ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 211 หมื่นวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ (ตอนต้น)

ชายกลางคนพูดประโยคนี้เสร็จก็จากไป เฉินฉางเซิงยืนอยู่บนถนนภูเขา รู้สึกประหลาดยากแก่การเข้าใจ แน่นอนว่าโกรธเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่ง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนท้ายพูดถึงมีคนมาหาเขาที่หน้าสุสาน เขามาถึงหน้าสุสาน เห็นเพียงประตูหินยังคงปิดแน่น พลันนึกภาพเมื่อคืนที่สวินเหมยเดินออกจากตรงนี้ ขณะกำลังรู้สึกซึมเซาเล็กน้อย จู่ๆ ก็ได้ยินคนเรียกชื่อของตัวเอง

เขาเดินตามเสียงมาถึงด้านข้างของประตูหิน เห็นเพียงบนกำแพงมีหน้าต่างเล็กบานหนึ่ง อาจารย์ซินกำลังโบกมือให้กับตัวเอง เขาตกตะลึงเล็กน้อย ทำความเคารพต่อหน้าต่างเล็ก ถามว่า “ทำไมท่านถึงมา?”

อาจารย์ซินส่งของบางอย่างเข้ามาผ่านหน้าต่างหิน พูดว่า “ใต้เท้ามุขนายกให้ข้ามาดูเจ้าหน่อย”

เฉินฉางเซิงรับของเหล่านั้น ถามว่า “กระเป๋าสัมภาระล้วนอยู่บนรถ เมื่อวานไม่ได้ให้พวกข้านำเข้ามา”

อาจารย์ซินพูดว่า “นี่เป็นกฎระเบียบของสุสานเทียนซู รอหลังตรวจเสร็จก็จะส่งเข้าไปให้พวกเจ้า น่าจะไม่ช้าไปกว่าวันนี้”

เฉินฉางเซิงนึกถึงผ้าห่มฟูกหลายอันที่เหม็นเปรี้ยวสุดระอาในกระท่อม ลองถามดูว่า “รบกวนท่านส่งผ้าห่มฟูกที่สะอาดสักหลายอันให้หน่อยได้หรือไม่?”

อาจารย์ซินชะงักเล็กน้อย พูดว่า “เรื่องนี้ไม่น่ายาก”

“ในเมื่อมีการคืนกระเป๋าสัมภาระให้พวกข้า เช่นนั้นก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”

เฉินฉางเซิงเปิดของที่อาจารย์ซินส่งมาให้ สังเกตเห็นในนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นไข่ไก่ต้มสุกถุงหนึ่ง เขาถามด้วยความสงสัยอย่างอดไม่ได้ “สามมื้อในสุสานเทียนซูต้องจัดการเอาเองหรือ?”

อาจารย์ซินอธิบายว่า “พรรคสำนักต่างมีการเตรียมพร้อม ทุกวันล้วนมีการส่งเข้ามา ส่วนเหล่าผู้เรียนในท้องถิ่น ราชสำนักจะจัดหาสิ่งของเครื่องใช้ แม้คุณภาพจะแย่สักหน่อย สำนักฝึกหลวงตอนนี้เสียหายทรุดโทรมอย่างยิ่ง รอการฟื้นฟู เจ้าและถังซานสือลิ่วไม่ได้เตรียมแน่นอน ใต้เท้ามุขนายกได้ทำการวางแผนแล้ว ไม่ต้องกังวลใจ”

บทสนทนาที่กั้นด้วยหน้าต่างหินเล็กๆ เฉินฉางเซิงรู้สึกแปลกเล็กน้อย คล้ายการเยี่ยมนักโทษในคุก

มองดูสีหน้าบนใบหน้าของเขา อาจารย์ซินเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ พูดว่า “สุสานเทียนซูเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และก็เป็นคุกเช่นกัน”

เฉินฉางเซิงชะงักนิดหนึ่ง นึกถึงประสบการณ์ของสวินเหมย พลางพูด “มีเหตุผลมาก ขอบคุณท่านที่กล่าวตักเตือน”

อาจารย์ซินพูดว่า “คำพูดที่มีเหตุผลขนาดนี้ ข้าสามารถพูดออกมาได้ที่ไหน นี่เป็นคำพูดของใต้เท้าสังฆราชรุ่นที่แล้ว ใต้เท้ามุขนายกฝากให้ข้ามาบอกเจ้า”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “เข้าใจแล้ว”

อาจารย์ซินมองเขาผ่านหน้าต่างหิน กล่าวขึ้นอีก “อย่างไรก็แล้วแต่เจ้าต้องจำไว้ สวนโจวจะเปิดในอีกหนึ่งเดือน เจ้าต้องออกมาก่อนหน้านั้น”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบประโยคนี้ กลับหยิบยกเรื่องที่เจอผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ทั้งเย่อหยิ่งและก้าวร้าวบนถนนภูเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมาพูด

“เป็นไปได้อย่างไร?”

อาจารย์ซินขมวดคิ้ว พูดว่า “เหล่าพรรคสำนักเพื่อความสะดวกในการทำการและชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูของลูกศิษย์ อาจคิดหาวิธีสร้างความสัมพันธ์เอาใจผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้ บวกกับสถานะของพวกเขาพิเศษ ฉะนั้นจึงมีความหยิ่งยโสบ้าง แต่พวกเขาล้วนได้รับอุปถัมภ์จากนิกายหลวง แล้วจะกล้าล่วงเกินเจ้าได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ทำความเข้าใจตรรกะของประโยคนี้ ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ไม่กล้าล่วงเกินข้า?”

เห็นเขามีท่าทีที่ไม่รู้โดยสิ้นเชิง อาจารย์ซินยกยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว “ตอนนี้ต้าลู่ทั้งแผ่นดิน ล้วนรู้ว่าเจ้าเป็นที่ถูกใจของใต้เท้าสังฆราชและมุขนายก ล่วงเกินเจ้า ก็เท่ากับล่วงเกินนิกายหลวง”

……

……

ตอนที่ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนนั้นสั่งสอนเคยพูดว่า แม้ว่าเบื้องหลังของเขาจะยิ่งใหญ่แค่ไหน อยู่ในสุสานเทียนซูพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ก็ต้องมีจิตใจที่เกรงกลัวเช่นกัน หลังเฉินฉางเซิงได้ฟังคำพูดของอาจารย์ซิน แล้วคิดถึงประโยคนี้อีก แน่นอนว่าเกิดความเข้าใจใหม่ขึ้นมา คาดเดาในใจว่าหรือเป็นเพราะเบื้องหลังนิกายหลวงของตัวเอง กลับทำให้ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้รู้สึกขัดหูขัดตา

ระหว่างคิดถึงเรื่องพวกนี้ เขาเดินกลับไปยังกระท่อม ในห้องร้างไร้ผู้คน เหล่าเด็กหนุ่มน่าจะไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สุสานเทียนซูแล้ว ข้าวต้มสีขาวหม้อใหญ่หม้อนั้นที่ต้มไว้ก่อนรุ่งอรุณถูกซัดจนหมดเกลี้ยง ของใช้ประจำวันในครัวล้วนล้างสะอาดวางไว้เรียบร้อย น้ำในโอ่งก็ถูกเติมเต็มใหม่เช่นกัน แม้ไม่ได้เห็นว่าใครเป็นคนทำ แต่ไม่ทราบเพราะเหตุใด เขามั่นใจมากว่าเป็นการวางแผนของโก่วหานสือ

แม้จะมีผ้าห่มฟูกใหม่ เฉินฉางเซิงยังคงแกะผ้าห่มฟูกสามอันที่สวินเหมยเหลือไว้ให้ออก ซักล้างหลายรอบอย่างตั้งใจและละเมียดละไม จนกระทั่งแน่ใจว่ากลิ่นเหงื่อเปรี้ยวสามสิบเจ็ดปีนั้นถูกล้างจนหมดเกลี้ยง ถึงจะตากไว้บนเชือกที่ลานสวน จากนั้นเขาเดินทะลุผ่านป่าส้ม มาถึงไร่ผักที่อยู่ไกลๆ ตอนนี้เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ เป็นยามที่พืชพรรณธัญญาหารเก็บเกี่ยวไม่ได้ตามฤดู ในไร่ผักไม่มีผักสดสีเขียวใดๆ ที่สามารถเห็นได้ ล้วนเป็นต้นหอมต้นกระเทียมและกุยช่าย เขาเก็บต้นหอมสองสามต้น แล้วก็ขุดมันเทศสองสามหัวจากใต้ดิน กลับไปถึงในกระท่อม เริ่มเตรียมอาหารกลางวัน

