คนที่สองที่ถูกสงสัยว่าท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสำเร็จ คือฝ่าบาทจักรพรรดิไท่จง
จักรพรรดิไท่จงได้รับการยกย่องอย่างมาก เช่น จักรพรรดิผู้ทรงทศพิธราชธรรมชั่วกาลนาน มหากษัตริย์ชั่วรัชสมัย ย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์ก่อนหน้ามีจักรพรรดิน้อยพระองค์มากที่สามารถทำได้เช่นนี้ คุณูปการที่โดดเด่นและถูกไพร่ฟ้าสรรเสริญมากที่สุดในทั้งชีวิตของพระองค์ แน่นอนว่า นั่นก็คือการนำเผ่ามนุษย์ร่วมมือกับเผ่าปีศาจ รบชนะเผ่ามารที่เข้มแข็ง
ตามกาลเวลาที่ผ่านพ้น รวมถึงการเพียรควบคุมอย่างเข้มงวดของราชสำนักต้าโจว ผู้คนจำได้เพียงภายใต้การนำทัพของจักรพรรดิไท่จง สองเผ่าร่วมมือทางการทหารหลายครั้งในการรบทางเหนือ โจมตีทหารเผ่ามารแตกพ่ายหนีหัวซุกหัวซุน นอกจากเหล่าผู้ที่ตั้งใจศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว มีคนจำนวนน้อยมากที่ยังจำเมื่อครั้งแรกเริ่มสถาปนาต้าโจวได้ ทว่าก่อนเผ่ามารยอมศิโรราบนั้น ต้าโจวก็ได้แบกรับความอัปยศบากหน้าไปขอยุติสงคราม ด้วยสภาพดิ้นรนอเนจอนาถ สัญญาพันธมิตรลั่วหลิ่วฉบับนั้นในความทรงจำของผู้คน ก็ต่างกับเนื้อหาที่แท้จริงของสัญญาตอนแรกไปนานแล้ว
ภายหลังการขึ้นครองราชย์ปีที่สามของจักรพรรดิไท่จู่หน้าสุสานเทียนซู กองทัพใหญ่เผ่ามารรุกลงใต้อย่างฮึกเหิมกะทันหัน ณ ตอนนั้นที่ราบลุ่มภาคกลางต้าโจวเพิ่งรบเสร็จ ชีวิตประชาชนเหี่ยวเฉา กำลังแผ่นดินซบเซา ไม่สามารถต้านทานได้โดยสิ้นเชิง จักรพรรดิไท่จู่จึงจำต้องเรียกขานขุนนาง ส่งของบรรณาการ จากนั้นขุมกำลังของดินแดนต้าโจวก็ค่อยๆ ฟื้นตัว วางแผนรวบรวมหนานเจียงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน บุตรทั้งสามของจักรพรรดิไท่จู่ยกทัพทำสงครามทางใต้ เหลือเพียงจักรพรรดิไท่จงของฉีอ๋องตั้งมั่นรักษานครจิงตู เผ่ามารฉวยโอกาสนี้ รุกเข้าทางใต้อีกรอบ รวบเมืองเทียนเหลียงได้ทีเดียว ทัพหน้าถึงเมืองลั่วหยาง ข่มขู่เหล่ามนุษย์ จักรพรรดิไท่จงถูกบีบให้ใช้กลยุทธ์ทหารปลอม นำเหล่าทหารและนักวางแผนของจวนฉีอ๋องปะทะกับราชามาร ณ ที่ราบลั่วหลิ่วทางเหนือของลั่วหยาง ว่ากันว่าราชามารเห็นความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ของกองทัพต้าโจว หรือว่ากันว่าโจวตู๋ฟูจู่ๆ ก็ปรากฏอยู่ใต้หลิวห้าต้น อย่างไรก็ตาม สงครามยังไม่ปะทุ จักรพรรดิไท่จงส่งมอบทรัพย์สินจำนวนมาก แสดงท่าทีค้อมเศียรยินยอมพร้อมใจเป็นขุนนางอีกหน ทั้งสองฝั่งใช้อาชาเขาเดี่ยวสีขาวเป็นการบูชา สัญญาพันธมิตร กองทัพเผ่ามารเริ่มกลับไปทางเหนือ
สัญญาพันธมิตรลั่วหลิ่ว เป็นสัญญาภายใต้เมืองที่อัปยศอดสู
ในหน้าประวัติศาสตร์ จักรพรรดิไท่จงถือได้ว่าเป็นคนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ มากด้วยความรู้ความสามารถ อ่อนน้อมถ่อมตน รับฟังเสียงข้าราชการ กระทั่งเขาผู้ซึ่งถูกฟ้ากำหนดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นมหากษัตริย์ แน่นอนว่าย่อมมีความทะนงตน จะลืมประวัติศาสตร์ช่วงที่อัปยศอดสูนี้ไปได้อย่างไร? หลังการเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้าสามปี จักรพรรดิไท่จงและเหล่าขุนพลเทพอัศจรรย์ ในที่สุดก็เริ่มเตรียมตัวในการกอบกู้เกียรติยศตนเองและความภาคภูมิของเผ่ามนุษย์กลับคืนมา การสงครามดั่งคลื่นคลั่งอันยิ่งใหญ่จึงอุบัติขึ้นจากจุดนี้
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิผู้ทรงทศพิธราชธรรมทั้งสองรัชสมัยของต้าโจว มุมานะทรงงานหนักเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแว่นแคว้น พอดีได้เจอกับการจุดเปลี่ยนครั้งที่สองในการเข้าสู่โลกผู้บำเพ็ญเพียร มีคนมหัศจรรย์อย่างหวังจือเช่อปรากฏอย่างต่อเนื่อง บวกกับการที่จักรพรรดิไท่จงร่วมมือกับเผ่าปีศาจ ได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่ง ผนวกกำลังพลขึ้นไปรบทางเหนือเพียงครั้งเดียวก็ได้รับผลการรบเป็นที่พึงพอใจ
จากนั้นอีกหลายสิบปี ไฟสงครามของที่ราบพื้นหญ้าทางเหนือไม่เคยดับลงอย่างแท้จริง ฝ่าบาทจักรพรรดิไท่จงและเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา โจมตีเผ่ามารอย่างต่อเนื่อง หลังการรบทางเหนือครั้งที่สาม แพ้ชนะแบ่งแยกชัดเจนออกระหว่างทั้งสองฝ่าย เผ่ามารแพ้อนาถ ถอยกลับเมืองเสวี่ยเหล่า ไม่กล้าขยับกลับมาทางใต้อีกสักก้าว!
เผ่ามนุษย์รบชนะเผ่ามาร สามารถหาสาเหตุได้มากมาย อย่างเช่นก่อนหน้านี้ที่พูดถึงจักรพรรดิผู้ทรงทศพิธราชธรรมแผ่นดินเข้มแข็ง การเกิดผู้เข้มแข็ง แต่หากพินิจประวัติศาสตร์ช่วงนี้อย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลมากมายขนาดไหน ก็อธิบายได้ยากว่า เพราะเหตุใดในเวลาอันสั้นสิบปีเศษ เผ่ามารที่แต่เดิมยิ่งใหญ่ครอบครองทางเหนือของต้าลู่ ทระนงองอาจหยิ่งยโส กลับถูกโจมตีพ่ายแพ้เช่นนี้ เพราะเหตุใดอำนาจความเข้มแข็งอ่อนแอของสองฝ่ายจึงกลับกันอย่างกะทันหัน เสมือนกับที่ท่ามกลางความมืดมนมีพลังหนึ่งที่คอยปกป้องค้ำจุนจักรพรรดิไท่จู่ ขณะนั้นราวกับท่ามกลางความมืดมนมีพลังงานบางอย่างคอยพยุงและคุ้มครองโชคชะตาแผ่นดินของต้าโจว ตัดกำลังพลทหารของเผ่ามารอย่างต่อเนื่อง
พลังงานชนิดนั้นท่ามกลางความมืดมนอนธการ จริงๆ แล้วคืออะไร? นั่นคือพลังของโชคชะตาหรือ? จักรพรรดิไท่จงเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง แล้วเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเผ่ามนุษย์?
……
……
คนที่สามที่ต้องสงสัยว่าท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสำเร็จที่ยังมีชีวิตอยู่
นางคือเจ้านายของเผ่ามนุษย์ในปัจจุบัน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
หรือว่าเป็นเพราะยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นข่าวลือเกี่ยวกับการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาสำเร็จของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงมีน้อยมากที่สุด มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าเปิดปากเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้ว่าจะอยู่บนเตียงนอนในบ้านของตนเองก็ยังไม่กล้าพูด
ทว่ามีหลายคนที่คาดเดาแบบนี้
เป็นสตรีที่ปกครองโลก กลายเป็นจักรพรรดิสมัยหนึ่งบนราชบัลลังก์ หากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ชนิดที่ชั่วกาลไม่เคยปรากฏได้อย่างไร?
……
……
จักรพรรดิไท่จู่ จักรพรรดิไท่จง รวมถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ในข่าวลือนั้น สามคนที่ถูกสงสัยว่าท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้สำเร็จ อีกทั้งยังเป็นนับแต่พันปีมา คือสามคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในดินแดนต้าลู่ ในการวินิจฉัยของเฉินฉางเซิง ไม่มีแม้กระทั่งคำว่าผู้ต้องสงสัย เพราะก่อนออกจากวัดเก่าเมืองซีหนิง อาจารย์นักพรตจี้เคยพูดไว้อย่างแจ่มแจ้ง มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้สำเร็จ
แม้ว่าใช้คำว่ามีเพียง กลับเป็นการบรรยายที่มั่นใจ
คิดอยากจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเอง ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งดาวโชคชะตาของตนบนท้องฟ้าค่ำคืน เฉินฉางเซิงมานครจิงตู เข้าร่วมการสอบใหญ่ เข้าไปยังหอหลิงเยียน ก็เพื่อจะหาวิธีในการเปลี่ยนตำแหน่งดาวโชคชะตาให้ได้ วิธีนั้นน่าจะเป็นไปตามอย่างที่ข่าวลือว่า สังฆราชของนิกายหลวงรุ่นแรกและจักรพรรดิไท่จงหลบซุ่มใช้วิธีลับ จักรพรรดิไท่จงและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็น่าจะใช้วิธีเดียวกันนั้นด้วย
สิ่งที่เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจคือ ในเมื่อเป็นวิธีลับของนิกายหลวง เพราะเหตุใดอาจารย์ไม่ให้เขาหาวิธี มาถึงหน้าภาพวาดหวังจือเช่อ ไม่ว่าหวังจือเช่อจะมหัศจรรย์ขนาดไหน ทว่าอย่างไรก็ไม่เคยท้าลิขิตพลิกโชคชะตา
ขณะนี้ ผนังอิฐมรกตมีเสียงกึกเบาๆ หนึ่งเสียง
เขาตื่นจากภวังค์ มองไปยังผนัง เห็นเพียงเหล่าเส้นทองแดงที่ซับซ้อนบนกล่อง กลายเป็นรูปร่างที่ผิดแผกกับตอนแรกโดยสิ้นเชิงแล้ว ตำแหน่งของปุ่มทองแดงอันสวยสดเล็กๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน กลไกที่อยู่กึ่งกลางขยับออกไปทั้งสองฝั่ง ไม่คาดคิดว่ากล่องจะถูกเปิดออก
วิธีแก้ของกลห่วงสิบเจ็ดชุดซับซ้อนมาก ไม่ถึงตอนท้ายไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจริงๆ แล้วถูกต้องหรือไม่ เขาใช้แค่ครั้งเดียวก็สามารถแกะออกได้ ไม่กล่าวไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่ง
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากสาบเสื้อ แล้วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้สะอาด แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากทั้งบนและล่าง ยื่นมือออกไปบนกล่อง กลับสังเกตเห็นในทันใด พวกที่ค้ำทองแดงและเส้นทองแดง…แท้จริงแล้วกลับเหมือนกับดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืน และเส้นสายระหว่างดวงดาวที่มองไม่เห็น เพียงแต่มันเรียบง่ายกว่า
บางคราวความคิดผุดขึ้นมา แต่เขามิได้นำมาขบคิดอีกต่อไป ยื่นมือหยิบหนังสือในกล่องออกมา หอหลิงเยียนตัดขาดเสียงและแสงอาทิตย์ หนังสือเล่มนี้กลับเข้าไปซ่อนในผนังอิฐมรกตอีกครั้ง หลายร้อยปีต่อมา เพียงแค่ขอบที่เริ่มกรอบ ตัวกระดาษหนังสือยังคงขาวราวหิมะเหมือนใหม่ ตัวอักษรหมึกก็ประหนึ่งเพิ่งตวัดลายเขียนลงไป
ปกของหนังสือเล่มนี้ไม่มีตัวอักษร อักษรตัวแรกที่เฉินฉางเซิงเห็นอยู่หน้าแรก อักษรตัวนั้นไม่มีความแหลมคม กลับกันเป็นความกลมมนโบราณ ราวกับหินเก่าบนเขา มีรูปแบบท้องถิ่น
‘ตำแหน่งตรงกัน’
เห็นประโยคนี้ เฉินฉางเซิงชะงักค้าง ไม่เข้าใจว่ามันแปลว่าอะไรอย่างสิ้นเชิง คิดแล้วคิดเล่าอย่างตั้งใจก็ไม่สังเกตเห็นเงื่อนงำ จึงเปิดอ่านต่อไป หน้าที่สองเต็มไปด้วยตัวอักษรแน่นขนัด รอยพู่กันชัดเจนพลิ้วไหว ทว่ากลับมิได้จงใจเพื่อให้มันดูมีชีวิตชีวา พอเห็นหน้านี้ เขาถึงยืนยันในที่สุดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นลายมือของหวังจือเช่อจริงๆ