ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 217 ค่ำคืนฉายไฟชมป้ายอนุสรณ์ (ตอนปลาย)

ก่อนหน้าเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกล่าวว่าคนเหล่านี้ในเรือนจวนจะเสียสติไปแล้ว ไม่ได้หมายถึงคุณชายพระประยูรญาติที่กล่าววาจาเลอะเทอะเหลวไหลเหล่านั้นในงานฉลอง แต่พูดถึงเหล่าผู้อาวุโสรุ่นราวคราวเดียวกับบิดารวมทั้งบิดาตนเอง…คนเหล่านั้นเชื้อเชิญคนทางใต้ พยายามรบกวนการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของเฉินฉางเซิง…สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้วสุสานเทียนซูนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เหตุผลคือการช้าก้าวหนึ่งก็จะช้าทุกก้าว ไม่ว่าผู้ใดล้วนแจ่มแจ้ง

ทว่าสำหรับเรื่องนี้แล้วเขาไม่ได้ใส่ใจมากเกินไปนัก เนื่องจากในการสอบใหญ่ เขาแอบลงเดิมพันไว้บนตัวเฉินฉางเซิงไปชุดหนึ่งผ่านลั่วลั่ว และก็เพราะว่า แม้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงจึงได้รับการความสำคัญจากใต้เท้าสังฆราช แต่การเห็นความสำคัญนี้ แน่นอนว่าย่อมมีเหตุผลของมัน คนคนหนึ่งที่สามารถทะลวงอเวจีในระหว่างต่อสู้ หากไม่อาจทำลายแม้แต่กายหยาบของเขาได้ เช่นนั้นก็แทบไม่มีโอกาสทำลายสมาธิของเขา นี่เป็นความเห็นของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย และการที่ได้ยินประโยคนี้ของเฉินหลิวอ๋อง ได้ยินชื่อโจวทงนี้ เขาเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังคงประเมินกำลังของบรรดาผู้อาวุโสรุ่นบิดาต่ำเกินไป

คนบนแผ่นดินล้วนกล่าวว่าโจวทงเป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เลี้ยงไว้ แต่เขาไม่ได้เป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ทว่าเป็นสุนัขรับใช้ที่ดุที่สุดเท่าที่เคยมีในประวัติศาสตร์ หลังจากที่ขอบเขตการตัดสินใจของนิกายหลวงในกาลก่อนถูกปกครองโดยกรมอาญา อำนาจของเขาก็ขนานได้ว่าทะลุฟ้าทะลวงดิน ไม่ทราบทำให้ขุนนางขุนพลชื่อเสียงโด่งตายไปแล้วเท่าไร หากถามว่าเหล่าขุนนางและคนเก่าแก่นิกายหลวงที่จิตใจโน้มเอียงฝักใฝ่ไปทางเชื้อพระวงศ์เก่าเกลียดแค้นใครมากที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเขา

ไม่รู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งกี่คนที่ไม่เสียดายชีวิตเดิมพันลอบสังหารคนผู้นี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สำเร็จสักครั้ง เพราะว่าข้างกายโจวทงตั้งแต่แรกจนจบตลอดมาล้วนมีผู้คุ้มกันประหนึ่งเหล็กไหลที่เคร่งขรึมน่ากลัวนับสิบคน และยิ่งเป็นเพราะตัวโจวทงเองเป็นผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาว ตามเหตุผลแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นนี้โดยปรกติแล้วมักจะจิตใจสงบ สายตามิใช่ธรรมดาบนโลก ยิ่งไม่ไปกระทำเรื่องเปื้อนเลือดสกปรกเช่นการบีบบังคัมขู่เข็ญยึดทรัพย์เหล่านั้น ทว่าโจวทงกลับเป็นคนประหลาด ความสนุกของเขาหรือจะพูดว่าความมุ่งมั่นในชีวิตไม่เคยอยู่กับการบำเพ็ญ แต่กลับอยู่กับเรื่องเหล่านี้

