็ญเพียรมีสาเหตุและเป้าหมายจำนวนมาก บางคนเพื่อความยิ่งใหญ่ บางคนเพื่อรู้ความไม่รู้ที่ล้ำลึกยิ่ง เพื่อค้นหาความสงบของจิตใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วการบำเพ็ญเพียรล้วนเพื่อความเป็นตายสองคำนี้ เพื่อการไม่กลัวความเป็นตาย แล้วพ้นจากความเป็นตาย ทำไมนะหรือ? เพราะว่าในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีความหวาดกลัวอันยิ่งใหญ่อยู่ ในเวลาร้อยปีที่โดดเดี่ยว ดำดิ่งตลอดกาล และในก่อนหน้านี้ไม่นาน นางผู้ที่กำลังอยู่ในวัยรุ่นเพิ่งจะเดินเข้าออกระหว่างความเป็นตายไปเที่ยวหนึ่ง

นางในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาที่สงบที่สุด สามารถมองโลกหล้าที่เต็มไปด้วยสีสันให้จืดจางได้มากที่สุด สามารถเข้าใจจิตใจตัวเองได้มากที่สุด เส้นทางแห่งจิตดวงหนึ่งไม่ปนเปื้อนปราศจากฝุ่นธุลี ปลอดโปร่งอย่างยิ่ง นางมองเฉินฉางเซิง รอคอยคำพูดของเขาจะมาถึง สีหน้าเงียบสงบ ในดวงตากลับมีความเขินอายและรอยยิ้มที่จืดจาง ความเขินอายนั้นไม่มีความโมโห เพียงแค่ความดีใจที่สงบนิ่ง เพราะว่านั่นเป็นเส้นทางการบำเพ็ญเพียรที่นางค้นหา และเป็นเส้นทางที่นางปรารถนา

เวลานี้นางยังคงอ่อนแอ แต่สายตากลับชัดเจนอย่างยิ่ง และก็แน่วแน่อย่างยิ่ง ความรับผิดชอบบนโลกมนุษย์ ความหมายในประวัติศาสตร์ของการรวบรวมเหนือใต้ การต่อสู้กับเผ่ามาร ความรักที่หนักแน่นจริงใจของศิษย์พี่ชาย ความหวังของเหล่าอาจารย์ ไม่ว่าสิ่งใดล้วนไม่สนใจ ไม่ควร

ใช่ ตลอดทางที่เดินมาในสวนโจว นางเคยพูดอะไรมากมายกับเขา ส่วนใหญ่เป็นตำราบำเพ็ญเพียร ภูเขาแม่น้ำทะเลสาบมหาสมุทร น้อยมากที่จะพูดคุยเรื่องจิตใจของกันและกัน ไม่ใช่เพราะทั้งสองคนรู้จักกันเกินไป แต่นางมั่นใจมากแล้ว เขาก็คือเพื่อนคู่คิดที่ตัวเองต้องการจะค้นหา เขาก็คือมิตรที่ดีที่ตัวเองต้องการ ที่ข้างหน้าผาเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นางเคยพูดกับนกกระเรียนขาว ไม่ว่าจะเป็นจอมปราชญ์หรือว่าสัตบุรุษ ล้วนไม่อาจเป็นคู่รักในอุดมคติที่สามารถอยู่ร่วมกันได้ หรือกระทั่งฝ่าฟันผ่านเส้นทางการบำเพ็ญเพียรที่ยาวนานได้ ดังนั้นในตอนนี้ จึงมีสิ่งเดียวที่นางสามารถมั่นใจได้ คนที่นางยอมที่จะอยู่ร่วมกันฝ่าฟันผ่านเส้นทางการบำเพ็ญเพียรผู้นั้นปรากฏออกมาแล้ว

ใช่ นี่เป็นเส้นทางที่นางแสวงหา และต้องการบำเพ็ญเพียร ‘ร่วมทาง’

เดินอยู่ใต้ท้องฟ้าดวงดาว บำเพ็ญเพียรไปด้วยกัน จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต

ใช่ คลื่นอสูรยิ่งมายิ่งใกล้ ความตายยิ่งมายิ่งใกล้ ชีวิตมีความเป็นไปได้ที่จะจบลงทันที แต่มีเพียงเช่นนี้ และเป็นเพราะอย่างนี้ นางยิ่งต้องไม่โกหกหัวใจตัวเอง

ต้นอู๋ถงต้นนั้นที่กลายมาจากธนูยาว ต้อนรับสายลมเติบโตอยู่บริเวณขอบของแท่นหิน ใบไม้เขียวขยับเบาๆ ในสายลม เปลี่ยนเส้นแสงที่อึมครึมเป็นแสงที่นุ่มนวลขึ้น ราวกับมีใครจุดเทียนไข

มองดวงตาของนาง เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจ ฝีปากที่แห้งเล็กน้อยเปิดนิดๆ กำลังจะพูด

และในเวลานี้ ใบไม้สีเขียวจู่ๆ ก็พัดตกลงมาจากปลายกิ่ง ตกลงมาที่ไหล่ของเขาเบาๆ ตัดขาดทุกสิ่งอย่างทิ้ง

ที่ใบไม้เขียวของต้นอู๋ถงตกลงมาตามลม แน่นอนว่าไม่ใช่ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว แต่เป็นเพราะว่าใต้แท่นหินส่งแรงสั่นสะเทือนสายหนึ่งขึ้นมา

แรงสั่นสะเทือนนั้นมองดูเหมือนมาจากแท่นหิน ราวกับมาจากส่วนลึกอันห่างไกลของที่ราบทุ่งหญ้าด้านล่าง แต่ความจริงแล้ว มาจากร่างกายของเฉินฉางเซิง

ไม่รู้ทำไมร่างกายของเขาถึงสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างรุนแรง ฟันสั่นจนเกิดเสียงออกมา เหมือนกับคนป่วยที่เป็นหวัด

สวีโหย่วหรงตกใจเล็กน้อย ถามว่า “เป็นอะไรไป?”

เฉินฉางเซิงไม่ทันสนใจที่จะตอบนาง มองไปยังต้นตอของแรงสั่นสะเทือน มือขวายื่นออกมาอย่างรวดเร็ว กำด้ามกระบี่ไว้แนบแน่น

แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง มาจากกระบี่สั้นด้ามนั้นที่อยู่บริเวณเอวของเขา

เขากุมด้ามจับแน่น กระบี่สั้นยังคงสั่นรุนแรงอย่างไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยิ่งมายิ่งเร็ว ความถี่ยิ่งมายิ่งมาก จนทำให้ลวดลายภายนอกที่ไม่ซับซ้อนบนปลอกกระบี่ล้วนกลายเป็นเส้นพร่าเลือน ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดอีก

พลังในมือของเขายิ่งมายิ่งมาก กลับยังคงไม่สามารถทำให้กระบี่สั้นสงบลงมาได้ มีความกังวลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่เป็นครั้งแรกที่หลังจากอวี๋เหรินมอบกระบี่สั้นแท่งนี้ให้กับเขา แล้วเจอสถานการณ์เช่นนี้

จิตสัมผัสของเขาตกลงบนด้ามจับกระบี่ ลองควบคุมใหม่ กลับล้มเหลวเช่นกัน จิตสัมผัสแล่นเข้าไปลึกกว่านั้นตามด้ามจับกระบี่ มาถึงในช่องว่างแห่งนั้น แล้วก็ได้เจอกับต้นตอของแรงสั่นสะเทือน

ท่ามกลางขวดยา ตำราลับ และอัญมณีทองคำที่บินว่อนไปทั่วเหล่านั้น มีศาสตราสีดำชิ้นหนึ่งกำลังบินด้วยความเร็วสูง โจมตีสิ่งของที่พบเจอทั้งหมดจนกลายเป็นฝุ่นผง ตามความเร็วในการบินที่สูงขึ้น ศาสตราสีดำชิ้นนั้นยิ่งมายิ่งร้อน และก็ยิ่งมายิ่งสว่างไสว ไอพลังปราณและเส้นแสงที่แข็งแกร่งกระจัดกระจายไปทั่วทั้งสี่ ราวกับจะกลายเป็นพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงดวงหนึ่ง

ศาสตราสีดำชิ้นนี้ก็คือศูนย์กลางจิตวิญญาณของเมืองไป๋ตี้ และก็เป็นใจกลางสำคัญของสุสานโจวตู๋ฟูแห่งนี้

ตอนนี้ราวกับว่ามันรับรู้อะไรบางอย่างที่โลกด้านนอก ถึงได้จู่ๆ ก็บ้าคลั่งขึ้นมา

ถ้าระดับขั้นของเฉินฉางเซิงในตอนนี้สูงหน่อย จิตสัมผัสแข็งแกร่งหน่อยอาจจะลองใช้อำนาจที่มีต่อช่องว่างทั้งหมดกดทับเชิงบังคับศูนย์กลางจิตวิญญาณในสภาพบ้าคลั่งลงได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีความสามารถเช่นนี้ ขนาดแค่ให้ศูนย์กลางจิตวิญญาณสงบสักพักยังทำไม่ได้ ถ้าเขาพยายามลองอีก เวลานานแค่ไหนก็ไม่สามารถทำสำเร็จ กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งช่องว่างจะได้รับความสูญเสียที่หนักหนาสาหัส

ไม่มีวิธีอื่น เขาทำได้เพียงยอมแพ้ เคลื่อนจิตสัมผัส ปล่อยศูนย์กลางจิตวิญญาณสีดำชิ้นนั้นออกมา

เสียงอื้ออึงร้องลั่นดังสนั่นขึ้นมาหนึ่งเสียง ศูนย์กลางจิตวิญญาณสีดำปรากฏอยู่บนแท่นหิน ปลดปล่อยพลังแสงมหาศาล ส่องสว่างทุกเส้นสายบนใบไม้เขียวของต้นอู๋ถง ปลดปล่อยแรงกดดันที่ยากจะจินตนาการได้ ทำให้สวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิงหายใจยากลำบากขึ้นมา โดนเฉพาะสภาพบาดแผลของสวีโหย่วหรงยังไม่หายดี สีหน้าขาวซีดอ่อนแออย่างยิ่ง

ที่โชคดีคือ ศูนย์กลางจิตวิญญาณไม่ได้หยุดอยู่บนแท่นหินเป็นเวลานาน และก็ไม่ได้โจมตีใส่พวกเขาสองคน ยิ่งโชคดีกว่านั้น และที่ไม่สามารถเข้าใจได้คือ ทั้งๆ ที่ศูนย์กลางจิตวิญญาณชิ้นนี้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่กำลังเข้าใกล้สุสานโจวอย่างชัดเจนถึงได้บ้าคลั่งขึ้นมาเช่นนี้ กลับไม่ได้ทดลองประชันกับใบไม้สีเขียวบนต้นอู๋ถงเพื่อทะลวงออกไป แต่สลายกลายเป็นเส้นแสงสายหนึ่ง แล้วบินไปยังบริเวณส่วนลึกของสุสาน

เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจ้องมองซึ่งกันและกันปราดหนึ่ง รับรู้ถึงความหมายในตาของฝ่ายตรงข้าม เขาแบกนางไว้บนตัว ไล่ตามเส้นแสงสายนั้น เข้าไปในสุสานแห่งนี้อีกครั้ง

……

……

บริเวณส่วนลึกของสุสาน กว้างใหญ่แต่อึมครึม โลงศพหินภูเขาไฟสีดำที่ใหญ่มหึมาวางอยู่ตรงกลางโถงใหญ่อย่างสงบดั่งขุนเขา

ศูนย์กลางจิตวิญญาณสีดำลอยอยู่ในอากาศข้างหน้าโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ ขยับก็ไม่ขยับ ปลดปล่อยเส้นแสงที่จืดจาง เหมือนกับดวงไฟชีวิตดวงหนึ่ง

ตอนที่เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงกลับเข้าไปในสุสาน ที่เห็นก็คือภาพฉากนี้

ในระหว่างนั้น เหมือนพวกเขาจะได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงนั้นเบามาก อึมครึมมาก ราวกับมาจากหุบเหวลึกหรือไม่ก็ทะเลดวงดาว ราวกับเสียงคนกระซิบ คล้ายกับความสุขทุกข์อันหนักหน่วงสายหนึ่ง

ทั้งๆ ที่เสียงดังมาจากในช่องว่างอันอึมครึม กำกวมไม่ชัดเจน เสียงเพลงสายนั้นไม่ต่อเนื่อง ฟังทำนองและเนื้อหาได้ไม่แน่ชัด แต่พวกเขาล้วนเข้าใจเนื้อหาที่จะสื่อในน้ำเสียงท่วงทำนองนั่น

วิญญาณเอ๋ยคืนกลับมา

เฉินฉางเซิงมองศูนย์กลางจิตวิญญาณที่อยู่ข้างหน้าโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ เงียบขรึมสักพักแล้วถามว่า “เจ้าได้ยินไหม?”

สวีโหย่วหรงอืมเสียงแผ่วเบา พูดว่า “ไม่ใช่เสียงหลอน น่าจะเป็นไอพลังปราณที่ยังหลงเหลืออยู่ของค่ายกลบางอย่าง”

“จริงๆ แล้วมันรับรู้สึกถึงอะไร? ข้าเหมือนจะรู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับคลื่นอสูรเหล่านั้น” เฉินฉางเซิงถาม

ก่อนที่พวกเขาจะพบกับศูนย์กลางจิตวิญญาณสีดำชิ้นนั้น และในช่วงเวลาหลังจากนั้น ศูนย์กลางจิตวิญญาณล้วนสงบนิ่งมาโดยตลอด แต่จู่ๆ ก็กลายเป็นบ้าคลั่งขนาดนี้ ฝ่าฝืนออกไปจากกระบี่สั้นของเฉินฉางเซิง บินไปยังข้างหน้าของโลงศพดำ กระตุ้นไอพลังปราณที่ยังหลงเหลืออยู่ของค่ายกลเก่าแก่เหล่านี้ แน่นอนว่าต้องมีสาเหตุพิเศษอะไรบางอย่าง สภาพของสิ่งของโดดเดี่ยวจู่ๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก

สวีโหย่วหรงคิดอย่างเงียบๆ สักพัก พูดว่า “ข้าสงสัยมาตลอดว่าไม้จิตวิญญาณอยู่ในมือของหนานเค่อ ตอนนี้ดูๆ แล้วน่าจะจริง อีกทั้งยิ่งมายิ่งใกล้สุสานแห่งนี้”

ก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงก็รู้สึกแปลกมาก กระบี่สั้นได้ตัดขาดจากโลกความจริงและโลกในปลอกกระบี่ ศูนย์กลางจิตวิญญาณชิ้นนี้อยู่ข้างในกลับรับรู้ไอพลังปราณของโลกภายนอกได้ ต้องเป็นความสัมพันธ์แบบไหนถึงจะทะลุกำแพงช่องว่างนี้ได้? ตอนนี้ได้ยินคำพูดของนาง เขานึกถึงว่าในคัมภีร์ลัทธิเต๋าหนานหัวเคยพูดถึง ‘วิญญาณและศาสตราไม่แยกเป็นสอง’ ประโยคนี้ ในที่สุดเขาได้เข้าใจสาเหตุแล้ว

ไม้จิตวิญญาณที่หายไปชิ้นนั้นอยู่บนตัวของหนานเค่อจริง นางนำพาคลื่นอสูรจากสี่ทิศแปดทางมุ่งมายังสุสาน ยิ่งมายิ่งใกล้ จนถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็ทำให้ศูนย์กลางจิตวิญญาณรับรู้ได้แล้ว

วิญญาณและศาสตราไม่แยกเป็นสอง ศาสตราที่สามารถควบคุมเสถียรภาพเมืองไป๋ตี้อย่างศูนย์กลางจิตวิญญาณเช่นนี้ สามารถที่จะเรียกได้ว่าเป็นศาสตราเทพ สามารถจินตนาการได้ว่าจิตปฏิพัทธ์ระหว่างวิญญาณและศาสตรามีความแนบแน่นขนาดไหน ไม่รู้ผ่านไปกี่ปี ศูนย์กลางจิตวิญญาณในที่สุดรู้สึกถึงการกลับมาของไม้จิตวิญญาณ แน่นอนว่าจึงมีการตอบสนองที่รุนแรงอย่างยิ่ง เพียงแต่ทำไมศูนย์กลางจิตวิญญาณถึงไม่ทะลุอากาศออกไป แต่กลับไปที่ข้างหน้าของโลงศพหินภูเขาไฟสีดำแห่งนี้แทน?

“ไม้จิตวิญญาณเป็นกุญแจ” สายตาของสวีโหย่วหรงละจากศูนย์กลางจิตวิญญาณตกลงบนโลงศพหินภูเขาไฟสีดำ พูดว่า “ไม่ใช่กุญแจของสุสานแห่งนี้ แต่เป็นกุญแจของโลงศพหินโลงนี้”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset