บริเวณไกลๆ จากสุสานเทียนซูดูเหมือนมีแสงไฟและเสียงน้ำตกแว่วมา ทว่ารอบๆ ถนนเสินของสุสานทางใต้เงียบสงบมาก และไม่ปรากฏแสงไฟใดๆ มีเพียงแต่แสงดาวส่องหน้าผา ถนนทางตรง คลองตื้น และที่ราบหินแถวนี้จนสว่าง เพียงแต่แสงดาวเหล่านั้นไม่สามารถไล่ความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ น้ำใสในคลองจึงตื้นดำขลับดุจน้ำหมึก
สวินเหมยเรียกสายตากลับมาจากยอดสุสานเทียนซูเพื่อมองไปยังถนนเสิน จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนลงล่างจนมาถึงศาลาร่มเย็น สุดท้ายมันมาหยุดบนชุดเกราะของคนผู้นั้นใต้ศาลา
สักครู่หนึ่งเขาก็เริ่มเดินไปยังศาลา ย่ำน้ำใสในคลองตื้นแตกกระจายราวกับกวนน้ำหมึก ทว่าน้ำที่กระเซ็นกลับเป็นสีเงินยวง
เขาจะทำอะไร? จะเดินฝ่าถนนเสินอย่างนั้นหรือ? เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่ว และเจ๋อซิ่ว เมื่อเห็นภาพนี้ อารมณ์เปลี่ยนเป็นตื่นกลัวมากขึ้น
“ท่านผู้อาวุโส!” เฉินฉางเซิงเรียกสวินเหมย
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในสวนนอกกระท่อม เขาเห็นจอนผมของสวินเหมยมีผมขาวเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความเห็นใจ ทว่าก็เพิ่มความกังวลมากยิ่งขึ้นด้วย
สวินเหมยหยุดฝีเท้าแล้วพลิกกายมองไปยังชายหนุ่มสามคนที่ยืนอยู่นอกที่ราบหิน
สีหน้าของสวินเหมยเงียบสงบมาก แตกต่างจากความคิดของทั้งสามคน ไม่มีความอ้างว้างใดๆ ทำให้ยิ่งไม่เหมือนคนน่าสงสารที่ขวัญหนีดีฝ่อ เขาถามพลางยิ้มเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรหรือ เด็กหนุ่ม?”
เฉินฉางเซิงมองศาลาปราดหนึ่ง สังเกตเห็นว่าขุนพลเทพในตำนานท่านนั้นยังคงดูหลับลึกอยู่ เขาลังเลพักหนึ่งแล้วถามว่า “ท่านจะไปทำอะไรหรือ?”
“ข้าจะไปขึ้นสุสาน” สวินเหมยพูดแล้วชี้สุสานเทียนซูในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่อยู่ด้านหลัง
ถึงแม้เขาจะไม่ได้หันศีรษะ แต่ทิศทางที่มือชี้กลับไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว น้ำเสียงของเขาปกติอย่างยิ่ง เหมือนกับกำลังพูดว่าตัวเองจะกลับบ้าน ให้ความรู้สึกว่าถนนเสินเส้นนี้เขาเดินไปแล้วเป็นร้อยเป็นพันรอบ
จะขึ้นสุสานหรือว่าขึ้นเขา เฉินฉางเซิงได้ยินไม่ชัด แต่ไม่ว่าจะเป็นคำไหน ความหมายล้วนเหมือนกัน นั่นทำให้เขา ถังซานสือลิ่ว และเจ๋อซิ่วล้วนยิ่งตื่นตระหนก
ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือว่าอะไร เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าทะเลดวงดาวในท้องฟ้ารัตติกาลราวกับสว่างขึ้นมาในพริบตาที่สวินเหมยพูด แสงส่องสว่างของดวงดาวที่ตกทอดลงบนคลองตื้นที่ราบหินของทางใต้สุสานเทียนซูเข้มข้นขึ้นส่วนหนึ่ง ชุดเกราะที่ขาดวิ่นเก่าคร่ำใต้ศาลาที่ถูกปกคลุมด้วยฝุ่นนั้นสว่างชัดขึ้นมา! สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหัวใจเต้นตุบตับไปมากกว่านั้นคือ ผู้เฝ้าสุสานที่อยู่ใต้ศาลา เขาก้มหัวอยู่ตลอดเวลาโดยมีเงาสะท้อนของชุดเกราะปิดบังใบหน้าเขา ทว่าภายใต้ดวงดาวที่เปลี่ยนเป็นสว่างในชั่วพริบตานั้น ภายใต้หมวกเหล็กกลับมีลมสดชื่นพัดโชยขึ้น นำพาฝุ่นออกมาบางส่วน!
เฉินฉางเซิงไม่กล้ามองไปยังทางนั้นอีก แม้ว่าจะเห็นแค่ชายตาก็ตามที เขามองไปที่สวินเหมยแล้วเอ่ยปากถาม “เพราะเหตุใด?”
ถ้าสวินเหมยสามารถรบชนะผู้เฝ้าสุสานใต้ศาลาแล้วก้าวขึ้นยอดสุสานเทียนซูผ่านถนนเสินโดยตรงได้ เช่นนั้นเพราะเหตุใดถึงได้ศึกษาในสุสานเทียนซูถึงตั้งสามสิบเจ็ดปีอย่างยากลำบาก? เขาควรจะฝ่าถนนเสินได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้มา แปลว่าตัวสวินเหมยเองเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเขาไม่มีโอกาสชนะใดๆ
ไม่ว่าระดับขั้นของสวินเหมยจะล้ำลึกขนาดไหน ก็ไม่สามารถผ่านด่านศาลาร่มเย็นไปได้ ถ้ารบชนะคนผู้นั้นได้โดยง่าย บนชุดเกราะจะสะสมฝุ่นเป็นร้อยปีได้อย่างไร? ไม่ว่าสวินเหมยจะเคยมีชื่อเทียบเท่าหวังผ้อและเซียวจาง อีกทั้งยังชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูถึงสามสิบเจ็ดปี บรรลุระดับขั้นใดยากจะวัด แต่ยังคงสู้ชนะคนที่อยู่ในศาลาผู้นั้นได้ยากยิ่ง
จากสามสิบแปดขุนพลเทพของต้าลู่ ฮั่นชิงอยู่อันดับหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งที่นั่งอยู่ในศาลามาเป็นร้อยปีท่านนี้ เป็นเพียงคนในห้าปราชญ์และแปดมรสุม คนในประกาศเซียวเหยาแน่นอนว่าล้ำลึกจนคาดเดาไม่ถูก แต่ไม่ว่าจะเป็นเทียนเหลียงหวังผ้อหรือฮว่าเจี่ยเซียวจาง ก็ไม่กล้าที่จะพูดว่าตัวเองมีสิทธิ์ท้าสู้กับเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินฉางเซิง สวินเหมยก็เงียบสงบไปพักหนึ่ง มิได้ตอบคำถามนี้ทันที แต่กลับพูดอย่างตั้งใจว่า “ขอบคุณพวกเจ้า”
ตอนที่กล่าวขอบคุณ สายตาของเขากวาดผ่านใบหน้าของชายหนุ่มสามคน
เส้นลมปราณและความทรงจำของเจ๋อซิ่วล้วนมีปัญหาตั้งแต่เขาเกิด ตลอดเวลาล้วนต้องทนความเจ็บปวดในยามกระแสคลื่นโลหิตในกายจู่โจมกะทันหัน หากเป็นคนธรรมดา คงไม่มีความกล้าหาญที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เขาไม่ใช่คนเช่นนั้น มันเป็นความกล้าหาญที่เจอได้น้อยมาก เฉินฉางเซิงผัดผักเขียว ต้มข้าว และนึ่งปลาเค็ม สภาพจิตใจที่สงบเช่นนี้เขาชมชอบยิ่ง ถังซานสือลิ่วแหกปากตะโกนลั่นในสุสานเทียนซูที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ทำให้เขาเห็นความอบอุ่นของวัยหนุ่มที่ไม่ได้เห็นมานาน
สวินเหมยมิได้กล่าวคำใดๆ แต่นี่ก็เป็นคำตอบว่าเพราะเหตุใดเขาถึงอยากขึ้นสุสาน
คืนนี้เขาได้เจอกับชายหนุ่มสามคนผู้ใช้ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความเป็นหนุ่มสาว ทำให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมา
วันเวลาของการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์มาสามสิบเจ็ดปีเหมือนกับฝันตื่นหนึ่ง และเมื่อตื่นจากฝัน ก็ต้องทำอะไรบางอย่าง
“พวกเจ้าทำให้ข้าตื่นขึ้นมา ข้าใคร่เจอความจริง ฉะนั้นข้าจะไปขึ้นสุสาน”
สวินเหมยชี้ไปยังสุสานเทียนซูในสีรัตติกาลด้านหลังอีกครั้งอย่างสงบและแน่วแน่
“ถ้าท่านตื่นแล้วจริงๆ…ไม่ใช่ว่าควรออกจากสุสานเทียนซูไปหาหวังผ้อเพื่อประมือจนรู้แพ้ชนะสักตั้งหรือ?” ถังซานสือลิ่วถามด้วยความไม่เข้าใจ
สวินเหมยได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นเสียงดัง เสียงหัวเราะสะท้อนไปมาอยู่บนที่ราบหิน ทำให้น้ำใสในคลองตื้นราวกับหมึกเหล่านั้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เสียงหัวเราะค่อยๆ ต่ำลงมา เขามองชายหนุ่มสามคนพร้อมพูดอย่างเงียบสงบว่า “ศัตรูของข้าเป็นหวังผ้อจริงๆ หรือ?”
เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วเหมือนกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ในขณะที่ถังซานสือลิ่วค่อยๆ ขมวดคิ้ว
“ไม่ หลังสามสิบเจ็ดปี เงาสะท้อนของเส้นทางการบำเพ็ญ ไม่ใช่เขาตั้งนานแล้ว แต่เป็นมัน”
ในขณะที่ยิ้ม สวินเหมยชี้ต่อไปยังสุสานเทียนซูในม่านรัตติกาลด้านหลัง
เฉินฉางเซิงและพรรคพวกได้ยินแล้วชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นก็เงียบขรึม หลายปีก่อน คัมภีร์สวรรค์กลายเป็นอุกกาบาตไฟ พุ่งตกลงบนแผ่นดินต้าลู่ ก่อให้เกิดปัญญาชน จนกระทั่งสอนให้เผ่ามนุษย์บำเพ็ญเพียรเป็น สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วสุสานเทียนซูแห่งนี้อุดมไปด้วยฐานะและประโยชน์ที่หาที่ไหนทดแทนไม่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนมากแล้ว ในความหมายบางอย่าง สุสานเทียนซูแห่งนี้ก็เป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาเช่นกัน
ตัวอักษรและรูปภาพที่เข้าใจยากบนบรรดาแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านั้น เป็นภูเขาสูงที่พวกเขาจำเป็นต้องปีนข้าม และเป็นคู่ต่อสู้ที่พวกเขาต้องเอาชนะให้ได้ มองเผินๆ สุสานเทียนซูก็ไม่ได้สูงอันตรายอะไร แต่ความจริงแล้วเกือบแตะท้องฟ้า การใช้เพียงกำลังคนคนเดียวนั้นยากที่จะปีนป่าย ทำให้ความกล้าหาญและสภาพจิตใจของผู้คนจำนวนมากแตกสลาย
สวินเหมยฟื้นตื่นขึ้นมา มองเห็นความเป็นจริง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าคู่แข่งของตัวเองเป็นใคร
ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้เลือกที่จะออกจากสุสานเทียนซูไปหาหวังผ้อ กลับเลือกที่จะฝ่าถนนเสินแทน
……
……
ผืนป่าที่อยู่นอกสุสานเทียนซูเงียบสงบมากถึงขั้นไม่มีเสียงใดๆ เลย ตามเหตุผลแล้ว คำพูดที่หน้าถนนเสินของสุสานทางใต้ไม่น่าดังมาถึงตรงนี้ได้ แต่สองคนนั้นในป่ากลับเข้าใจความคิดของสวินเหมย ชายเสื้อของเหมาชิวอวี่สั่นไหวพร้อมอารมณ์ทางสีหน้าที่แปรเปลี่ยนอย่างมาก บุรุษใต้ต้นไหวคนนั้นเลิกคิ้วทั้งสองข้างเหมือนอักษรแปดกลับหัวของจีน ทว่านัยน์ตาสว่างสดใส เหมือนกำลังคว้าจิตใจของผู้อื่นอยู่
ทางใต้ของสุสานเทียนซู ชายหนุ่มสามคนก็เข้าใจความคิดของสวินเหมยเช่นกัน แต่ในระยะเวลาอันสั้นกลับยังคงยากที่จะรับได้…เพิ่งจะตื่นจากฝันอันแสนยาวนานถึงสามสิบเจ็ดปี กลับมายังโลกของความเป็นจริงแล้วรู้ว่าคู่แข่งของตัวเองคือใคร จากนั้นก็ไปท้าสู้ นี่แน่นอนว่าเป็นท่าทีที่กล้าหาญมาก เพียงแต่ถ้าแพ้ ก็จะเข้าสู่ความฝันมืดที่ยิ่งยาวนาน นี่มันออกอนาถเกินไปจริงๆ
เฉินฉางเซิงและสวินเหมยเพิ่งเจอกันวันนี้วันแรก ยังไม่ได้พูคคุยอะไรมาก ตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรมีความผูกพันใดๆ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดอยู่เสมอ เขาเห็นใจคนผู้นี้มาก คิดอยากจะทำอะไรให้เขาสักอย่าง ไม่อยากให้เขาที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตาย เขาจึงพูดว่า “โปรดระวัง”
สวินเหมยได้แต่ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ เขาหันกายเดินไปยังศาลา ระหว่างเดินนั้นย่ำเหยียบน้ำกระเซ็นไปทั่ว ทำให้เสื้อผ้าที่เก่าเริ่มเปียกโชก
เมื่อห่างจากหน้าศาลาประมาณร้อยจั้ง เขาก็หยุดฝีเท้าลง
ที่ราบหินสุสานเทียนซูทางใต้เป็นสีดำ พื้นแผ่นใหญ่หน้าศาลากลับเป็นสีขาว เหมือนสีของถนนเสิน เป็นอันหนึ่งอันเดียวไม่สามารถแยกออกจากกันได้
ระหว่างที่ราบหินสีดำและถนนเสินสีขาวก็คือเส้นแบ่งเขตที่เรียกได้ว่าแบ่งความเป็นความตายเช่นกัน
ใบหน้าคนผู้นั้นใต้ศาลาถูกเงาสะท้อนของชุดเกราะปกคลุมอยู่ ไม่สามารถมองเห็นหน้าตาได้อย่างสิ้นเชิง
จู่ๆ ในเงาสะท้อนของหมวกเหล็กพลันมีฝุ่นเต้นระบำออกมา ภายใต้แสงดวงดาว มองดูแล้วเหมือนแมลงหิ่งห้อยตัวเล็กกระจิริด
เสียงหนึ่งก็คล้อยออกมาจากเงาสะท้อนของหมวกเหล็ก
เสียงนั้นทุ้มต่ำและหนักแน่นยิ่ง น้ำในคลองตื้นดีดกระโดดอย่างไม่สงบสุข เหมือนมีความสุขและหวาดกลัว เกิดเสียงสะท้อนไปทั่วหน้าผาของสุสานเทียนซูทางใต้
ราวกับว่าคนนั้นหลับสนิทไปแล้วหลายร้อยปี จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งตื่นขึ้นมา
สุสานเทียนซูจึงตื่นขึ้นด้วย
แสงไฟที่เลือนรางจากทางเหนือของสุสานเทียนซูวูบไหวเล็กน้อยตามเสียงสะท้อนจากหน้าผา ต่อมาเกิดเสียงรุนแรงฉับพลันกลางอากาศ ดังขึ้นมาฮ่าๆ
โก่วหานสือมาถึงที่ราบหินเป็นคนแรก เสื้อผ้าของเขาพลิ้วตามลมยามค่ำคืน จากนั้นเหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋และชีเจียนก็ตามมาติดๆ
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” กวนเฟยไป๋ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองดูสภาพการณ์แล้วถามด้วยความตกใจเล็กน้อย
ถังซานสือลิ่วตอบอย่างเยาะเย้ยว่า “แค่นี้ยังดูไม่ออกหรือว่ามีคนจะฝ่าถนนเสิน”
“ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าฝ่าถนนเสิน? ใครกัน?”
โก่วหานสือ เดาได้ว่าใต้ศาลานั้นน่าจะเป็นผู้เฝ้าสุสานในตำนาน ขุนพลเทพอันดับหนึ่งของต้าลู่ฮั่นชิง แล้วตอนนี้ชายวัยกลางจนๆ คนนั้นที่เผชิญหน้ากับเขาอยู่เป็นใคร?
“สวินเหมย” เฉินฉางเซิงพูด
“ย่ำหิมะเหมยกำจาย?” โก่วหานสือเลิกคิ้ว แสดงออกถึงความคาดไม่ถึงเล็กน้อย
ชีเจียนพูดด้วยความตกตะลึงว่า “ไม่คิดว่าสวินเหมยยังมีชีวิตอยู่? คำเล่าลือนั้นเป็นความจริงจริงๆ หรือ? เขาซ่อนตัวชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ในสุสานเทียนซูอยู่ตลอด?”
เจ๋อซิ่วอยู่ข้างๆ พูดอย่างไร้สีหน้าว่า “คำพูดพวกนี้เหมือนกับที่พวกข้าได้พูดไปแล้ว”
ชีเจียนเพิ่งสังเกตได้ว่าเป็นเขา บนใบหน้าเล็กๆ เผยความโกรธออกมา มือจับด้ามกระบี่ไว้แน่น
เจ๋อซิ่วได้แต่มองไปทางข้างหน้าของถนนเสิน ไม่ได้มองมาที่เขาเลย
“เพราะเหตุใดมีแค่พวกเจ้าสี่คนของพรรคกระบี่หลีซานมา? เมื่อครู่การเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น พวกคนอื่นๆ ไม่ได้ยินหรือ?” ถังซานสือลิ่วถามด้วยความไม่เข้าใจ
โก่วหานสือพูดว่า “คนเหล่านั้นกำลังชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่อยากที่จะจากมา”
ฟ้ามืดสนิทขนาดนี้ยังมีคนชมแผ่นป้ายหินเหล่านั้นอยู่อีกหรือ เฉินฉางเซิงรู้สึกยากที่จะเข้าใจเล็กน้อย ใจของเขาคิดอยู่ว่าความยั่วยวนของคัมภีร์สวรรค์มันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ? เมื่อนึกไปถึงสวินเหมยผู้มีพรสวรรค์ทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง ก็ยังถูกเหล่าแผ่นป้ายหินกักตัวไว้เป็นเวลาสามสิบเจ็ดปีเต็มๆ เช่นกัน เมื่อเขามองกลับไปสุสานเทียนซูที่อยู่ในท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีความอึมทึมมากยิ่งขึ้น
“ใครล้ำเส้น ตาย” ในศาลามีเสียงก้องออกมา
เสียงที่เกิดจากเงาสะท้อนของชุดเกราะเก่าคร่ำขาดวิ่นชุดนั้น เรียบง่ายธรรมดาอย่างยิ่ง แต่กลับมีความนัยที่สื่อถึงความผันผวนของชีวิตราวกับกำแพงโบราณ ที่ภายนอกมีตะไคร่น้ำหนาแน่น กระดำกระด่างเริ่มหลวมหลุดลุ่ย แต่ความจริงแล้วยังคงแน่นขนัดหาใดเปรียบ ไม่ว่าจะโจมตีรุนแรงขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำลายได้แม้แต่เศษเสี้ยว
สวินเหมยยืนอยู่หน้าถนนที่ไร้รูปร่างเส้นนั้น มองไปที่ศาลาพร้อมกล่าวว่า “ข้าไม่อยากถอย แต่จะให้ยืนเช่นนี้ตลอดก็คงไม่ได้ ฉะนั้นคงต้องลองดูว่าจะข้ามเข้าไปในเส้นนี้ได้หรือไม่”
“หลายสิบปีที่แล้ว หวังผ้อก็พูดอย่างนี้เช่นกัน แต่สุดท้าย เขายืนอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ไม่ได้เหยียบก้าวไปข้างหน้าสักก้าว”
ชุดเกาะที่ผุพังปกคลุมทั้งร่างของขุนพลเทพในตำนานที่อยู่ใต้ศาลาผู้นั้น เสียงของเขาเองก็ต้องลอดผ่านชุดเกราะออกมา มีความทุ้มต่ำอยู่บ้าง ทั้งยังมีกลิ่นอายแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง คล้ายกับใบมีดที่แหลมคม ยิ่งคล้ายกับว่าหากยื่นลิ้นไปสัมผัสใบมีด จะได้ลิ้มรสชาติของสนิมเหล็กและกลิ่นคาวเลือดที่หวานปะแล่มปะปนอยู่ด้วยกัน