ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 210 แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า

รอบข้างของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบมาก มีเฉินฉางเซิงเพียงคนเดียว เปรียบกับสภาพของเมื่อวานกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นมีผู้สอบหลายสิบคนล้อมรอบอยู่ด้านหน้ากระท่อมหลังนี้

ในสนามเงียบสงบอย่างยิ่ง แต่จำนวนคนมากเกินไป หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยังคงรู้สึกค่อนข้างเบียดเสียด เสียงเสียดสีของเสื้อผ้าและฝีเท้าตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยขาด กระทั่งถึงตอนกลางคืน ผู้คนก็ไม่ได้จากไป กลับจุดโคมไฟที่อยู่หน้ากระท่อม แต่อย่างไรเสียสุสานเทียนซูในต้าลู่ก็มีคนเป็นอยู่มาแล้วหลายปี สำนักพรรคจำนวนมาก ล้วนเคยมีคนเข้าสุสานเทียนซูชมดูแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ แล้วสรุปเป็นประสบการณ์จำนวนมาก ก่อนการสอบใหญ่ก็ได้กำชับเอาไว้ หลังความตื่นเต้นในตอนต้นของเหล่าผู้สอบ เมื่อดึงสติกลับมา ก็แจ่มแจ้งว่าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่ใช่เรื่องแค่หนึ่งเช้าหนึ่งค่ำต้องอาศัยระยะเวลา จำเป็นต้องดูแลสุขภาพให้ดี ฉะนั้นจึงทำตามอาจารย์ที่สั่งไว้ ไปหาที่พักละแวกใต้สุสาน ตอนนี้คงจะยังนอนหลับกันอยู่

เฉินฉางเซิงไม่ทราบกระบวนการเหล่านี้ ได้แต่ดูแผ่นป้ายหินอนุสรณ์อย่างตั้งใจ

หน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เป็นสีดำ ด้านบนมีเส้นจำนวนมากบ้างหยาบบ้างละเอียด บ้างตื้นบ้างลึก เส้นเหล่านั้นไม่รู้ว่าใช้สิ่วแกะสลักที่แหลมคมอะไร ระหว่างจุดหมุนเหมือนทำตามใจเล็กน้อย ปูเต็มหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ ระหว่างนั้นมีการรวมกันหลายครั้งมาก แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนที่แปลกพิลึก หากใช้ใจมอง หรือว่าเอาความหมายของประวัติศาสตร์เหล่านั้นเติมเข้าไปด้วย อาจจะสามารถหาความหมายที่งดงามจากเส้นเหล่านั้นได้ แต่ถ้าสงบจิตลงมา พยายามลบล้างเหล่าอารมณ์รวมถึงความเกรงกลัวต่อคัมภีร์สวรรค์ให้หมด เส้นเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ได้มีรูปแบบใดๆ ยิ่งไม่มีความหมายใดๆ เหมือนกับสิ่งที่เด็กเล็กวาดมั่วๆ ผู้เรียนจำนวนมากรู้สึกกระทั่งว่าเส้นเหล่านี้เป็นไปได้ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นี่เดิมก็เป็นวิธีในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แบบหนึ่งที่เป็นกระแสนิยมเมื่อหลายปีก่อน

วันนี้เฉินฉางเซิงได้เห็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ในตำนานครั้งแรก แน่นอนว่าไม่มีความสามารถที่จะทำการตัดสินใดๆ จึงทำให้ตอนที่สายตาตกลงบนหน้าของแผ่นป้ายอนุสรณ์ การเต้นของหัวใจจึงเริ่มเร็วขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะดูครั้งเดียวก็เข้าใจบางเรื่อง และไม่ใช่เป็นเพราะเส้นเหล่านั้นที่ตัวเองเห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจ เพียงแต่จำนวนที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าแน่นอนว่านำมาซึ่งความตื่นเต้นของอารมณ์

ใช่ เขาเห็นร่องรอยเหล่านี้บนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แล้ว หรือเรียกว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์

ไม่มีความบังเอิญโชคช่วยใดๆ และไม่ใช่ปาฏิหาริย์ใดๆ หลายคนล้วนเคยเห็นอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ยากจะเข้าใจบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านี้… ร้านรวงทั้งหมดที่อยู่สองฝั่งทางของถนนหลักนอกสุสานเทียนซูล้วนมีตำราอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ขาย นักท่องเที่ยวจากนอกเมืองที่มาชมในสุสานเทียนซูเกือบทุกคนมีอยู่ในมือเล่มหนึ่ง ต้องรู้ว่า ตำราเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นของที่ระลึกที่ขายดีที่สุดของสุสานเทียนซู

หลายปีก่อน ก็มีการส่งต่อแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ในโลกแล้ว หลังจากที่ราชสำนักของเผ่ามนุษย์ค่อยๆ เข้มงวดขึ้น เคยมีกษัตริย์ที่ลองยุติการส่งต่อของตำราอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของสุสานเทียนซู ทว่าแต่เดิมก็มีตำราจำนวนมากที่ส่งต่ออยู่ด้านนอก ความเย้ายวนยั่วกิเลสชนิดนี้มากเกินไป จึงไม่สามารถยุติได้โดยสิ้นเชิง ฉะนั้นจึงทำได้เพียงจบดำรินี้ไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

โดยเฉพาะตำราอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นที่หน้าสุสาน ตอนก่อนระยะรัชสมัย กระทั่งเคยดำเนินการขายอย่างเปิดเผยถึงสามครั้ง ตำรานั้นถูกพิมพ์เป็นหลายสิบรูปแบบของฉบับทางการ อย่างน้อยพิมพ์ไปหลายล้านชุด ขณะเดียวกับที่เปลี่ยนกลับมาเป็นเงินมหาศาลในท้องพระคลัง ก็ได้เพิ่มพูนกระดาษที่นุ่มนวลจำนวนมากเหมาะสำหรับรองบนโต๊ะไพ่ของหลายครัวเรือนปุถุชนชนชั้นสามัญ

นอกจากจะไม่สามารถยุติได้อย่างจริงจังแล้ว ตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ยังถูกส่งต่ออย่างกว้างขวาง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ รากเหง้าที่มากที่สุดมีอยู่สองจุด ประการแรก การอ่านตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์และชมแผ่นป้ายอนุสรณ์โดยตรงถือเป็นคนละเรื่องแตกต่างราวฟ้ากับเหว หลายปีผ่านมา ผู้บำเพ็ญจำนวนมากได้ยืนยันไว้แต่แรกแล้ว มีเพียงเห็นแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูด้วยตาของตนเองเท่านั้น ถึงจะบรรลุแจ่มแจ้งถึงความหมายที่แท้จริงของกฎธรรมชาติที่ซ่อนอยู่ในอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ ประการที่สอง ตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่สามารถส่งต่อไปถึงครัวเรือนปุถุชนชนชั้นธรรมดาอย่างไรก็มีจำนวนจำกัด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอักษรของแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่หน้าสุสานเหล่านี้ ต้องเข้าใจว่าคนที่สามารถสัมผัสแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ในจำนวนที่มากกว่า แน่นอนว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีเส้นทางการบำเพ็ญสำเร็จ ไหนเลยจะใคร่โลภชื่อเสียงเหล่านี้ อย่างเช่น ผู้แข็งแกร่งแบบเทียนเหลียงหวังผ้อที่มีพรสวรรค์สั่นสะท้านผู้คน ปีนั้นที่อยู่ในสุสานเทียนซูก็แค่ดูไปสามสิบเอ็ดแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ ฉะนั้นแม้ว่าจะโลภมากจนลืมตัว เขาก็ไม่สามารถที่จะพิมพ์ตำราอักษรแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ข้างหลังเหล่านั้นลงมาได้ แล้วนำออกไปเผยแพร่นอกสุสานเทียนซู

หลังเฉินฉางเซิงมาถึงนครจิงตู อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมจวนหลีจื่อที่นอกสุสานเทียนซูระยะเวลาหนึ่ง ทุกวันล้วนเห็นการวางขายตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านั้นตามแผงต่างๆ แน่นอนว่าย่อมซื้อติดไม้ติดมือมาบ้าง เมื่อตอนเพิ่งได้ตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านั้นมาอยู่ในมือ เขายังตื่นเต้นมาก จนกระทั่งสังเกตได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายใดๆ ถึงจะโยนไปไว้ข้างหนึ่ง

แต่ยืนอยู่หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ เห็นเส้นสายเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์กับตา ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พันหมื่นขวบปีผันผ่าน แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนี้อยู่ใต้กระท่อมอย่างเงียบขรึมไร้วาจา ยังคงลึกลับ

เส้นสายเหล่านั้นบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์สีดำ ลอยขึ้นมาสะท้อนนัยน์ตาของเฉินฉางเซิง ร่องรอยแกะสลักในเนื้อหินมุมขวาล่างของหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เดิมลึกเป็นหลุม จู่ๆ กลายเป็นนูนขึ้นมา เส้นละเอียดละเมียดละไมนับสิบสายที่แนบอยู่ข้างขอบ ก็จากไปจากหน้าหินตามไปด้วย ให้ความรู้สึกคล้ายล่องลอยชนิดหนึ่ง

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่คือภาพลวงตา นี่ก็เป็นหลังจากการเชื่องโยงของความทรงจำและสุสานเทียนซู เป็นการรบกวนแบบหนึ่งของการมองเห็นที่แท้จริง ตอนเด็กที่อ่านคัมภีร์เต๋าที่วัดเก่าเมืองซีหนิง เขาเคยเห็นบันทึกของเกี่ยวกับการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนมากของผู้อาวุโสสำนักฝึกหลวง ฉะนั้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหันนี้ ไม่ได้รู้สึกตกตะลึงใดๆ กลับยังคงรักษาให้สงบอย่างแน่นอนเหมือนเดิม

ที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงจริงๆ แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ นั่นเป็นเพียงแสงเงาที่เปลี่ยนแปลง การมองเห็นที่แท้จริงยังคงอยู่ตรงนั้น

ไม่ว่าจะมืดครึ้มหรือเผชิญห่าพายุฝน ไม่ว่าเหนือแผ่นป้ายหินอนุสรณ์จะมีกระท่อมหลังนี้หรือไม่ ไม่ว่าหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์จะเปียกโชกหรือแห้งผาก มองดูแล้วจะอึมทึมหรือสะดุดตา แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ เส้นสายเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบยังคงเป็นเส้นสายเหล่านั้น และแล้วเมื่อเทียบอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์กับตำราที่ส่งต่อกันในมือผู้คน สิ่งที่ต่างกันมากที่สุดก็อยู่ตรงนี้มิใช่หรือ?

ตำแหน่งตรงกัน ภายนอกก็ตรงกัน

ตำแหน่งเปลี่ยนไปตามตำแหน่งอ้างอิง ภายนอกเปลี่ยนไปตามสิ่งแวดล้อม

คิดอยากจะยืนยันตำแหน่ง ก็ต้องยืนยันตำแหน่งอ้างอิง

คิดอยากจะสังเกตเห็นถึงการมองเห็นที่แท้จริงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก่อนอื่นต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่กระทบทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการมองเห็นที่แท้จริงใช่หรือไม่?

สารที่ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้องอ่านให้เข้าใจ เหตุผลที่ต้องตระหนักอย่างแจ่มแจ้ง ก็ซ่อนอยู่ในการเปลี่ยนแปลงชนิดนี้ใช่หรือไม่?

ยืนอยู่หน้ากระท่อม เฉินฉางเซิงมองดูอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ รักษาท่าทางให้เหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเป็นเวลานาน

ตะวันโผล่พ้นเส้นขอบฟ้าเต็มดวงแล้ว แสงอรุณทอดสายตามองสุสานเทียนซูอยู่ไกลๆ ส่งความอบอุ่นมาให้ ความเหน็บหนาวของป่ายามเช้าค่อยๆ ถูกขับไล่กระจัดกระจายหายไป ด้านข้างของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ต้องแสงเป็นสีเพลิง สวยงามยิ่ง

มองดูแถบสีแดงเพลิงที่อยู่ข้างขอบแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เฉินฉางเซิงหลับตา สงบจิตใจสักพัก จากนั้นหันหลัง

เขาไม่ชมดูแผ่นป้ายอนุสรณ์อีก กลับมองไปยังรอบข้างของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์

ปลายยอดของป่าไม้เกือบทั้งหมดถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน ราวจวนจะแผดเผามอดไหม้ กระท่อมของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่เหมือนเห็นบ้างไม่เห็นบ้างที่อยู่ไกลๆ ยิ่งยากที่จะยืนยันตำแหน่ง เขาเดินมาจากใต้สุสาน ถึงหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรก ถนนก็ถึงจุดปลายทาง ไม่มีถนนที่ผ่านไปยังเหล่าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่อื่นอีก แต่ที่ต่างพูดกันว่าสุสานเทียนซูมีแค่ถนนเส้นเดียว นั่นแปลว่าอะไร?

ตะวันเผาไหม้ปลายยอดป่า แสงสีแดงฉานงดงามส่องสว่างหน้าผาที่อึมทึมหน้าของกระท่อมด้านข้าง ตอนนี้เขาเพิ่งเห็น บนหน้าผาถูกสลักอักษรเป็นแนว

ต่างกับแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่เข้าใจยาก ตัวอักษรของหน้าผาเข้าใจง่ายมาก เพราะว่าใช้ตัวอักษรที่ทุกคนสามารถอ่านรู้เรื่อง

“แสงกระจ่างสะท้อนวารีบันดาลม่านหมอก สองฝั่งทางชายคาฉูดฉาดทอดกายดุจหนึ่ง ใบบัวเรียงขนัดกระจุกเหนือผิวน้ำตัดขาดโลก ม่านลูกปัดพลิ้วลมโบกอวลกลิ่นมิสิ้นกำจาย”

กลอนบทนี้เป็นเจ้าของลัทธิเต๋าเมื่อสองพันปีก่อน ที่เขียนด้วยความรู้สึกขณะชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ตอนเข้ามาสุสานเทียนซูใหม่ๆ

แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกของสุสานเทียนซู จึงมีชื่อเป็นของตัวเองนับแต่นั้น แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า

……

……

ตั้งแต่มาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์จนจากไป เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็หันหลังกลับ อีกทั้งไม่มีแม้แต่คำว่าไม่ลังเล

ไปจากแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า เดินเลียบแนวถนนภูเขา ขณะเลี้ยวผ่านที่ราบภูเขา เขาเห็นเจ๋อซิ่ว ดูเวลาแล้ว เจ๋อซิ่วน่าจะยืนอยู่ตรงนี้สักพัก

เจ๋อซิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าเขาจะจากไปเร็วขนาดนี้

“ข้าไม่ชอบความครึกครื้น ไม่ชอบเบียดเสียดดูแผ่นป้ายอนุสรณ์กับคนอื่น” เฉินฉางเซิงบอกคำอธิบายที่ไม่ค่อยมีแรงโน้มน้าวอะไร มองดูควันที่ลอยขึ้นอย่างบางเบาจากป่าใต้ภูเขาที่อยู่ไกลๆ เตือนว่า “ทุกคนตื่นแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากถูกรบกวนตอนชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เร็วเข้าหน่อยยิ่งดี”

เจ๋อซิ่วพยักหน้า เดินไปยังด้านบนของถนนภูเขา

เฉินฉางเซิงมองดูเงาแผ่นหลังของเขา ลังเลสักพัก กล่าว “ข้ารู้สึกว่าไม่ต้องดูนานเกินไป ไม่มีประโยชน์ใดๆ และอาจยังมีข้อเสีย”

เจ๋อซิ่วไม่ได้สนใจเขา

เฉินฉางเซิงเดินต่อลงไปยังใต้ภูเขา เจอชายวัยกลางคนใส่ชุดสีขาวบนถนนภูเขา

เขาจำได้ว่าชายวัยกลางผู้นี้ก็คือหนึ่งในเหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ซึ่งเมื่อวานอธิบายกฎของสุสานเทียนซู

คิดอยู่ว่าเหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ถวายช่วงเวลาวัยรุ่นและทั้งชีวิตให้กับสุสานเทียนซู ผู้คนล้วนมีความเคารพ เขาก็ไม่ต่างกัน เฉินฉางเซิงทำความเคารพอย่างนอบน้อม

ชายวัยกลางผู้นั้นไม่ได้ตอบรับ แม้กระทั่งศีรษะก็ไม่ได้พยักทีหนึ่ง กลับมิได้จากไป กลับมองเขาด้วยสีหน้าไม่สนใจ

เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ถามว่า “ท่านผู้อาวุโสมีอะไรให้รับใช้ไหม?”

“เจ้าก็คือเฉินฉางเซิง?” ชายวัยกลางผู้นั้นมองเขาแล้วถาม น้ำเสียงเย็นชามาก

เฉินฉางเซิงชะงัก นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เคยออกจากสุสานเทียนซู จะรู้ชื่อแซ่ตัวเอง ตอบกลับด้วยความระมัดระวังเล็กน้อยว่า “ถูกต้อง”

“เจ้าก็คืออันดับหนี่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ปีนี้?” ชายวัยกลางผู้นั้นถามต่อ น้ำเสียงครั้งนี้ไม่เพียงแค่เย็นชา ยิ่งมีความเข้มงวดเพิ่มเติมเข้าไปด้วย

ความไม่สบายใจในใจของเฉินฉางเซิงยิ่งมายิ่งหนักหน่วง และยิ่งไม่เข้าใจ ตอบว่า “ไม่ผิด”

ชายวัยกลางคนผู้นั้นพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ตั้งแต่เจ้าขึ้นสุสานจนกระทั่งจากไป เวลายังไม่ถึงหนึ่งเค่อ เจ้าใช้เวลาสั้นขนาดนี้ก็ดูแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า รู้เรื่องจริงๆ หรือ?”

เฉินฉางเซิงอธิบายว่า “หามิได้ ข้า…”

ไม่ได้รอเขาพูดเสร็จ ชายวัยกลางคนผู้นั้นสั่งสอนด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ข้ามั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะใช้เวลาสั้นขนาดนี้ก็อ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าแตกฉาน เจ้าคิดว่าตัวเองมีความประเสริฐขนาดนั้นในการบรรลุจริงๆ หรือ? สิ่งที่ข้าจะพูดก็คือมารยาทของเจ้า! ไร้เกียรติเช่นนี้ โง่ขนาดไหน! อยู่นอกสุสานเทียนซู อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่อาจพอมีน้ำหนักบ้าง แต่เจ้าต้องเข้าใจ ที่นี่เป็นสุสานเทียนซู! ที่นี่เป็นสถานที่การบรรลุของนักปราชญ์และผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ถ่อมตัวจำนวนมาก! ข้าไม่รู้ว่าพบเจออันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่มาตั้งมากน้อยเท่าไหร่ อย่าคิดว่าอาศัยชื่อเสียงนี้ก็ทำตัวบังอาจได้!”

ได้ยินคำสั่งสอนที่รุนแรงประหนึ่งถ่มน้ำลายใส่หน้านี้ เฉินฉางเซิงชะงักกึก หากเป็นการสอนสั่งของผู้อาวุโสต่อคนรุ่นหลังจริงก็ยังพอใช้ได้ แต่ชัดเจนมากว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่จะต้องการฉีกหน้าตนเอง ที่แปลกก็คือ ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถออกจากการเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของสุสานเทียนซู แล้วเพราะเหตุใดถึงมีความเป็นศัตรูต่อตนเองมากขนาดนี้?

ชายวัยกลางคนผู้นั้นมองเขา ไม่ปิดบังความดูถูกและไม่ชอบใจของตน กล่าว “ข้าเตือนเจ้า สุสานเทียนซูเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าเจ้าจะมีเบื้องหลังที่ใหญ่โตขนาดไหน ก็ต้องเกรงกลัวเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องคิดที่จะนำเรื่องสกปรกจากโลกโลกีย์นอกสุสานเหล่านั้นเข้ามา คำพูดนี้เจ้าสามารถเอาไปบอกต่อกับคนที่มาหาเจ้าหน้าสุสานได้เต็มที่!”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset