ได้ยินคำพูดนี้ รอบๆ ที่ราบหินกลายเป็นเงียบสงบสุดจะเปรียบ
ทุกคนเข้าใจ แน่นอนว่านั่นเป็นช่วงแรกๆ ที่หวังผ้อชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูมาเป็นเวลาหนึ่งปี มั่นใจว่าหากอยู่ในนี้ต่อไปจะเป็นการสิ้นเปลืองชีวิต กลับไม่เหมือนหลายๆ คนที่เสียดายหากจากไป เขาจึงคิดอยากลองใช้วิธีการเกิดทางลัด และแล้วในที่สุดเขาทำได้แค่ยืนอยู่หน้าเส้นทางนี้หนึ่งคืน ยามที่แสงอรุณขึ้น ก็หันกายจากไป
นอกสุสานเทียนซู เหมาชิวอวี่มองไปยังบุรุษใต้ต้นไหวผู้นั้น
ชายผู้นั้นเงียบขรึมไม่กล่าววาจา
สวินเหมยเงียบอยู่พักหนึ่ง เข้าใจว่าเพราะเหตุใดขุนพลเทพฮั่นชิงที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้เฝ้าสุสานถึงพูดประโยคนี้กับตัวเอง “แท้จริงแล้วท่านผู้อาวุโสรู้ว่าข้าคือใคร?”
ชุดเกราะที่อยู่ใต้ศาลายังคงไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว เสียงที่อ้างว้างนั้นส่งออกมาท่ามกลางความอึมทึม “แน่นอนว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร หลายสิบปีที่แล้ว ระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรในต้าลู่นำมาซึ่งการผลิดอกออกผล เทียนจิงหวังผ้อ ฮว่าเจี่ยเซียวจาง ยืนหยัดปานขุนเขา ย่ำหิมะเหมยกำจาย…พรสวรรค์ของพวกเจ้าดีสุด มีความก้าวหน้ามากที่สุด ความหวังในการต่อสู้กับเผ่ามาร เดิมก็อยู่บนตัวพวกเจ้า…เจ้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูมาแล้วสามสิบเจ็ดปี ข้าก็ดูเจ้ามาแล้วสามสิบเจ็ดปีเช่นกัน เจ้าไม่เลวจริงๆ ในเมื่อคืนนี้เจ้าตีอุปสรรคในใจแตก เพราะอะไรไม่จากไป กลับอยากมาลองทางแยกย่อย?”
“ไม่ อุปสรรคในใจของข้าอยู่ข้างหน้า เพียงแต่เห็นแล้ว แต่ยังไม่ได้ตีแตก ส่วนในเรื่องของทางแยกย่อย กล่าวมิได้ว่าไม่เป็นทางที่ถูกต้องเสมอไป”
สายตาของสวินเหมยกวาดผ่านศาลาร่มเย็น ตกลงบนสุสานเทียนซูอีกครั้ง
เสียงของฮั่นชิงหลังจากเงียบไป แล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หวังผ้อเป็นคนฉลาด ในเมื่อเจ้าใช้เขาเป็นเป้าหมาย อย่างน้อยก็ควรแสดงออกถึงสติปัญญาที่เหมือนเขา”
“ไม่เลว ชีวิตนี้ข้าก็อยากเอาชนะเขา ตอนนี้ดูๆ แล้ว อย่างน้อยในเรื่องนี้ เขาสู้ข้าไม่ได้” สวินเหมยพูด
ฮั่นชิงพูดอย่างไม่แยแสว่า “เขาโง่มาตั้งแต่เกิดสู้เจ้าไม่ได้?”
สวินเหมยคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “เขาเกิดมาแล้วโง่สู้ข้าไม่ได้”
ฮั่นชิงเงียบสงบสักพักแล้วพูดว่า “มีเหตุผล”
ในป่านอกสุสานเทียนซู มือของบุรุษผู้นั้นวางบนต้นไหวที่อยู่ข้างหน้า ยังคงเงียบขรึม
“ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เจ้าเป็นคนแรกที่ฝ่าถนนเสิน” ในศาลาทิศใต้ของสุสานเทียนซู ฮั่นชิงพูดต่อไป
สวินเหมยพูดว่า “ข้าค่อนข้างโง่”
โง่มาตั้งแต่เกิดและเกิดมาแล้วโง่ความหมายของสองคำนี้เกือบจะเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วกลับแตกต่างมากโข
“คนที่เกิดมาแล้วโง่อาจจะมีโชค”
ฮั่นชิงพูดว่า “ข้าผู้เฝ้าสุสานนี้ เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของในสุสานเทียนซู ชนะข้าได้ เจ้าก็จะสามารถขึ้นถนนเสิน”
สีหน้าสวินเหมยสงบ ประสานมือเป็นพิธี
นี่เป็นกฎระเบียบของสุสานเทียนซู ก็เป็นความชอบธรรมที่ควรมี สามารถชนะขุนพลเทพที่หนึ่งของต้าลู่ได้ จะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งระดับห้านักปราชญ์หรือแปดมรสุมอย่างแน่นอน บรรดาผู้มีอิทธิพลประเภทนี้ใคร่อยากดูคัมภีร์สวรรค์ ยังต้องทำตามกฎระเบียบของราชสำนักต้าโจวอีกหรือ? เพียงแต่เฉินฉางเซิงรู้สึกอยู่เสมอว่า คำพูดของขุนพลเทพฮั่นชิงท่านนี้กำลังพูดกับเด็กหนุ่มผู้อยู่นอกที่ราบเหล่านี้
สวินเหมยมองใต้เท้าครั้งหนึ่ง ที่ราบหินสิ้นสุดตรงไหน ถนนเสินก็เริ่มตรงนั้น จุดสิ้นสุดอันดำมืดก็คือความศักดิ์สิทธิ์ที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์
จากนั้นเขายกเข่า
ใต้ศาลา ฮั่นชิงยังคงไม่เงยศีรษะ ใบหน้าล้วนอยู่ภายใต้ความอึมทึมของชุดเกราะ น้ำเสียงเริ่มเย็นชาขึ้นมา “สวินเหมย แม้ว่าสำหรับเผ่ามนุษย์แล้วการที่เจ้ามีชีวิตอยู่นั้นมีความหมายมากกว่า แต่ข้าเป็นผู้เฝ้าสุสาน สิ่งที่เฝ้าก็คือกฎระเบียบของสุสานสวรรค์ ฉะนั้นข้าจะไม่ออมมือ เจ้าก็แสดงฝีมือจนสุดจิตสุดใจเช่นกัน อย่าลังเลใดๆ ทั้งสิ้น”
ตื่นจากฝันที่ยาวสามสิบเจ็ดปี จะไปยอดสุสานเพื่อเห็นความจริงสักตาหนึ่ง สวินเหมยจะลังเลได้อย่างไร ก็เหมือนกับไม่ได้ยินประโยคนี้ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
หนึ่งก้าวนี้ เขาเดินอย่างปกติ เท้าเหยียบลงบนพื้นดินตามอำเภอใจ ไร้ซึ่งสุ้มเสียง
เสียงหน้าศาลา ยังคงเป็นเสียงน้ำ เสียงน้ำตกและหินหล่นในหน้าผาภูเขาฝั่งตะวันตก รวมถึงเสียงต๋อมแต๋มของน้ำใสในคลองตื้น
เท้าของสวินเหมย ล้ำข้ามเส้นนั้นไป
สุสานเทียนซูภายใต้การครอบคลุมของแสงรัตติกาล จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นมา
ยามกลางคืนมืดสนิท แสงไฟสลัว แสงต้นกำเนิดที่สามารถส่องสว่างทั้งสุสานเทียนซูได้ มีเพียงมาจากท้องฟ้าเท่านั้น มาจากเหล่าดวงดาวคณนานับ
เฉินฉางเซิงแหงนศีรษะขึ้นมอง เห็นเพียงดวงดาวดารดาษในท้องฟ้ายามค่ำคืนสุกใสอย่างหาที่เปรียบมิได้ หรี่ตาแล้วหรี่ตาอีกโดยสัญชาตญาณ
ความจริงแล้ว ดวงดาวที่อยู่เต็มไปหมดในท้องฟ้านั้นไม่ได้สว่างขึ้นจริงๆ แม้ว่าจะมีที่สว่าง แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะด้วยตาเปล่าได้ นี่เป็นความรู้สึกล้วนๆ ชนิดหนึ่ง หรือจะพูดว่าเป็นความรู้สึกของจิตวิญญาณก็เป็นได้
ผู้คนข้างที่ราบหินล้วนรู้สึกถึงได้ กลับไม่มีใครมีความรู้สึกนั้นชัดเจนกว่าเฉินฉางเซิง เพราะว่าไม่มีใครที่มีจิตวิญญาณที่เงียบสงบและมีสมาธิมากกว่าเขา
เขากระทั่งรู้สึกได้อย่างเลือนรางว่า ท่ามกลางดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนในท้องฟ้าค่ำคืน จริงๆ แล้วดาวดวงไหนที่ก่อนหน้านี้สว่างขึ้นมา
ดาวดวงนั้นอยู่ส่วนลึกที่อยู่ไกลแสนไกล บริเวณขอบเขตดวงดาวทางตะวันออกเฉียงใต้ หรือว่านั่นก็คือดาวโชคชะตาของสวินเหมย
ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ไปดูความจริง ดาวโชคชะตามีการตอบสนอง จู่ๆ ก็สว่างสดใส สวินเหมย… แท้จริงแล้วบำเพ็ญถึงขั้นไหนกันแน่?
เฉินฉางเซิงนึกถึงท้องฟ้าดวงดาวที่เห็นตอนทำสมาธิในหอหลิงเยียนผืนนั้น เกิดความรู้สึกตกตะลึง
แสงดวงดาวที่สว่างสุกใส ทำให้ป่าเขาของสุสานเทียนซูกลายเป็นโลกสีเงิน
สวินเหมยยืนอยู่หน้าศาลา ผมที่ก่อนหน้านี้มัดตั้งที่ลานสนาม ไม่รู้ว่าปลิวสยายอีกรอบตั้งแต่เมื่อไร สิ่งสกปรกเหล่านั้นกลับคล้ายจู่ๆ ถูกแสงดวงดาวชะล้างไป ผมยาวที่ปลิวไสวสองสามกระจุกนั้นสว่างตาเป็นพิเศษ
เขายืนอยู่ตรงกลางระหว่างถนนเสินและที่ราบหิน ร่างกายอยู่ที่เดิม ที่จริงแล้วไม่ได้เดินหน้าไปยังศาลา…แต่บัดนี้เคลื่อนที่ไปยังศาลาแล้ว!
บนถนนเสินมีรอยเท้าหนึ่งรอยปรากฏออกมาอย่างชัดเจน!
ถนนเสินเกิดจากการวางเรียงของหินขาว รอยเท้านั้นเปียก แน่นอนว่าชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างเทียบมิได้
สวินเหมยย่ำน้ำมา รองเท้าของเขาแน่นอนว่าต้องเปียก
มองภาพฉากนี้แล้ว เฉินฉางเซิงเปิดตาทั้งสองข้างกว้าง เจ๋อซิ่วก็เหม่ออยู่กับที่ พวกเขาโตในวัดเก่าที่เมืองซีหนิงและที่ราบหิมะแร้นแค้น น้อยมากที่จะเจอการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงเช่นนี้ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่รู้จะอธิบายรอยเท้าเหล่านี้ได้อย่างไร เมื่อเทียบกันแล้ว ศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานและถังซานสือลิ่วสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
รอยเท้าเปียกปรากฏบนถนนเสินรอยแล้วรอยเล่า ก็เหมือนกับคนอำพรางตนกำลังเดินอยู่
สวินเหมยมองใต้ศาลาเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน รอยเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศของศาลาสิบกว่าจั้ง
เสียงเสียดสีหนึ่งเสียงดังขึ้นมาอย่างรุนแรง!
ใต้ศาลา ลมกลางคืนค่อยๆ ก่อตัว
ฮั่นชิงยังคงก้มหัว มิได้ชักกระบี่ออกมา ทว่ากระบี่ในปลอกกระบี่ข้างลำตัว กลับใจร้อนอยากประลอง เคลื่อนห่างจากปลอกครึ่งชุ่น*
เพียงแค่ครึ่งชุ่น กลับคล้ายออกมาจากปลอกทั้งหมดแล้ว
ฝุ่นธุลีหลายสาย ฟุ้งออกมาจากขอบข้างของปลอกกระบี่ อบอวลไปทั่วกลางศาลา
ตามการอบอวลของฝุ่นกระบี่เหล่านี้ ไอพลังปราณปกติอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งสายหนึ่ง ปรากฏออกมาจากกลางศาลาที่กั้นอยู่บนถนนเสิน
ไอพลังปราณสายนี้ ยังคงเหมือนเหล็ก ยังคงมีเลือด เข้มงวดซื่อตรง เหมือนกำแพงเมืองแนวหนึ่งที่โบราณและเปื้อนด้วยรอยเลือดของทหารจำนวนมาก
ไม่มีใครสามารถมองเห็นกำแพงแนวนี้ได้ แต่ทุกคนล้วนรู้ว่า กำแพงเมืองอยู่ตรงนี้ อยู่บนถนนเสิน
การก้าวเท้าของสวินเหมยหยุดลง ผ่านไปนานมาก รอยเท้าที่เปียก ไม่ได้ปรากฏบนถนนเสินอีก
สายตาของเขาทะลุผ่านศาลาและผู้แข็งแกร่งที่ใต้อยู่ศาลา ตกลงบนสุสานเทียนซูที่อยู่ไกลๆ เหมือนกับสายชนวนสัมผัสถูกถ่านติดไฟ ในเสียงปฏิกิริยาฟูฟ่านั้น ก็เริ่มการแผดเผาอย่างรุนแรง
สายตาเริ่มแผดเผา แววตาเริ่มแผดเผา ดวงตาเริ่มแผดเผา
ตาของสวินเหมยกลายเป็นสว่างสุกใสอย่างหาที่เปรียบมิได้ เหมือนกับดวงดาวที่เพิ่งเกิดใหม่
ร่างกายของเขาขยับไปข้างหน้าช้าๆ
บนถนนเสินมีรอยเท้าเปียกปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
หนึ่งกระบี่พิชิตเมือง เขาจะประจันหน้าท้าชนกำแพงเมืองแนวนี้ให้แตก!
บนถนนเสิน ร่องรอยน้ำเริ่มเปียก รอยเท้าต่อเนื่อง นั่นก็คือวิถีทางของเขา
เขาจะเดินบนถนนเสิน เดินไปที่ศาลา จนกระทั่งไปจนถึงยอดของสุสานเทียนซู
เขาเดินทีละก้าว…ทีละก้าว สีหน้ายิ่งมายิ่งขาวซีด ยิ่งมายิ่งเจ็บปวด แต่นัยน์ตากลับเป็นสุข
ชีวิต ต้องเจ็บปวดถึงจะเป็นความจริง
สิ่งที่เขาอยากเห็นก็คือความจริง
ตามเวลาที่ค่อยๆ ไหลไป ร่องรอยฝีเท้าบนถนนเสินมุ่งไปยังข้างหน้าไม่หยุดหย่อน เกือบจะเข้าใกล้ศาลา
ระหว่างสวินเหมยและศาลายังคงห่างร้อยกว่าจั้ง แต่เขามองเห็นดวงตาที่อยู่ในความมืดมนใต้ชุดเกราะคู่นั้นได้
ไอพลังปราณสองสายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อสู้อย่างเงียบขรึมที่สุสานเทียนซูใต้
น้ำใสในคลองตื้นเหล่านั้นสั่นสะเทือนพลิกกลิ้งหวาดกลัว จากนั้นก็ไหลแยกสี่ทิศ สายน้ำที่นุ่มนวลไร้รูปร่าง กลับค่อยๆ ก่อตัวเกิดรูปร่างขึ้นมา
กระทั่งพื้นดินสีดำแข็งๆ ของที่ราบหินก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ถูกไอพลังปราณสองสายนั้นกดทับจนค่อยๆ บีบอัดลงไปกลายเป็นเส้นคดเคี้ยวสายหนึ่ง
ราวกับมีก้อนหินกลมที่ไร้รูปร่างและหนักอย่างยิ่งตกลงบนพื้น!
เศษหินลอยบิน ข้างคลองตื้นเกิดเสียงบิดเบือนทำให้ผู้คนเสียวฟัน
พวกเฉินฉางเซิงถอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง ถึงจะหลบการถูกกระเด็นใส่ได้ มองดูพื้นดินที่แตกสลายลงหลุมที่อยู่ตรงหน้า แล้วมองไปที่สองคนนั้นบนถนนเสิน ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
การต่อสู้ระหว่างไอพลังปราณสองสาย ไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
สวินเหมยจ้องใต้ศาลา เกิดเสียงผิวปากลากยาวเสียงหนึ่ง!
เสียงผิวปากเสียงนี้ราวกับเสียงให้สัญญาณบนเวทีละคร เป็นเสียงสั่งการ ให้คนที่อยู่ด้านบนโปรยแผ่นกระดาษลงมา แผ่นกระดาษเหล่านั้นเป็นหิมะปลอม แต่ในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่ามีหิมะตกลงมาจริงๆ!
ไม่ นั่นไม่ใช่หิมะ แต่เป็นแสงดวงดาว เป็นแสงดวงดาวที่ถูกตัดหั่นจนเป็นเศษเสี้ยว!
แสงดาวเป็นเศษ พากันตกหล่นลงมา ไม่ต่างอะไรจากหิมะ
สวินเหมยยืนอยู่กลางหิมะ ราวกับกลับไปในปีนั้น
ตอนนั้นเขายังเป็นชายหนุ่ม หยัดยืนอยู่หน้าประตูสำนักอาจารย์เป็นเวลาสามวันสามคืน จนกระทั่งหิมะสูงกลบถึงหัวเข่า
ปีนั้นคือปีไหน? สามสิบเจ็ดปีก่อน ยิ่งเป็นปีนั้นที่ก่อนกว่านี้
เกือบห้าสิบปีในการบำเพ็ญอย่างยากลำบาก ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สามสิบเจ็ดปี เขาไม่ได้ผอมแห้งแรงน้อย เป็นเด็กที่ถูกลมหิมะแช่แข็งจนป่วยหนักเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงที่เกือบจะถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว
เหล่าเด็กหนุ่มที่ชมการต่อสู้อยู่นอกที่ราบ จนกระทั่งตอนนี้ ถึงรู้ว่าขั้นของสวินเหมยถึงระดับนี้แล้ว พลันตกตะลึงไร้คำพูด
จนถึงเวลานี้ ผู้เฝ้าสุสานใต้ศาลาแหงนศีรษะขึ้น
ความมืดมนอนธการที่ถูกครอบคลุมด้วยหมวกเหล็กตั้งแต่แรกจนจบ ในที่สุดก็ถูกส่องสว่าง
นั่นเป็นใบหน้าที่แก่ชราและอ้างว้างใบหน้าหนึ่ง
เสียงตะโกนก้องอย่างเร่งรีบเสียงหนึ่ง!
ฝุ่นละอองนับไม่ถ้วน กระจัดกระจายออกมาจากในช่องว่างจำนวนมากของชุดเกราะ!
เขานั่งอยู่หน้าถนนเสินหลายร้อยปี
ฝุ่นละอองเหล่านี้ก็หลายร้อยปีเช่นกัน
หลายร้อยปีก่อน สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเข้าถึงตอนอวสานแล้ว
เขาเป็นขุนพลเทพท่านสุดท้ายของหวังจือเช่อ
ในที่สุดเขาก็เงยหน้า มองไปยังสวินเหมย สายตาดุจกระบี่ที่แหลมที่สุด
และกระบี่ของเขา ในที่สุดก็ชักออกมาจากปลอก!
แสงดวงดาวถูกตัดหั่นเป็นเศษเสี้ยว ค่อยๆ ตกลงมา
กระบี่ของขุนพลเทพฮั่นชิง คั่นอยู่ท่ามกลางลมหิมะ เหมือนกับหน้าไม้ทองคำ เหมือนม้าเหล็กที่แข็งแกร่ง
ข้างหน้าศาลา เป็นที่ราบหิมะไปแล้ว!
……
……
สำหรับสวินเหมย แสงดาวที่ถูกตัดหั่นเป็นหิมะที่อยู่หน้าประตูสำนักอาจารย์ในปีนั้น
สำหรับฮั่นชิงแล้ว แสงดาวที่ถูกตัดหั่นเป็นหิมะของสนามสงครามในปีนั้น
หิมะที่ไม่เหมือนกัน แทนความอดทนที่ไม่ต่างแตก ความอดทนคนละแบบ
ในระยะห่างร้อยกว่าจั้ง สวินเหมยมองดูใบหน้าที่แก่ชราใบหน้านั้น ราวกับอยู่มันตรงหน้า
สงครามสนามนี้ ในที่สุดก็มาถึงนาทีสุดท้าย ถึงเวลาตัดสินแพ้ชนะ ผู้แข็งแกร่งสองคน ล้วนปล่อยกลวิธีที่น่าเกรงขามที่สุดของตนเองออกมา เหล่าเด็กหนุ่มที่ชมการต่อสู้อยู่นอกที่ราบหิน ไม่สามารถอยู่เป็นกำลังใจได้อีก แม้ว่าจะถอยแล้วถอยอีก ยังคงถูกลมหิมะที่รุนแรงนี้พัดจนเซซ้ายเอียงขวา มีโอกาสล้มลงอยู่ตลอดเวลา
และในเวลานี้ โก่วหานสือยื่นมือจับไหล่ซ้ายของเฉินฉางเซิง เฉินฉางเซิงรู้สึกตัวขึ้นมา ใช้แรงจับไหล่เหลียงปั้นหูไว้อย่างแน่น จับไหล่ซึ่งกันและกันเพื่อยืนตรง ในที่สุดก็สามารถหยัดกายยืน เหมือนกับเหล่าต้นไม้เล็กในลมหิมะที่มองดูแล้วไม่ค่อยแข็งแรง เรียงกันเป็นแนวอย่างแน่น ต้านทานพลังธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างขยันขันแข็ง
ชมการต่อสู้อยู่ไกลๆ ก็ยากลำบากขนาดนี้ สามารถจินตนาการได้ว่าสองคนนั้นที่อยู่ในสงครามจริงๆ กำลังแบกรับสิ่งใด
สงครามลมหิมะของพลทหารร้อยสงครามและศิษย์ยากจน ใครชนะใครแพ้กันแน่?
*ชุ่นเป็นหน่วยวัดความยาวจีน ยาวประมาณ 3.33 เซนติเมตร