ต้มน้ำให้เดือดในหม้อเหล็กใหญ่ เอาเนื้อหมูรมควันที่อาจารย์ซินส่งมาให้แบ่งเป็นสองท่อนแล้วโยนลงไป จากนั้นเริ่มนึ่งข้าวบนนั้น

ข้าวปนมันที่ถูกตัดชิ้นใหญ่เท่านิ้ว ต้นหอมล้างสะอาดหั่นไว้เรียบร้อย วางอยู่ข้างเตา ไข่ไก่ต้มสุกก็ถูกเอาออกมา เตรียมใส่ข้างหม้อนึ่งได้ตลอดเวลา หลังทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ ก็ไปล้างมือ

ถึงปลาเค็มและเนื้อรมควันจะอร่อยและเข้ากับข้าวได้ดีมากก็ตาม แต่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร กินเยอะไม่ดีต่อร่างกาย อาจารย์ซินบอกว่าใต้เท้ามุขนายกมีการวางแผน พรรคกระบี่หลีซานก็น่าจะหาวิธีส่งของเข้ามาเช่นกัน ไม่รู้ว่าเนื้อและผักสดในวันต่อไปจะได้รับการรับรองหรือไม่ เขานั่งอยู่บนธรณีประตูและคิดถึงเรื่องพวกนี้ เมื่อวานเป็นนักท่องเที่ยวไปวันหนึ่ง แล้ววันนี้จะเป็นพ่อครัวอีกวันหนึ่งหรือ? อยู่ในสุสานเทียนซูไม่ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่ไปคิดวิเคราะห์อย่างลำบาก กลับคิดเรื่องพวกนี้ ถ้าถูกผู้อื่นพบเห็นว่าสภาพของเขาคือนั่งเหม่อลอยอยู่บนธรณีประตู ไม่รู้ว่าจะมีกิริยาตอบสนองอย่างไร

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนธรณีประตู มองลานสวนนอกกระท่อม มองดูรั้วไผ่ที่ล้มไปครึ่งหนึ่ง มองดูต้นไม้เขียวที่ไม่ค่อยน่ามองเท่าไรในป่าส้ม เงียบสงบมาก ไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นเวลานาน เรื่องอาหารการกินการดื่มแน่นอนว่าไม่ต้องใช้เวลามากขนาดนี้ไปขบคิด เรื่องชายหญิงก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเขา แล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่?

มองดูรั้วไผ่ที่ล้มและม่านหมอกในป่าที่ถูกแสงแดดทำให้ฟุ้งกระจาย สีหน้าของเขามุ่งมั่นอย่างเทียบไม่ได้ จนทำให้ไม่ได้สังเกตอย่างสิ้นเชิงว่ากระเป๋าสัมภาระที่เมื่อวานอยู่นอกสุสานเทียนซูถูกส่งมาในลานสวนแล้ว

เสียงนกร้องสองสามเสียงทำให้เขาหลุดจากภวังค์ เพิ่งจะเห็นว่าด้านข้างมีสัมภาระที่วางกองเป็นภูเขาเล็ก เขาเดินไปข้างหน้า หากระเป๋าของตัวเองจากในนั้น เอาพู่กันหมึกและกระดาษออกมา กลับไปนั่งบนธรณีประตูเหมือนเดิม มองดูเหล่ารั้วไผ่ที่ล้มและป่าเขียวต่อ เพียงแต่มือในตอนนี้มีพู่กันเพิ่มขึ้นมา หมึกในจานฝนหมึกที่อยู่ข้างกายละลายเรียบร้อยแล้ว

ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อยลอยผ่าน ตะวันค่อยๆ โด่งสูง มุมที่ลำแสงตกลงบนลานสวนก็เปลี่ยนไปตาม

รั้วไผ่เบาบางมาก และโยกเยกจวนจะหล่น แต่ในนั้นยังมีคานไม้หยาบๆ สองสามท่อน

ตามการเปลี่ยนแปลงของลำแสง เงาของคานไม้สองสามท่อนที่อยู่บนพื้นดินก็เปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน กิ่งไม้ของยอดต้นไม้เขียวขจีในสวนส้มก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คานไม้เริ่มสั้น ไม้ไผ่เรียวที่อยู่ด้านข้างกลับเริ่มกว้าง กิ่งเรียวของยอดกิ่งต้นไม้เขียวบางส่วนใกล้ที่จะหายไปในแสงตะวันที่ยิ่งมายิ่งสว่างไสว กิ่งไม้บางส่วนกลับเป็นเพราะการส่องของแสงทำให้ยิ่งมายิ่งเด่นชัด

เฉินฉางเซิงมองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ มองดูการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ตระหนักกลับไปถึงช่วงเวลายามเช้าที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกครั้ง ตอนนั้นพระอาทิตย์เพิ่งขึ้น เหล่าเส้นสายบนพื้นผิวของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงตามแสงอรุณแดงฉานอันอบอุ่น ราวกับฟื้นชีวิตกลับมา ขอบเส้นลึกถูกส่องสว่าง เกิดประกายเรียวเล็ก เส้นสายที่เข้าใจง่ายกลับกลายเป็นสลับซับซ้อน

เส้นสายที่ลึกลับสลับซับซ้อนบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านั้น ก็คืออักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นที่แบกรับลมฝนจำนวนมากเป็นเวลาหลายปี ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง แต่มิใช่ว่ากาลเวลากำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อยหรอกหรือ? ถ้าข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นยืนยันว่าถูกต้องแน่นอน เพราะเหตุใดผู้แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์กลับอ่านออกมาในความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง? ใช่ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

เฉินฉางเซิงในมือตวัดปลายพู่กันแตะแต้มน้ำหมึกในจานฝนหมึก เปิดสมุดออกมา เริ่มขีดเขียนบนนั้น เขาไม่ได้ใช้อักษรบันทึกสิ่งที่ตนเองคิดวิเคราะห์ เพียงแต่เริ่มร่างวาดเส้นสายเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า โดยวาดตามที่เห็นและการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่พอประมาณอย่างรอบคอบ พู่กันเดินสายลายเส้นอยู่บนกระดาษอย่างหนักแน่นเป็นพิเศษ

……

……

ไม่รู้เวลาผ่านไปเท่าใด เขาหยุดพู่กันลง แล้วกลับนำมุมขวาล่างของแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้าไปวาดบนสมุดอีกครั้ง จากนั้นเขาเอาตำราแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่ซื้อนอกโรงเตี๊ยมในตอนนั้นออกมา เปิดหน้าที่เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า เริ่มเทียบกับของที่ตัวเองวาด สังเกตเห็นว่าสองอันนี้มีความแตกต่างกันมาก เทียบกับอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า รูปภาพที่เขาวาดบนสมุดเหล่านั้น ยิ่งมีชีวิตชีวากว่าอย่างเห็นได้ชัด ถ้าแรงพู่กันของเขาดีกว่านี้หน่อย หรือจะอธิบายอย่างนี้ก็ได้…รูปภาพเหล่านั้นต้องดีดสะบัดตัวบนกระดาษ ราวกับฟื้นชีวิตกลับมา

ม่านหมอกในป่าหายไปเกือบหมด แผ่นไม้ไผ่บนรั้วไผ่ยิ่งแห้งกว่าเดิม แสงในลานสวนสว่างไสวอย่างหาที่เปรียบมิได้ ที่แท้ในความไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลับล่วงเลยมาถึงเวลากลางวันแล้ว

เฉินฉางเซิงนวดตาที่เมื่อยล้าเล็กน้อย หลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง ลุกขึ้นมาเตรียมอาหารกลางวัน ตอนนี้ถึงสังเกตได้ว่า ยังไม่มีใครกลับมาเลยสักคน รอบๆ กระท่อมเงียบสงบไปทั่ว เนื่องจากอุณหภูมิสูงขึ้น นกในป่าล้วนคร้านจะขับขาน เขายืนอยู่หน้าธรณีประตูคนเดียว รู้สึกเหงาโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง

ข้าวนึ่งสุกนานแล้ว วางปล่อยให้เย็นอยู่ข้างหนึ่ง กลิ่นสดของมันปนกลิ่นหอมมันของเนื้อรมควัน กลายเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาด แต่ไม่ยั่วยวน เขาตักเนื้อรมควันครึ่งท่อนออกจากหม้อ หลังคิดแล้วคิดอีกก็ใช้มีดตัดแบ่งเพียงส่วนเล็กส่วนหนึ่ง หั่นให้เป็นแผ่นบาง เทเข้าไปในชาม ปอกไข่ไก่สุก และชาอ่อนๆ ถ้วยหนึ่ง จบอาหารมื้อกลางวันของตนอย่างไม่มีพิธีรีตอง

หลังกินข้าวเสร็จ เขาเดินเล่นในสวนลานตามใจชอบ กลับไปบนเตียงในกระท่อมและหลับตาลงพักผ่อนสักพัก จากนั้นกลับไปนั่งบนธรณีประตูใหม่ มือซ้ายถือสมุด มือขวาถือพู่กัน เริ่มมองดูทิวทัศน์รอบสี่ทิศของลานสวน เหม่อลอยต่อ ลำแสงเปลี่ยนไปตามเวลาทุกวินาที เขาก็จะต้องสังเกตอยู่ทุกวินาทีเช่นกัน

ตามพระอาทิตย์ค่อยๆ หนักหน่วงลงทางตะวันตก สีของแสงที่ตกลงในลานสวนค่อยๆ เข้มขึ้นมา คานไม้และแผ่นไม้ไผ่ในรั้วไผ่ ตำแหน่งของกิ่งไม้เรียวบนยอดต้นไม้ที่ต่างกัน ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตาม เฉินฉางเซิงที่มองดูอย่างเงียบๆ เป็นเวลานาน ในที่สุดก็เริ่มลงพู่กันอีกครั้ง เอาการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้ตลอดทั้งบ่าย พยายามฝากไว้ที่ปลายพู่กันให้หมด พอมาอยู่บนกระดาษกลายเป็นไม่แม่นยำ เพียงเป็นการพยายามสื่อสารด้วยการตวัดลายเส้นที่รวดเร็ว

เวลายามเย็น อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ส่วนใหญ่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสกระจ่างจ้า ก็ถูกเขาวาดอยู่บนกระดาษใหม่แล้ว

เขารู้ตัวเองว่าห่างจากการอ่านอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้ไม่ไกลแล้ว

ตอนนี้ ผู้คนที่ยืมกระท่อมพักผ่อนก็เริ่มทยอยกลับมาในลานสวน

คนที่กลับมาเร็วที่สุดคือเหลียงปั้นหู เฉินฉางเซิงพยักหน้าทักทาย เขาราวกับมองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง เข้าไปในห้องครัวโดยตรง ตักน้ำใสเต็มกระบวยดื่มจนหมด จากนั้นเดินกลับไปที่ลานสวน เหยียบรั้วไผ่ที่ถังซานสือลิ่วดันล้มเมื่อคืน มองดูตะวันที่ใกล้จะลงภูเขาทางด้านตะวันตก สีหน้าคล้ายสุขคล้ายเศร้า

ชีเจียนก็ตามหลังกลับมาถึงในลานสวนเช่นกัน สีหน้าของชายหนุ่มงุนงงนิดๆ แม้ไม่ลืมที่จะทักทายเฉินฉางเซิง ตอนเข้าห้อง หัวกลับเกือบชนประตู ผ่านไปสักพัก เขาเดินออกมาจากห้อง ไม่รู้เพราะอะไร ก้มหัวแล้วก็เริ่มเดินรอบลานสวน พึมพำในปาก ไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset