สวินเหมยมองดูเฉินฉางเซิงส่ายหัวพลางกล่าว “เพียงแต่ว่าปราณแท้ของเจ้าอ่อนแอขนาดนี้ ไม่คิดว่าจะได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่? อีกรุ่นสู้อีกรุ่นไม่ได้จริงๆ”
คนทั้งหมดล้วนรู้ว่า การสอบใหญ่ปีนี้เป็นปีใหญ่ การแข่งขันรุนแรงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ เฉินฉางเซิงไม่ตอบสนองใดๆ ถังซานสือลิ่วกลับไม่ตามใจแล้ว
“แม้ให้หอความลับสวรรค์มาออกความเห็น การสอบใหญ่ในปีนี้ต้องแข็งแกร่งกว่าปีของผู้อาวุโส” เขาพูด
สีหน้าของสวินเหมยจู่ๆ มีความเงียบงันขึ้นเล็กน้อย ค่อยพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าปีนี้มีใครเข้าร่วมบ้าง แต่ปีของข้า…มีสองคนไม่ได้เข้าร่วม”
ถังซานสือลิ่วชะงักเล็กน้อย นึกถึงชื่อของสองคนที่เคยมีชื่อเสียงพอเทียบกับสวินเหมย อดไม่ได้ที่จะไม่ยอมรับว่าคำพูดนี้มีเหตุผล
ถ้าสองคนนั้นมาเข้าร่วมการสอบใหญ่ของรุ่นนั้น ปีนี้แม้ชิวซานจวินและสวีโหย่วหรงมา การสอบใหญ่ในปีนี้ก็ไม่อาจนำมาเทียบกับปีนั้นได้
พูดประโยคนี้จบ อารมณ์ของสวินเหมยแปรปรวนเล็กน้อย ไม่สนใจชายหนุ่มสามคนนี้อีก เดินไปนั่งลงบนก้อนหินในบ้าน มองดูสุสานเทียนซูแล้วเริ่มเหม่อลอย
เฉินฉางเซิงมองดูเงาของผู้อาวุโสท่านนี้ รู้สึกทอดถอนใจ ในเวลากลางวัน ถังซานสือลิ่วพูดกับเขาว่ามีผู้บำเพ็ญบางคนชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูเป็นเวลาหลายปี ไม่คิดว่าจะเห็นกับตาได้เร็วขนาดนี้ เพียงแต่บุคคลท่านนี้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปี ไม่ก้าวเท้าออกสักก้าว แน่นอนว่าต้องมีอะไรบางอย่าง
คิดมาถึงตรงนี้ เขารู้สึกว่าเงาหลังของผู้อาวุโสท่านนี้อ้างว้างเย็นเยียบยิ่ง ไม่อาจตัดใจไปรบกวนเขาอีก ยื่นมือห้ามถังซานสือลิ่วที่ทำท่าอยากจะเข้าไปไต่ถาม
ถังซานสือลิ่วรู้สึกแปลกนิดหนึ่ง ถามว่า “ทำไมหรือ?”
เฉินฉางเซิงมองเขาและถามด้วยความตั้งใจ “กินอะไรหรือยัง?”
ถังซานสือลิ่วเพิ่งนึกถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องนี้ ความรู้สึกหิวประเดประดังประหนึ่งคลื่นน้ำไหลเข้าโจมตี มือกุมท้องพูดด้วยความอิดออด “ยัง”
เฉินฉางเซิงพาเขาเข้าห้อง เอาปลาเค็มที่กินเหลือออกมา ใช้น้ำชาร้อนต้มข้าวที่กินเหลืออีกถ้วย พูดว่า “ไม่มีผักเขียวแล้ว หยวนๆ กินไปแล้วกัน”
“นี่กินได้หรือ? นี่กินได้หรือ? อะไรแปลว่าหยวน? ไม่มีผักเขียวแล้ว เจ้าจะให้ข้ากินใบชาแทน? นั่นมันรสชาติเดียวกันหรือ?”
ถังซานสือลิ่วเอาตะเกียบเขี่ยใบชาที่ถูกต้มจนดำปี๋ พูดด้วยความโมโห
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจเขา หาตะเกียงเจอด้วยแสงดวงดาว เช็ดอย่างละเอียด จุดด้ายไฟให้สว่าง แสงไฟสีอำพันอร่ามส่องสว่างในกระท่อม
โต๊ะข้างๆ ก็ถูกส่องสว่างเช่นกัน ถังซานสือลิ่วเอาหัวมุดอยู่ในถ้วย กินอย่างไม่หยุดหย่อน หน้าถ้วยถึงกับมีกระดูกปลาเพิ่มขึ้นมาเยอะมาก
เห็นภาพนี้แล้ว เฉินฉางเซิงอดที่จะนึกถึงไม่ได้ ถ้าถูกเหล่าผู้หญิงของสำนักในจิงตูที่หลงรักถังซานสือลิ่วเห็นภาพลักษณะการกินของเขา จะคิดอย่างไร?
เจ๋อซิ่วแน่นอนว่าไม่ชมดูการกินของถังซานสือลิ่ว เขามองสวินเหมยที่นั่งอยู่บนก้อนหินนอกกระท่อม พูดว่า “ไม่คิดว่าคำเล่าลือจะเป็นเรื่องจริง”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “ได้ยินถังซานสือลิ่วพูดว่า ในสุสานเทียนซูน่าจะยังมีคนเช่นนี้อีกไม่น้อย”
ถังซานสือลิ่วท่ามกลางความยุ่งวุ่นวายยังอุตส่าห์เงยหัวพูดประโยคหนึ่งว่า “แต่ที่มีชื่อเสียงเช่นสวินเหมยมีไม่มาก”
เจ๋อซิ่วพูดว่า “หลายคนคิดว่าเขาตายไปนานแล้ว…ชมแผ่นป้ายเพื่อการบรรลุในสุสานเทียนซูสามสิบกว่าปี ยากที่จะจินตนาการจริงๆ”
ถังซานสือลิ่วอยู่ภายใต้สายตาเพ่งพินิจของเฉินฉางเซิง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากชายเสื้อด้วยความไม่ค่อยคุ้นชินเล็กน้อย เช็ดปากอย่างรอบคอบ พูดว่า “เขาเสียดายที่จะออกไป”
เจ๋อซิ่วคิดถึงเหล่านิทานในปีนั้น ส่ายหัวพูดว่า “ข้ากลับคิดว่าเขาไม่กล้าออกไป”
ถังซานสือลิ่วตกตะลึงและตกตะลึงอีก ส่ายหัวพูดว่า “พูดอย่างนี้ไม่เหมาะสม อย่างมากก็แค่เกรงใจที่จะออกไป”
เสียดาย ไม่กล้า เกรงใจ นี่ล้วนไม่ใช่คำศัพท์ที่น่าฟัง
เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ใจคิดอยู่ว่าผู้อาวุโสที่ชื่อสวินเหมยในเมื่อเป็นอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่เมื่อสามสิบเจ็ดปีก่อน แน่นอนว่าไม่ธรรมดา ทำไมถึงได้รับคำติชมเช่นนี้?
“สิ่งที่ผู้อาวุโสสวินเหมยมีชื่อเสียงมากที่สุดคือความตั้งใจรวมถึงความแน่วแน่ในการบำเพ็ญ ปีนั้นตอนที่เขาอายุเจ็ดปี ได้ยืนอยู่บนพื้นหิมะที่หน้าประตูของท่านอาจารย์อวิ๋นซานเป็นเวลาสามวันสามคืน ถึงถูกรับเข้าสำนัก”
ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ย่ำหิมะเหมยกำจายสี่คำนี้มาจากเหตุการณ์นี้”
เฉินฉางเซิงถามว่า “ท่านอาจารย์อวิ๋นซาน?”
“ท่านอาจารย์อวิ๋นซาน เป็นอาจารย์ของเหมาชิวอวี่หัวหน้าสำนัก”
ถังซานสือลิ่วมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดว่า “เจ้าคำนวณไม่ผิด สวินเหมยก็คือศิษย์น้องเล็กของหัวหน้าสำนักเหมา”
เหมาชิวอวี่เป็นผู้แข็งแกร่งจำนวนน้อยในต้าลู่ปัจจุบัน ศิษย์น้องชายเล็กของเขานั้นสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนระดับไหน และคำว่าเล็กในศิษย์น้องเล็กเดิมก็มีความหมายแทนอะไรสักอย่าง…ศิษย์น้องชายเล็กแน่นอนว่าเป็นศิษย์ปิดสำนัก และมีเพียงเหล่าคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดๆ ถึงจะถูกพรรคหรือสำนักหนึ่งรับเป็นศิษย์ปิดสำนัก
อย่างเช่นศิษย์อาเล็กผู้มหัศจรรย์แห่งพรรคกระบี่หลีซาน และอย่างเช่นชีเจียนในตอนนี้
“สวินเหมยก็คือศิษย์มีผลงานดีสุดของสำนักเทียนเต้าในปีนั้น เช่นเดียวกับจวงห้วนอวี่ในตอนนี้ที่มีฐานะในสำนักเทียนเต้าสูงขึ้นขนาดไหนแล้ว อนิจจา จะว่าไปแล้วพวกเราควรเข้าสุสานเทียนซูไปเรียกจวงห้วนอวี่มาที่นี่หรือไม่? สวินเหมยเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเทียนเต้า มองดูเขาคุกเข่าก้มหัวคำนับ เป็นเรื่องที่ดีมากๆ จริงๆ แต่พูดไปพูดมา ถ้าไม่ใช่ว่าข้าเข้าสำนักฝึกหลวง เมื่อครู่มิใช่ว่าข้าต้องคุกเข่าคำนับเช่นกันหรือ? เป็นเรื่องที่เกือบไปแล้วจริงๆ” ถังซานสือลิ่วหัวเราะเสียงดังพลางกล่าว กลับสังเกตเห็นว่าเฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วล้วนมิได้มีท่าทีใคร่ต่อบทสนทนาด้วย เขารู้สึกรำคาญนิดๆ พูดว่า “คนจำพวกไม่มีอารมณ์ขัน บนโลกนี้มีคนหนึ่งก็หดหู่เต็มทีแล้ว เพราะเหตุใดกลับยังอุตส่าห์มีขึ้นมาถึงสองคน? แล้วเพราะเหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงต้องมาอยู่ที่เดียวกันด้วย? ช่างทำให้ผู้คนขยาดเสียจริงๆ!”
เฉินฉางเซิงไม่สนใจเขา ถามเจ๋อซิ่วว่า “เพราะเหตุใดสวินเหมยถึงไม่กล้าออกสุสานเทียนซู?”
เจ๋อซิ่วยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ถังซานสือลิ่วแย่งพูดว่า “เจ้านี่ถือว่าถามถูกคนแล้ว อย่างไรข้าก็อยู่ในสำนักเทียนเต้าเป็นเวลาครึ่งปี เรื่องราวเก่าช่วงนี้เข้าใจดีเป็นที่สุด สวินเหมยในปีนั้นเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้า พรสวรรค์เป็นที่ตกตะลึงอย่างมาก แต่ที่โชคร้ายคือ ท่ามกลางคนวัยเดียวกัน มีคนที่พรสวรรค์ดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา”
สีหน้าของถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็กลายเป็นเข้มงวดขึ้นมา พูดว่า “เรื่องที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตนี้ของสวินเหมยก็คือการมีชีวิตในยุคสมัยเดียวกันกับหวังผ้อ ตั้งแต่อายุสิบสองปีเป็นต้นไป พวกเขาก็เริ่มพบเจอกันผ่านการชุมนุมของพรรคทุกรูปแบบอยู่บ่อยครั้ง ศึกษาประมือกันไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง และทุกครั้งล้วนเป็น สวินเหมยที่พ่ายแพ้ และที่การประชุมใหญ่จู่สือในปีหนึ่ง สวินเหมยได้แพ้ถึงสามครั้งติดต่อกัน”
ผ่านการใช้ชีวิตในจิงตูหนึ่งปี เฉินฉางเซิงยังมีความเป็นกบในกะลาเล็กน้อย แต่เขารู้จักชื่อนี้ เพราะว่าชื่อนี้เป็นที่ลือลั่นอย่างแท้จริง
ก่อนหน้าชิวซานจวิน นั่นเป็นชื่อที่โด่งดังมากที่สุดทั่วต้าลู่ จนถึงตอนนี้ ชื่อนี้ยังคงอยู่บนประกาศเซียวเหยาอยู่เหนือปุถุชนทั่วไป
หวังผ้อของเมืองเทียนเหลียง
จากนั้นเขาสังเกตได้ว่า ตอนที่ถังซานสือลิ่วพูดถึงชื่อนี้ สีหน้าหนักแน่นและจริงจังมาก มีความระมัดระวังมาก เขาไม่ค่อยเข้าใจ แม้ว่าชิวซานจวินตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งของประกาศเตี่ยนจินแล้ว เทียบกับหวังผ้อในประกาศเซียวเหยาที่มีชื่อเสียงมานานแล้วก็ยังคงมีความห่างระยะหนึ่ง ดูอย่างไร ถังซานสือลิ่วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีปัญหาอะไรกับหวังผ้อ
“คนที่มีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่นมากๆ อย่างสวินเหมย มีความตั้งใจแน่วแน่อีกทั้งยังแบกรับความหวังของคนในสำนักเทียนเต้า เป็นไปได้อย่างไรที่จะยอมใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของหวังผ้อทั้งชีวิต? เขาเข้าสุสานเทียนซูชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุสามสิบเจ็ดปี ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ยอมออกไป ก็เพราะว่าอยากอยู่ที่นี่เพื่อบรรลุถึงความหมายของกฎธรรมชาติเทียนเต้าที่แท้จริง จนสามารถต่อสู้ชนะหวังผ้อ”
ถังซานสือลิ่วมองนอกกระท่อมไปทีหนึ่ง พูดว่า “ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว หวังผ้อแห่งเมืองเทียนเหลียงกลายเป็นอุปสรรคในใจของเขาไปแล้ว เขาไม่สามารถมีความมั่นใจในตัวเองพอที่จะสู้ชนะฝ่ายตรงข้ามวันหนึ่ง ก็จะไม่ออกจากสุสานเทียนซูวันหนึ่ง เสียดาย ไม่กล้า เกรงใจ…ล้วนถูกทั้งนั้น เพราะว่าเขาแจ่มแจ้งยิ่ง ตอนที่เขาเดินออกจากสุสานเทียนซูในวันนั้น หวังผ้อต้องรออยู่ข้างนอกแน่ๆ”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู มองดูผู้ชายวัยกลางที่อ้างว้างอยู่ใต้แสงดาว อารมณ์ซับซ้อนเล็กน้อย
ไม่สามารถเดินออกจากสุสานเทียนซู เป็นเพราะไม่มีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอกสุสานหรือคนคนหนึ่งอย่างนั้นรึ? เขาไม่คิดเช่นนี้ ชายหนุ่มสำนักเทียนเต้าผู้ที่เคยภูมิใจในตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะขาดความกล้าหาญ อย่างน้อยตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูทั้งชีวิตอย่างหวังผ้อก็คงไม่ขาดความกล้าหาญแน่ๆ ไม่อย่างนั้นในปีนั้นคงไม่ต่อสู้ติดต่อกันเป็นร้อยครั้ง ฉะนั้นจริงๆ แล้วเพราะเหตุใดถึงไม่กล้าออกจากสุสานเทียนซู?
การออกไปบางครั้งก็เหมือนจากลาตลอดกาล สวินเหมยไม่กล้าออกจากสุสานเทียนซูเพราะว่าเขากลัวว่าจะเสียสุสานเทียนซูไป ตั้งแต่เป็นหนุ่มไฟแรงจนกระทั่งจิตตกผิดหวัง กาลเวลารวมทั้งหมดสามสิบเจ็ดปี ใช้ชีวิตไปกับในนี้ สุสานเทียนซูทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และยิ่งเป็นอย่างนี้ เขาก็ยิ่งไม่กล้าจากไป
เหมือนที่ถังซานสือลิ่วพูดในตอนกลางวัน สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว สุสานเทียนซูเหมือนสุราชั้นดีไหหนึ่ง ยิ่งดื่มยิ่งเมามาย ยิ่งเมามายยิ่งอยากดื่ม เผชิญหน้ากับสุราชั้นดีไหหนึ่งเช่นนี้ จริงๆ แล้วดื่มมากน้อยแค่ไหนถึงจะดี เมามายไม่ยอมตื่น หรือแค่ลองลิ้มชิมลางเป็นการทดสอบทุกคน แต่สำหรับสวินเหมยแล้ว เพราะว่าเงาที่ทอดยาวมาจากเมืองเทียนเหลียง การเลือกเช่นนี้ยิ่งเป็นสิ่งที่ยาก
เพียงแต่พรสวรรค์ของสวินเหมยเก่งเกินคน อีกทั้งยังบำเพ็ญด้วยความยากลำบากในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปี ระดับความสามารถในตอนนี้จะยิ่งใหญ่ถึงขนาดไหน? เขาแข็งแกร่งปานนี้แล้ว กลับยังคงไม่มีความมั่นใจที่จะชนะการต่อสู้คู่แข่งนอกสุสานเทียนซู แล้วหวังผ้อแห่งเทียนเหลียงจะแข็งแกร่งระดับไหน?
แต่ว่า ปัญหานี้อย่างไรสุดท้ายแล้วก็ต้องจัดการ ถังซานสือลิ่วพูด ในเวลาที่เขาเดินออกจากสุสานเทียนซูในวันนั้น หวังผ้อต้องอยู่รอข้างนอกแน่ๆ ไม่ได้แปลว่าหวังผ้อจะรอเขานอกสุสานเทียนซูจริงๆ แต่หมายถึงเมื่อเขาออกจากสุสานเทียนซูต้องไปหาหวังผ้อแน่ๆ อย่างนี้ถึงจะสามารถสู้หน้าตนเองให้สมกับอาชีพชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทั้งสามสิบเจ็ดปีนี้ได้
ในป่านอกสุสานเทียนซูบังเกิดลมโชยสดชื่นหอบหนึ่ง พัดเศษหญ้าที่อยู่บนพื้นขึ้นมา พัดโบกยอดอ่อนใบไม้เขียวบนต้น มีเสียงซู่ๆ เหมือนเสียงฝนออกมา ลมโชยเพียงหอบเดียว กลับมาจากสองทิศทาง พวกเศษหญ้าและใบไม้อ่อนนิ่มถูกพัดเข้าไปในป่า ค่อยๆ หมุนขึ้น เหมือนน้ำตกที่ไหลกลับทิศ ตัดท้องฟ้าดวงดาวราตรีกาลออกเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน
สองหัตถ์ปราศกังฉิน เหมาชิวอวี่ ปรากฏอยู่ในสนาม เขามองไปยังต้นไหวต้นหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “สี่ยิบปีที่แล้วข้าเคยเชิญเจ้ามาจิงตูเพื่อโน้มน้าวให้เขาออกมา แต่เจ้าไม่มา”
ใต้ต้นไหวมีคนยืนอยู่คนหนึ่ง มองดูแล้วอายุยังน้อย ทว่าหว่างคิ้วกลับมีความหมายเย็นชา เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน ผมดำขลับก็ถูกมัดไว้แน่น แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด ถึงให้ความรู้สึกยากไร้ชนิดหนึ่งอยู่เสมอ เหมือนกับเคยเป็นคุณชายหนุ่มคนหนึ่งและเป็นเพราะที่บ้านตกต่ำ จึงไปเป็นคนเก็บเงินในโรงเตี๊ยมสามปี
“ตัวเขาเองไม่อยากออกมา ฉะนั้นใครก็ไม่มีปัญญาโน้มน้าวเขาให้ออกมา” คนผู้นั้นมองสุสานเทียนซูภายใต้แสงรัตติกาลแล้วเอ่ยขึ้น
เหมาชิวอวี่พูดว่า “แล้วเพราะเหตุใดวันนี้เจ้าถึงมา?”
คนผู้นั้นกล่าว “ไม่รู้ทำไม ข้าคิดว่าคืนนี้เขาจะออกมา ข้าจึง…มารอเขา”