ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 216 ค่ำคืนฉายไฟชมป้ายอนุสรณ์ (ตอนกลาง)

บุรุษวัยกลางคนมาถึงสนาม ความยิ่งยโสทะนงตนของสานุศิษย์สำนักต้นไหวคนหนึ่งถึงหวนคืนกลับมาใหม่ แนะนำให้กับผู้คนรอบด้านข้างกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ว่า “อาจารย์อาสำนักต้นไหวของข้าชื่อจี้จิ้น ถวายงานรับใช้ลัทธิเต๋าอยู่ในสุสานเทียนซู จนถึงปัจจุบันเป็นเวลายี่สิบกว่าปี”

ได้ยินคำพูดนี้ เหล่าผู้สอบวัยหนุ่มสาวตกตะลึงอึ้งค้าง ต่างพากันเดินก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพ ควรรู้ว่าจี้จิ้นเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงทางใต้ในปีนั้น พรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าจะมาทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์

อาจารย์อาสำนักต้นไหวที่ชื่อจี้จิ้น มิได้สนใจการทำความเคารพค้อมเศียรทักทายของเหล่าคนรุ่นหลัง เดินไปถึงข้างหน้าของโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงทั้งสองคน โดยเฉพาะสายตาที่จ้องเฉินฉางเซิงนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง

“นำภาพนั้นมาฝึกเคลื่อนปราณแท้ นำความหมายมาขยับจิตวิญญาณ นำท่าทางมาเลียนแบบวิชากระบี่ บนโลกมีเพียงสามวิธีนี้ถึงจะเป็นวิธีแก้ที่ถูกต้อง ส่วนวิธีแก้ที่เหลือเหล่านั้น ไม่ว่ามองดูแล้วจะแปลกประหลาดอย่างไร โดยรวมก็เอารากฐานไปพัฒนาจากตรงนี้ ถ้าเจ้ากล้าที่จะละทิ้งไม่ใช้มันจริงๆ ข้ากลับอยากรู้ยิ่งนัก เจ้าจะมีวิธีแก้อะไร? ไม่รู้ว่ามีรุ่นที่คิดว่าตัวเองฉลาดมากเท่าไร มักคิดว่าคนรุ่นก่อนนั้นไม่เท่าไหร่ ตัวเองสามารถล้ำหน้าได้ง่าย คนเหล่านั้นไหนเลยสามารถเข้าใจแจ่มแจ้ง มีความคิดสุดโต่งไม่ตรงตามความเป็นจริงเช่นนี้ ล้วนเดินเข้าสู่เส้นทางมรณะไปแล้ว!”

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพูดด้วยน้ำเสียงดุดันเข้มงวดว่า “อย่าคิดว่าตัวเองได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งในการสอบใหญ่ก็มีสิทธิ์ดูถูกปราชญ์เมธีผู้ศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อน! อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ในสุสานเทียนซูมีมากมาย มีใครที่กล้าอวดดีอย่างเจ้าเช่นนี้! ตื่นตัวให้ได้โดยเร็ว มิฉะนั้นเจ้าจะได้หัวแตกหลั่งเลือดในนี้แน่ๆ”

รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบไปทั่ว มีเพียงเสียงเขาคนนี้ที่กล่าวอย่างเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความกดดันดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ในมุมมองของศิษย์พี่หญิงเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รวมถึงผู้สอบสองคนของสำนักเด็ดดาราและเหล่าหนุ่มสาวที่เหลือ ผู้อาวุโสจี้จิ้นเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ได้รับการให้เกียรติอย่างยิ่ง เข้าใจสุสานเทียนซูมากกว่าคนนอกสุสานอย่างมาก คำพูดเหล่านี้แม้เข้มงวดเกินไปบ้าง แต่ก็มีเหตุผลจริงๆ แม้เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือจะอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง กระทั่งขนานนามได้ว่ามีความรู้ล้ำลึก แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นวัยหนุ่ม โดยเฉพาะในขอบเขตบริเวณสุสานเทียนซู เผชิญหน้ากับคำตำหนิโดยคำพูดที่เข้มงวดเหล่านี้ นอกจากเจียมเนื้อเจียมตัวรับฟัง ยังจะทำอะไรได้อีก?

และแล้ว ตามกาลเวลาที่ไหลผ่านไป บรรยากาศหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยิ่งมายิ่งกดดัน

เพราะว่าเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มิได้มีท่าทีว่าจะยอมรับผิดอย่างเห็นได้ชัด

……

……

สิ่งก่อสร้างของสำนักการศึกษากลางนั้นไม่สะดุดตา ถูกต้นหงซานที่สูงใหญ่นับสิบต้นที่อยู่รอบๆ บังจนมิด เพียงแต่ท้องฟ้าค่ำคืนไม่สามารถปิดบังได้ ฉะนั้นขั้นบันไดหินจึงถูกแสงดาวส่องสว่าง ราวกับปูด้วยชั้นหิมะ

ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองดูขั้นบันไดหินสีขาว มือขวาที่ไขว้อยู่ด้านหลังกำเหมยฤดูหนาวกิ่งหนึ่ง กระทั่งตอนนี้จริงๆ แล้วเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ไม่ทราบเพราะเหตุใดจึงมีเหมยผลิดอก

“เหนียงเหนียงใจกว้างโอ่อ่า สามารถรองรับใต้หล้า ฉะนั้นนางสามารถไม่สนใจสำนักฝึกหลวงได้ ไม่สนใจเฉินฉางเซิงว่าเด็กคนนั้นจะพัฒนาไปถึงไหน…แต่แน่นอนว่า ที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเพราะว่าเหนียงเหนียงยิ่งใหญ่เกินไป ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะเจอปาฏิหาริย์อย่างต่อเนื่อง ในสายตาของเหนียงเหนียงก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง คิดอยากจะบี้ให้ตายเมื่อไรก็บี้ได้ แต่ยังมีคนอีกมากที่ไม่ยิ่งใหญ่เหมือนเหนียงเหนียง แน่นอนว่าไม่สามารถมีจิตใจกว้างเช่นนี้ ฉะนั้นที่พวกเขากลัวอาจเป็นการหวาดกลัวเรื่องเหล่านั้นในปีนั้น อย่างเช่นสำนักฝึกหลวงอาจพลิกคดีได้”

บนใบหน้าแก่ชราของเหมยหลี่ซาปรากฏเค้ารอยความเยาะหยันเล็กน้อยออกมา กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเทียนไห่ หรือว่าพวกสุนัขที่เคยกัดคนหลายคนตายหน้าบัลลังก์ของเหนียงเหนียง ตามการแสดงออกของใต้เท้าสังฆราช ความหวาดกลัวของในใจของพวกเขายิ่งมายิ่งท่วมท้น แน่นอนว่าก็ยิ่งมายิ่งระแวดระวังสำนักฝึกหลวงและเฉินฉางเซิง แน่นอนว่าไม่ต้องการเห็นเขาส่องแสงได้อีกต่อไป ตนเองไม่สะดวกที่จะลงมือ จึงชี้ชวนคนทางใต้ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขาหลายปี ก็นับเป็นเรื่องที่ปกติ เพียงแต่ไม่คิดว่าคนอย่างจี้จิ้นก็ยอมที่จะลดตัวออกมือ”

หลังจากบทสนทนาของอาจารย์ซินกับเฉินฉางเซิงตรงประตูหินของสุสานเทียนซู เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าสถานการณ์แปลกประหลาดเล็กน้อย หลังสืบเรื่องราวสถานการณ์เสร็จก็รีบมารายงาน ก่อนหน้านี้ยืนอยู่เฉยตลอด ได้ยินคำพูดดังกล่าวในใจสั่นสะเทือนเล็กน้อย กล้ามเนื้อบนใบหน้าอันโหดเหี้ยมก็กระเทือนเล็กน้อยเช่นกัน พูดด้วยความตกตะลึงว่า “ใครกล้ามาวางก้ามเขื่องโขในสุสานเทียนซู”

“ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุในสุสานเทียนซู ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือสภาพจิตใจ คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องออกมือสู้กับเฉินฉางเซิง เพียงแต่ทำให้สภาพจิตใจเขาย่ำแย่ ก็สามารถรบกวนการบำเพ็ญเพียรของเขาได้ ต้องรู้ว่าสิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อตอนเข้ามาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู สำหรับการบำเพ็ญของคนคนหนึ่งแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนได้และก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน”

ดวงตาของเหมยหลี่ซาค่อยๆ ปรือขึ้นมา สีหน้าเย็นชากล่าวว่า “แม้จะไม่พูดถึงความยาวไกล แค่ในตอนนี้ การบำเพ็ญของเฉินฉางเซิงถ้าถูกกระทบ ไม่สามารถก้าวกน้าได้มากพอในสุสานเทียนซู แม้ว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนเข้าไปที่สวนโจว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับประโยชน์ใดๆ กลับมีความอันตรายมาก”

อาจารย์ซินเพิ่งจะเข้าใจ คนบางคนในสุสานเทียนซูดูเหมือนจะมีความเป็นศัตรูและการเยาะเย้ยที่ไม่ค่อยเด่นชัด กลับซ่อนความอันตรายขนาดนี้ เขาสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไปครั้งหนึ่ง พูดด้วยความเร่งรีบนิดๆ ว่า “ข้าสั่งคนให้ส่งคำพูดเข้าไปเดี๋ยวนี้เลย เชิญให้ท่านเหนียนกวงจับตาดูจี้จิ้นและคนอื่นๆ”

“เหนียนกวงอ่า…เขาก็ไม่ได้ชอบเฉินฉางเซิง”

เหมยหลี่ซาขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำท่วมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “ปีนั้นถ้าไม่ใช่ว่าถูกสำนักฝึกหลวงบีบคั้นหนักจนเกินไป ศิษย์หอจงซื่อที่เก่งที่สุดคนนี้ จะศิโรราบยินยอมเข้าไปอยู่ในสุสานเทียนซูทั้งชีวิตได้อย่างไร?”

อาจารย์ซินถามด้วยความไม่สบายใจว่า “แล้วจะทำอย่างไร?”

เหมยหลี่ซาพูดว่า “ยังคงส่งคำพูดให้กับเหนียนกวง แต่ข้าคิดว่า สุดท้ายแล้วยังต้องเป็นเฉินฉางเซิงที่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ความจริงแล้ว…ข้ามีความสงสัยเล็กน้อย เด็กคนนั้นอยู่ในหอหลิงเยียนหนึ่งคืน เป็นนักท่องเที่ยวไปอีกหนึ่งวัน แล้วก็ทำอาหารไปวันหนึ่ง ตอนนี้อยู่หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ จะดูอะไรออกบ้าง?”

……

……

ในจวนที่โอ่อ่าตระการตาเต็มไปด้วยเสียงเพลงและเสียงหัวเราะ ที่นี่ไม่ใช่จวนหลักของตระกูลเทียนไห่ แต่เป็นจวนของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเอง ฉะนั้นจึงไม่มีผู้อาวุโสอะไรมาสนใจ

พรุ่งนี้ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก็จะออกเดินทางกลับไปยังด่านยงเสวี่ยอีกครั้ง คุณชายประยูรญาติในจิงตูที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา ล้วนมาที่นี่เพื่อส่งเขา ในงานเลี้ยง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงการสอบใหญ่ที่เพิ่งจบไป รวมถึงคนวัยหนุ่มสาวเหล่านั้นที่เพิ่งเข้าสุสานเทียนซู ในตอนแรกสุด คุณชายเหล่านั้นคิดถึงเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่ถอนตัวออกจากการสอบใหญ่อย่างน่าประหลาดใจ เวลาพูดยังมีความระมัดระวังเล็กน้อย ทว่าพอสุรารดคอไปสามรอบ ผู้คนค่อยๆ มึนเมาหนักขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้อีก เวลาพูดคุยถึงเฉินฉางเซิง แม้กระทั่งพระราชวังหลี ส่วนมากเป็นการเยาะเย้ยและความอับอาย

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมิได้กล่าววาจา เพียงแต่ฟังแล้วยกยิ้ม กลางงานเลี้ยง เขากล่าวขออภัยลูกชาย ของอวี้เหวินจิ้งประธานองคมนตรี ที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นมาแล้วเดินไปยังหลังบ้าน ที่หลังบ้าน มีคนรอเขาอยู่ คนผู้นั้นอายุเยาว์วัยกว่าเขา ฐานะสายเลือดยิ่งสูงส่งกว่า แต่เวลาปกติเขาไม่เชิญคนผู้นั้นมาร่วมงานฉลองของเขาแน่ๆ กระทั่งถ้าเป็นไปได้จะหลีกเลี่ยงกันพบเจอหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

“คนเหล่านี้ในจวนใกล้จะบ้าเต็มที เจ้าคิดว่าเจ้าก็บ้าด้วยหรือ?”

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยมองเฉินหลิวอ๋องแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าวว่า

“เจ้าเกรงว่าเฉินฉางเซิงจะถูกกดขี่ในสุสานเทียนซู ล้วนเป็นการกังวลเสียเปล่า เหนียงเหนียงไม่ได้พูดอะไร ใต้เท้าสังฆราชแสดงท่าทีแล้ว ใครจะกล้าแตะต้องเขา? แล้วเขาก็ไม่ได้ล่วงเกินโจวทง”

หว่างคิ้วเปี่ยมเสน่ห์ของเฉินหลิวอ๋องเต็มไปด้วยความกังวล ตรัสว่า “เจ้าพูดไม่ผิด มีคนพยายามรบกวนการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของเฉินฉางเซิงในสุสานเทียนซู แต่โจวทงรอเขาอยู่นอกสุสานจริงๆ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset