ในอดีตกาล คัมภีร์สวรรค์กลายเป็นกระแสอัคคีตกลงมายังโลกมนุษย์ที่บริเวณทางใต้ของเมืองจิงตูในปัจจุบัน ทำให้เกิดเนินสุสานขึ้น ซึ่งก็คือสุสานเทียนซู ในนั้นมีแผ่นป้ายอนุสรณ์มากมายกระจายอยู่ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นดินจนไม่สามารถแยกออกจากกัน ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปไหน และไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ลัทธิเต๋าหรือพงศาวดาร ก็ไม่มีบันทึกที่ว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้หายไปจากสุสานเทียนซู
ตอนที่เฉินฉางเซิงอยู่ในสุสานเทียนซู เขาใช้เวลาหนึ่งวันในการอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นแรกของสุสาน แต่ตอนอยู่ใต้กระท่อมแผ่นป้ายแผ่นสุดท้าย กลับเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นหนึ่งแตกหัก จึงตกตะลึงพึงเพริศ พลางคิดว่าใครกัน ที่สามารถทำลายแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แล้วนำมันออกไปได้
ในตอนนี้ขณะมองดูเสาหินที่พื้นผิวหลุดร่อนออกเรื่อยๆ และเปล่งแสงกระจ่างใสอยู่ด้านล่างสุสาน เขาถึงได้รู้ว่า แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หายไปจากสุสานเทียนซูแผ่นนั้นอยู่ในเสาหินต้นนี้นี่เอง ดังนั้นผู้ที่นำมันออกจากสุสานเทียนซูในตอนนั้นก็คือโจวตู๋ฟู ก็จริง นอกจากโจวตู๋ฟูแล้ว ในโลกนี้ยังมีใครอีกที่สามารถทำเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้? เขามองดูเสาหินอีกเก้าต้นรอบๆ สุสาน พลางตัวแข็งทื่อขึ้นเรื่อยๆ ด้วยกำลังคิดว่าถ้าเสาหินเหล่านี้เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เช่นเดียวกันหมด ในตอนนั้นโจวตู๋ฟูก็ต้องนำแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ออกจากสุสานเทียนซูรวมทั้งหมดสิบแผ่นน่ะสิ
ที่แท้ นี่ก็คือความลับสุดยอดของสวนโจว
ไม่ว่าจะเป็นมรดกตกทอดที่ผู้แข็งแกร่งในยุคก่อนหลงเหลือเอาไว้ กระทั่งสระกระบี่ หรือเคล็ดวิชาดาบสองท่อนของโจวตู๋ฟู ก็เทียบไม่ได้กับความลับในเสาหินเหล่านี้
ขณะที่เขากำลังคิดอย่างตกตะลึงอยู่นั้น เสาหินอีกเก้าต้นก็เริ่มเปล่งพลังที่คล้ายมาจากยุคบรรพกาลออกมา แสงกระจ่างใสค่อยๆ เคลื่อนตัวสู่ท้องฟ้า แล้วฉีกท้องฟ้าออกเป็นชิ้นๆ พอชิ้นส่วนเหล่านั้นร่วงลงบนทุ่งหญ้า ก็ระเบิดออกเป็นพายุหมุนที่คาดไม่ถึง ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
พายุหมุนเกรี้ยวกราดน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหอบเอาสัตว์อสูรที่หนักดุจขุนเขากับหินที่อยู่ใต้โคลนตมเข้าไปด้วย แผ่นดินก็ไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดยืนนิ่งได้อีก ต่างล้มระเนระนาดลงกับพื้น สัตว์อสูรมีปีกพยายามบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่ก็บินออกจากทุ่งหญ้าไม่ทัน ถูกอากาศปั่นป่วนม้วนออกไปไกลโดยไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ทุ่งหญ้าและบริเวณรอบสวนโจวยุ่งเหยิงวุ่นวาย อยู่ในสภาพใกล้แตกดับเต็มที ขนาดสุสานที่ใหญ่โตโอฬารก็เริ่มสั่นคลอน หินขนาดยักษ์ถูกพายุหมุนจู่โจมจนแตก กลายเป็นก้อนหินที่ทั้งใหญ่และหนัก กลิ้งลงจากที่สูง จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่ว ซ้ำยังกลิ้งทับสัตว์อสูรหลายตัวที่หลบไม่ทันระหว่างทางอีกด้วย
พายุหมุนมาถึงกลางสุสาน หนานเค่อยังคงนั่งหลับตา รอความตายในพายุ นางถูกม้วนขึ้น ลอยไปยังด้านหลังทุ่งหญ้า สองสาวใช้หนิงชุ่ยกับฮว่าชิวส่งเสียงกรีดร้องออกมา ก่อนพยายามหลอมจิตวิญญาณให้เป็นดวงจิตสองดวง ลอยมาอยู่ข้างกายหนานเค่อ แล้วกลายเป็นปีกแสงฉับพลัน แนบไปกับร่างของนาง
เสียงพายุหมุนหวีดหวิวม้วนร่างหนานเค่อลอยออกไปไกล ปีกแสงกลายเป็นจุดแสงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายไปในพริบตา
เหตุการณ์ที่เห็นทำให้เฉินฉางเซิงใจเย็นลง แล้วใช้วิชาย่างก้าวหยั่งเทวาต้านแรงหมุนของพายุ พาตัวเองกลับมาถึงหน้าประตูสุสาน มือซ้ายจับกระบี่สั้นแทงเข้าไปในประตูหินที่ทั้งหนาและหนัก มือขวายื่นไปที่ร่างของสวีโหย่วหรง
เขาเตรียมปลดเข็มขัดที่เอวของนาง แล้วนำร่างนางมามัดรวมกับร่างของตน
สวีโหย่วหรงตื่นขึ้น พอเห็นความวุ่นวายปั่นป่วนของทุ่งหญ้าก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย และพอเห็นเสาหินสิบต้นตรงหน้าสุสานเปล่งแสงกระจ่างใส ก็สันนิษฐานเรื่องทั้งหมดได้ในทันที สีหน้าจึงซีดขาวผิดปกติพลางพึมพำ
“เราถูกเขาขังอยู่ในสวนโจวจนได้”
แสงกระจ่างใสเส้นหนึ่งพุ่งตกลงใกล้ประตูหน้าสุสาน ถนนเสินจึงพังทลายลง ตามด้วยการสั่นไหวอย่างแรง ร่างของเฉินฉางเซิงกระแทกเข้ากับกำแพงหินที่ติดกับประตู มือขวาของเขาจับด้ามกระบี่ที่ตอกไว้แน่น จึงไม่ถูกพายุหอบพัดไป แต่ไม่สามารถจับนางไว้
ธนูถงในมือสวีโหย่วหรงแกว่งไปมาในลมพายุ มันกลายเป็นต้นอู๋ถงที่มีใบเขียวชอุ่ม รากแนบชิดติดแน่นกับกำแพงหิน ช่วยยึดร่างของนางให้นิ่งท่ามกลางพายุเสียงหวีดหวิว ใบไม้สีเขียวร่วงหล่น ผมสีดำยาวของนางปลิวผ่านดวงหน้าที่ซีดขาว เห็นดวงตามีแววกังวลเล็กน้อย
เฉินฉางเซิงมองดูนางพลางตะโกน “ทำอย่างไรถึงหยุดยั้งสภาพเช่นนี้ได้?”
ตั้งแต่เข้ามาในทุ่งหญ้า เขาก็ชินกับการฟังคำแนะนำของนาง เขารู้ว่านางมีความรอบรู้และปราดเปรื่องอย่างไร และเมื่อครู่เขาคลับคล้ายได้ยินนางพูด แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี เพียงมองปราดเดียว ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนอยู่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ สวีโหย่วหรงอ่านคัมภีร์สวรรค์ทั้งวันทั้งคืน อีกทั้งนางยังมีความรักความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงรู้ความลับที่ปกติไม่มีใครล่วงรู้
ขณะมองดูเสาหินสิบต้นพลางตื่นตระหนกสุดๆ แล้ว สักพักนางค่อยดึงสติคืนกลับ แล้วพูดกับตัวเอง
“…ขาดไปสองต้น”
ตอนนั้นในสุสานเทียนซู โจวตู๋ฟูได้ทำการตัดแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์รวมทั้งสิ้นสิบสองแผ่นด้วยกัน แต่ตอนนี้รอบๆ สุสานโจวมีเพียงสิบแผ่นเท่านั้น อีกสองแผ่นเล่า อยู่ไหน?
ในเวลาคับขันเช่นนี้ ผู้ที่อ่านคัมภีร์สวรรค์ทั้งวันทั้งคืนจนแตกฉานอย่างนาง เป็นธรรมดาที่ต้องคิดถึงปัญหานี้เป็นอันดับแรกตามจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นจึงได้ยินเสียงของเฉินฉางเซิง
นิ้วของนางจิ้มไปที่พื้น คำนวณตำแหน่งเสาหินทั้งสิบต้นรอบๆ สุสานอย่างรวดเร็ว เพื่อสันนิษฐานความเกี่ยวข้องกันของเสาหิน เดิมทีร่างกายนางอ่อนแอมาก หลับมาตลอดทาง พอฟื้นตื่นก็ต้องทำการคำนวณเรื่องที่ซับซ้อนอีก พอจิตเทพสูญเสียพลังมาก ใบหน้านางจึงซีดขาวราวหิมะในพริบตา
พายุหมุนม้วนเอาเศษหินที่ตกอยู่ในสุสานเข้าไป ทำให้เกิดเสียงดังน่ากลัว ผาหินอันหนักแน่นถูกพายุจู่โจมจนเกิดเป็นรูขึ้นมากมาย ต้นอู๋ถงที่กลายร่างจากธนูถงก็เอนไปเอนมาใกล้เหี่ยวเฉาเต็มที ใบสีเขียวร่วงหล่นไม่หยุด ขณะมองดูทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะถูกเผด็จศึก มองดูเหตุการณ์ในสุสาน เฉินฉางเซิงก็เสี่ยงดึงกระบี่สั้นออกจากประตูหินโดยไม่ต้องคิด อาศัยช่องว่างของแรงลม เคลื่อนกายเข้ามาอยู่ข้างสวีโหย่วหรงอย่างยากลำบาก เพื่อกางร่มกระดาษทอง ต้านกรวดหินที่ซัดเข้าใส่ดุจลูกธนูก็มิปาน
ร่มกระดาษทองส่งเสียงปะทะอย่างหนักหน่วงออกมาไม่หยุด ก่อนจะเงียบสงบลง เฉินฉางเซิงไม่ได้พูดจาอะไร ด้วยไม่อยากรบกวนการคิดคำนวณของนาง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด สวีโหย่วหรงค่อยส่ายศีรษะไปมา แล้วว่า “คิดไม่ออก”
เฉินฉางเซิงใช้สายตามองผ่านขอบร่มกระดาษทอง ไปยังเสาหินที่ตั้งอยู่หน้าสุสาน แล้วว่า “ต้องมีวิธีสิ”
ใช่ว่าเขาหลับหูหลับตามองโลกในแง่ดี แต่เขายังคงเชื่อมั่นว่า ในเมื่อตอนนั้นโจวตู๋ฟูสามารถผนึกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เหล่านี้ได้ พวกเขาก็ต้องทำได้เช่นกัน
แน่นอนว่า ระดับขั้นบำเพ็ญเพียรของพวกเขาในตอนนี้เทียบไม่ได้กับโจวตู๋ฟูในตอนนั้น แต่วิธีการนั่นน่าจะอยู่แถวนี้ รอให้พวกเขาเข้าไปค้นพบ
“ตำแหน่งเสาหินทั้งสิบต้นกับความข้องเกี่ยวกันค่อนข้างลึกลับ น่าจะเป็นการจัดทัพชนิดหนึ่ง ที่สามารถทำให้พลังที่อยู่ในเสาหินเหล่านี้ไม่ทำร้ายซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นความสมดุลไป โดยเหตุผลแล้ว เสาหินไม่น่าจะคลุ้มคลั่งเช่นนี้ ข้าคิดไม่ออกว่าเกิดปัญหาอะไร”
สวีโหย่วหรงในตอนนี้อ่อนแอมาก ขณะพูด นางเผยอาการท้อแท้และสิ้นหวังที่ยากพบเห็นออกมา
เฉินฉางเซิงจึงว่า “เมื่อก่อนควรเป็นสระกระบี่ที่รับผิดชอบในการตรึงเสาหินไว้เพื่อสร้างความสมดุล แต่ตอนนี้ข้าเก็บสระกระบี่มาไว้กับตัวแล้ว ถ้าข้าปล่อยกระบี่หมื่นเล่มออกไป จะได้ผลหรือไม่?”
ไม่ต้องพูดรายละเอียดมากมาย จากคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยคของเขา สวีโหย่วหรงก็รู้ว่าตอนที่ตนสลบไปนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง นางตกใจทันที แล้วเริ่มคิดคำนวณอีกครั้ง โดยเพิ่มการเปลี่ยนแปลงของสระกระบี่เข้าไป แต่ก็ยังคงพบว่าเรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี
คิดจะให้เสาหินเหล่านี้สงบนิ่งดังเดิม คิดจะให้กองทัพสระกระบี่สำแดงเดชอีกครั้ง ทำให้ฟ้าดินกลับคืนสู่ความสมดุล…จำเป็นต้องใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์มากกว่านี้
แต่นางจะไปหาเอาจากที่ไหนเล่า? ใครจะรู้ว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อีกสองต้นจากสิบสองต้นที่โจวตู๋ฟูนำออกจากสุสานเทียนซูอยู่ที่ไหน?
และต่อให้หาแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สองต้นนั้นเจอ โลกในสวนโจวที่กำลังจะพังทลาย จากการร่วงหล่นของท้องฟ้านี้ ใครจะสามารถหยุดยั้งได้?
ดังนั้น ไม่มีประโยชน์
ต่อให้สระกระบี่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วทำให้เสาหินเหล่านี้กลับสู่ความสงบดังเดิมได้ ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
สวนโจวกำลังจะแตกดับ ทั้งมนุษย์ มาร และสัตว์อสูรที่อยู่ในนี้ล้วนต้องกลายเป็นเถ้าธุลี หรือถูกพายุหอบเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่า
สวีโหย่วหรงก้มศีรษะลง มองดูนิ้วมือที่สั่นน้อยๆ ของตน พลางเม้มริมฝีปากแน่น เหมือนเด็กสาวที่ดื้อรั้นกำลังเศร้าเสียใจ รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่อง
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้ว จึงไม่พูดอะไรมาก เขาในตอนนี้ มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งถือร่ม จึงไม่สามารถตบไหล่นางเบาๆ เป็นการปลอบโยนได้ ยิ่งไม่สามารถโอบกอดให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียง เขยิบเข้าใกล้นางอีกนิด ให้ไหล่ของนางพิงไหล่ของเขาเบาๆ หวังว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งพิงให้นาง
พายุหมุนม้วนเอากรวดหินเข้าไปนับไม่ถ้วน กรวดหินจึงจู่โจมใส่พื้นผิวของร่มกระดาษทอง ทำให้เกิดการสั่นไหวพร้อมเสียงดังน่ากลัว คล้ายคนตัวใหญ่กำลังลั่นกลองรบ ถ้าไม่ใช่เพราะร่มกระดาษทองมีการป้องกันที่แข็งแกร่งสุดจะเปรียบแล้วล่ะก็ พวกเขาคงตายไปนานแล้ว
ใต้ร่มเงียบสงบ
สวีโหย่วหรงอิงอยู่กับหัวไหล่ของเขาอย่างอ่อนแรง