คนเช่นนี้คนหนึ่ง เป็นไม่ได้ที่จะถูกใช้โดยตระกูลเทียนไห่ หากเขารอลงมือกับเฉินฉางเซิงอยู่นอกสุสานเทียนซูจริง แน่นอนว่าเป็นความหมายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยคิดอย่างเงียบขรึม จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ในใจคิดว่าจากความใจกว้างที่สง่างามและร่าเริง ถึงแม้ว่าจะลงมือกับเฉินฉางเซิง รวมถึงความย้อนแย้งที่ยึดเฉินฉางเซิงเป็นตัวแทน ก็น่าจะรอให้เขากลับจากสวนโจวก่อนถึงจะถูก

พอคิดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้าขึ้น มองเฉินหลิวอ๋องแล้วคิ้วขมวดเล็กน้อย ในใจคิดว่าเจ้าตั้งใจกระชับเวลาการลงมือของโจวทงเข้ามา จริงๆ แล้วคิดจะทำอะไร?

……

……

ผลพวงของการสอบใหญ่ยังไม่หมดไป ไม่ทราบว่ามีขุมกำลังกลุ่มอำนาจมากน้อยแค่ไหนในจิงตูที่คอยสอดส่องสุสานเทียนซู ในโรงเตี๊ยม ถนนตรอกซอย และร้านเหล้า ก็มีผู้คนจำนวนมากสนทนาถึงเรื่องนี้ สงสัยมากกับความประพฤติของผู้สอบปีนี้ในสุสานเทียนซู โดยเฉพาะเฉินฉางเซิง กลับไม่มีใครคาดคิด ในสุสานเทียนซู เหล่าศิษย์ของสำนักฝึกหลวงและพรรคกระบี่หลีซานเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง จึงได้อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือนั้นปิดตาควงแขนไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ด้วยกัน ก็เหมือนกันที่เหล่าผู้สอบรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์นึกไม่ถึง หลังจากที่ผู้อาวุโสจี้จิ้นพูดคำพูดเหล่านั้นจบ เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือก็มิได้มีท่าทีเจียมตัวรับฟังคำสั่งสอนแต่อย่างใด และมิได้ยอมรับผิดเช่นกัน

ม่านฟ้ารัตติกาลเหนือกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์อึมครึมเล็กน้อย บรรยากาศในสนามกดดันน่าตื่นเต้น เหล่าผู้บำเพ็ญวัยเยาว์ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ความโมโหบนใบหน้าของจงฮุ่ยและสานุศิษย์สำนักต้นไหวอีกสองคนยิ่งมายิ่งแจ่มชัด สีหน้าของจี้จิ้นเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งตั้งแต่ต้นจนจบ และในขณะนี้ เฉินฉางเซิงซัดความเงียบขรึมในสนามเสียกระเจิง ด้วยการพูดประโยคหนึ่งที่ใครก็คาดไม่ถึง

เขามองจี้จิ้นและกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านผิดแล้ว”

รอบด้านจตุรทิศของกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เกิดเสียงฮือฮา ไม่คิดว่าชายหนุ่มอายุสิบห้าคนหนึ่งจะพูดตรงๆ กับผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูเกินกว่าสิบห้าปีแล้ว กล่าวว่าความชำนิชำนาญในด้านการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นั้นผิด! แม้เขาจะเป็นอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ในปีนี้ แต่เหมือนที่พูดไว้ก่อนหน้า ในสุสานเทียนซูทุกปีล้วนมีการมาถึงของอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่คนหนึ่ง อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เขาจะเทียบกับจี้จิ้นได้อย่างไร?

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์รู้สึกถึงความสะเทือนใจ เพราะว่าหลังจากที่โก่วหานสือเงียบขรึมสักพัก ก็พูดกับจี้จิ้นประโยคหนึ่งเช่นกัน “ผู้อาวุโส ท่านผิดแล้วจริงๆ”

ม่านฟ้ารัตติกาลมืดสนิท แม้มีแสงดาวตกทอดลงมา แต่หากคิดอยากจะดูเส้นสายที่ซับซ้อนเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ให้ชัดเจน ก็ยังคงผลาญพลังเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่ามีคนแอบจุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งแขวนไว้บนต้นไม้นอกกระท่อมตั้งแต่เมื่อไร แสงไฟมืดหม่นรวมกับแสงดาริกา ตกสะท้อนบนใบหน้าที่เยาว์วัยของเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ เงียบสงบแน่วแน่ไปถ้วนทั่ว

พวกเขารู้ว่าวิธีที่จี้จิ้นพูดก่อนหน้านี้มีเหตุผลมากอย่างแท้จริง ที่เรียกว่าร้อยพันหมื่นเปลี่ยนแปลงแต่หลักการยังคงเดิม แนวคิดการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เห็นได้ทั่วไปมากที่สุดบนโลกเหล่านั้น เมื่อสืบค้นต้นตอ ล้วนไม่ออกจากกรอบของการนำเอารูปร่าง ความหมาย ท่าวิทยายุทธ์สามแบบนี้ที่เป็นวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ชนิดต้นตำรับมากที่สุด แต่พวกเขาอ่านเข้าใจคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างถ่องแท้ ก่อนหน้านี้ก็ได้อ่านสมุดบันทึกของสวินเหมย ยิ่งแน่ใจความเชื่อมั่นที่ตนเองบุกเบิกเส้นทางใหม่ขึ้นมา

“หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ไม่มีวิธีแน่นอนและกฎตายตัว”

โก่วหานสือมองเหล่าผู้สอบที่ล้อมอยู่รอบกระท่อมแล้วพูดว่า “ไม่ผิด ตอนนี้วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่พวกข้าสามารถนึกขึ้นได้ในชั่วขณะเหล่านั้น ล้วนเป็นการดัดแปลงวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จากสามแนวคิดหลัก แต่ไม่ควรคิดว่า วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยพันหมื่นวิธี ล้วนถูกคนก่อนหน้าคิดจนเข้าใจทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด ถ้าคิดเช่นนี้ พวกเราจะสามารถก้าวผ่านคนรุ่นก่อนได้อย่างไร?”

ในพรรคกระบี่หลีซาน บ่อยครั้งที่เขาแสดงบทบาทเป็นอาจารย์อยู่ต่อหน้าศิษย์น้องสำนักเดียวกัน พูดคำพูดเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติมาก

ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของจี้จิ้นยิ่งมายิ่งมืดมน รู้สึกว่านี่เป็นการท้าทายอย่างกระด้างกระเดื่องของคนรุ่นหลัง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คนรุ่นหลังในปัจจุบัน ยิ่งมายิ่งถือตัวอย่างที่คิด นิดๆ หน่อยๆ ก็จะก้าวผ่านเดินนำปราชญ์เมธีรุ่นก่อน ก็เหมือนกับคนเสียสติที่ทำเป็นแต่เขียนภาพเกราะผู้นั้น เพียงแต่อย่าลืมว่า อวดดีเหมือนเขา ในที่สุดก็ได้แต่พบจุดจบเป็นลมปราณแตกซ่าน ธาตุไฟเข้าแทรก!”

“การบำเพ็ญดูเพียงฉลาดหรือขลาดเขลา ไม่แบ่งแยกก่อนหลัง”

โก่วหานสือมองเขาแล้วพูดอย่างสงบว่า “ถ้าคนรุ่นหลังไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะเดินนำคนรุ่นก่อนสักนิด รุ่นหนึ่งๆ ไหนเลยสามารถแข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกรุ่นหนึ่งได้?”

จี้จิ้นได้รับการส่งข้อความของอาจารย์สำนัก บวกกับตนเองดูถูกและเกลียดเฉินฉางเซิงอย่างมาก ฉะนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ยันค่ำคืนมืดสนิทจึงออกปากต่อว่ากดดัน และฉีกหน้าเฉินฉางเซิงถึงสองครั้ง กลับไม่คิดว่าโก่วหานสือกลับมาถกเถียงอภิปรายกับตนเอง แม้สำนักต้นไหวจะมีรากฐานยาวไกลหยั่งลึกที่ทางใต้อย่างไร แต่ท้ายสุดแล้วก็สู้สำนักบนภูเขาอันดับหนึ่งอย่างพรรคฉางเซิง พรรคกระบี่หลีซานพรรคนี้ไม่ได้ เขาไม่อยากแข่งกับโก่วหานสือ ขณะนี้เพลิงโทสะลุกโชน อีกทั้งยังมีรุ่นหลังจำนวนมากมองอยู่ จะยังสนเรื่องพรรค์นั้นได้ที่ไหน ต่อว่าตักเตือนอย่างเข้มงวดว่า “กฎธรรมชาติของคัมภีร์สวรรค์แฝงอยู่ในอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ พวกเจ้าเข้าสุสานยังไม่เกินสองวัน จะเข้าใจอะไร? และจะบรรลุเหตุผลอะไรออกมาได้? คิดจะเดินทางแยกให้ได้?”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “หมื่นลำธารหลากสีสันที่แตกต่าง สุดท้ายแล้วก็เข้าสู่ทะเลเหมือนกัน”

จี้จิ้นจ้องตาของเขา พูดด้วยอารมณ์เย็นชาว่า “ได้ข่าวว่าเจ้าทะลวงอเวจีในการสอบใหญ่ สะท้านสะเทือนไปทั่วนครจิงตู คิดว่าเจ้าก็คงชมตัวเองเป็นธารน้ำใสไหลโกรกสายหนึ่ง แต่อย่าลืมว่า ลำธารจำนวนมากที่ดูเหมือนน้ำเอ่อนอง ในที่สุดออกจากเขาเพียงไม่กี่วันก็แห้งขอดบนพื้นที่ราบร้าง เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะรอดพ้นจุดจบเช่นนี้ได้!”

ถกเถียงถึงจุดนี้ ความเป็นศัตรูก็กลายเป็นจำเพาะเจาะจงอย่างไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย กระทั่งถึงกับเป็นการสาปแช่ง ผู้คนรอบข้างกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ได้ยินพลันสีหน้าเปลี่ยน ไฟตะเกียงน้ำมันดวงนั้นที่อยู่บนกิ่งไม้ ราวกับก็มืดลงไปส่วนหนึ่ง

เฉินฉางเซิงได้ยินคำพูดนี้ ทนไม่ได้จึงส่ายหัวพลางกล่าวว่า “ได้ข่าวว่าผู้อาวุโสในปีนั้นเป็นนักปราชญ์ชื่อดังทางใต้ ยอมถวายตนต่อลัทธิเต๋าเดินเข้าสุสานเทียนซูทั้งชีวิต ยิ่งได้รับความเลื่อมใสจากผู้คน ไม่คิดว่าผู้อาวุโสเป็นคนเช่นนี้ ใช้เหตุผลไม่ผ่าน ก็ใช้คำอันตรายมาข่มขวัญ มีความสง่างามสักครึ่งหนึ่งของปีนั้นเสียที่ไหน”

เขาไม่ได้เยาะเย้ยไปมากับจี้จิ้น แต่เป็นความคิดเห็นของเขาจริงๆ สีหน้าระหว่างสนทนาแน่นอนว่ามีความทอดถอนใจผิดหวัง ถ้าตกอยู่ในสายตาผู้คน กลับเป็นการเยาะเย้ยจี้จิ้นหนักกว่าเดิม

จี้จิ้นได้ยินโมโหใหญ่ ชี้หน้าเขาแล้วตะคอกว่า “เจ้าอยากใช้เหตุผล ข้าก็จะมาใช้เหตุผลกับเจ้า แต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า มีวิธีไหนที่ห่างจากมหาสมุทรแห่งความถ่องแท้? มีใครไม่เอารูปร่าง ไม่เอาความหมาย ไม่ใช้จินตลีลาท่าวิทยายุทธ์ก็สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้ออก? เป็นโจวตู๋ฟูหรือฝ่าบาทไท่จง? เป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนหรือว่าใต้เท้าสังฆราช หรือจะเป็นผู้แซ่ซูคนหนึ่งของเขาหลีซานหรือเจ้าสำนักคนนั้นของสำนักฝึกหลวงของเจ้า?”

ความเร็วในการพูดของเขายิ่งมายิ่งเร็ว ตอนพูดถึงผู้มีอิทธิพลที่ชื่อเสียงโด่งดังเหล่านั้น ยิ่งเหมือนกับพายุซัดโหมลมฝนกระหน่ำ ประหนึ่งถ่มน้ำลายใส่หน้าพรั่งพรูเข้ามา สองชื่อท้ายสุดเป็นอาจารย์ผู้อาวุโสของโก่วหานสือและเฉินฉางเซิง โดยเฉพาะตอนท้ายตอนที่พูดถึงหัวหน้าสำนักท่านนั้นของสำนักฝึกหลวง ยิ่งเหมือนมีการเจาะจง

รอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงัดไปทั่ว โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่กล่าววาจา จี้จิ้นพูดถึงผู้คนมหัศจรรย์เหล่านี้ว่าในปีนั้นพวกเขาแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์อย่างไร รายละเอียดไม่มีใครรู้โดยสิ้นเชิง ตามการบันทึกของคัมภีร์ลัทธิเต๋าและเอกสารของราชสำนัก สิ่งที่ใช้ล้วนเป็นวิธีแก้ที่ดั้งเดิมที่สุดและถูกหลักการที่สุด โจวตู๋ฟูในปีนั้นปราดเดียวแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ หลังจากเรื่องนี้ตอนที่คุยเล่นกับไท่จงเคยพูดถึง สิ่งที่ใช้คือวิธียอดเยี่ยมที่มีพร้อมอยู่ในนัยรูปร่าง แต่ยังคงอยู่ในขอบเขตนี้

และในตอนนี้ที่ทุกคนล้วนคิดว่าโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงเผชิญหน้ากับความจริงที่เที่ยงแท้เหล่านี้ ทำได้เพียงเงียบงันไร้วาจา เฉินฉางเซิงพลันพูดขึ้นมาอีกครั้ง

ตะเกียงน้ำมันดวงนั้นที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้ ถูกลมกลางคืนพัดขยับไปมาเบาๆ เส้นแสงแกว่งไกวไปมาอย่างต่อเนื่อง แผดจ้าเข้านัยน์ตาของเขา ราวกับมีดวงดาวระยิบระยับ

“หนึ่งพันหนึ่งร้อยหกสิบเอ็ดปีก่อน ฝ่าบาทไท่จงจากเมืองเทียนเหลียงมาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่นครจิงตู ตอนนั้นยังมีเว่ยกั๋วกงที่เป็นราชเลขาของจวนตามเข้าไปในสุสาน ฝ่าบาทไท่จงใช้เวลาหนึ่งวัน ก็ดูไปแล้วสามแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เว่ยกั๋วกงกลับถึงหลังจากนั้นอีกสองเดือน ถึงจะอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าได้เข้าใจ แน่นอน ใครๆ ก็รู้ว่าเว่ยกั๋วกงบำเพ็ญไม่เป็น ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ได้เข้าใจโดยสิ้นเชิงถึงจะถูก ฉะนั้นฝ่าบาทไท่จงไม่เคยหัวเราะเยาะเย้ยเขา แต่กลับสงสัยมากว่าเขาแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้อย่างไร ถามเว่ยกั๋วกงว่าจริงๆ แล้วเห็นอะไรบ้างบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าแผ่นนี้ เว่ยกั๋วกงบอกว่าเขาไม่เห็นการไหลเคลื่อนของปราณแท้ ร่องรอยจิตวิญญาณ ยิ่งไม่เห็นท่าวิชาท่าร่างวิทยายุทธ์ใดๆ…”

เฉินฉางเซิงชี้แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้นในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบขรึมไม่กล่าววาจา พูดพรรณนาถึงตำนานที่ยาวนาน และถูกคนลืมไปนานแล้ว สายตาของทุกคน รวมถึงสายตาของจี้จิ้นก็ตามการชี้ไปเช่นกัน ตกลงบนอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้น อยากรู้ว่าเว่ยกั๋วกงปีนั้นจริงๆ แล้วเห็นอะไร เป็นไปได้ที่มีวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่นอกจากสามแบบนี้แล้วจริงๆ หรือ?

“สิ่งที่เขาเห็นเป็นเส้นตรงหลายๆ เส้นที่ถูกบังคับให้บิดเบี้ยว เขาเห็นความเจ็บปวด และความจนปัญญาหลังจากเส้นสายที่เคยตรงเหล่านั้นถูกแรงภายนอกบิดจนเบี้ยว เขาเห็นพลังความตรงที่แฝงอยู่ในการเปลี่ยนแปลง ในสายตาของเขา เส้นสายเหล่านั้นบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ไม่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญ ยิ่งสูงใหญ่มากไปกว่าการบำเพ็ญ เส้นสายเหล่านี้เป็นแบบแผนเป็นกฎเกณฑ์”

หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบไปทั่ว มีเพียงเสียงของเฉินฉางเซิงที่ดังอยู่

“เว่ยกั๋วกงใช้สิ่งนี้ในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset