ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุในสุสานเทียนซู เป็นเส้นทางในการเพิ่มระดับขั้นของผู้บำเพ็ญที่เร็วที่สุด หลายปีที่ผ่านมาเรื่องนี้ได้รับการยืนยันไว้นานแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกฎเกณฑ์ในการต้องเข้าสุสานเทียนซูก่อนที่จะบรรจุขุนนางหรือการเข้าลัทธิของขั้นสามจากการสอบใหญ่ ในภูเขาสุสานที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเขียว ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทะลุระดับขั้นนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ทะลุขั้นไปยังขั้นรวบรวมดวงดาวก็ยังเจอได้บ้าง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทะลุขั้นทะลวงอเวจี
ตามเหตุผลแล้ว แม้จงฮุ่ยคืนเดียวก็ทะลุระดับขั้น ก็ไม่ถึงกับนำมาซึ่งความเคลื่อนไหวขนาดนี้ แต่แล้วนอกจากผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เพิ่งเข้าสุสานใหม่อย่างซูม่ออวี๋และเยี่ยเสี่ยวเหลียนนี้ ขนาดคนเก่าแก่ในสุสานเทียนซูเหล่านั้น กระทั่งรวมถึงผู้อาวุโสผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่อยู่นอกกลุ่มนั้นล้วนมีสีหน้าที่แน่วแน่ยิ่ง…ถ้าจงฮุ่ยทำสำเร็จ ก็จะเป็นคนแรกของผู้เข้าสุสานในปีนี้ที่ทะลุระดับขั้น และก็เป็นเพราะ แม้จะมีสาเหตุอื่น แต่เขาเห็นเพียงแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกของสุสานเทียนซู ระดับขั้นก็สามารถได้รับการยกระดับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แปลว่าพรสวรรค์การบรรลุของเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ
เฉินฉางเซิงและจี้จิ้นไม่ได้มองกันและกันนานนัก เขามองจงฮุ่ยที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองหมอกไอที่หมุนวนรอบข้างกายเขา ฟังเสียงน้ำไหลที่ดังในร่างกายเขาซึ่งยิ่งมายิ่งเร็ว ใจคิดว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อคืนจงฮุ่ยยังหาวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่เจอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเห็นความเป็นไปได้ของการทะลุระดับขั้น เหตุใดเวลาผ่านไปหนึ่งคืน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้?
“จงฮุ่ยเมื่อคืนนั่งอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ทั้งคืน ได้ยินว่า…ผู้อาวุโสจี้จิ้นก็เฝ้าเขาทั้งคืนเช่นกัน” ซูม่ออวี๋เดินจากข้างป่าไม้มายังข้างกายเขาและถังซานสือลิ่วแล้วกล่าว
เฉินฉางเซิงขมวดคิ้วแน่น นึกถึงเรื่องราวความหลังที่สมุดบันทึกของสวินเหมยเคยพูดถึง ยี่สิบกว่าปีก่อน เคยมีผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์จากสำนักเทียนเต้า ใช้วิธีบางอย่างช่วยนักเรียนสำนักเทียนเต้าคนหนึ่งที่เข้าสุสานชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทะลุระดับขั้นได้สำเร็จ เขามองสีหน้าขาวซีดของจี้จิ้น ใจคิดว่าคนผู้นี้เมื่อคืนใช้ปราณแท้และจิตวิญญาณมหาศาลอย่างไม่เสียดาย ฝืนส่งต่อวิชายุทธ์ให้จงฮุ่ยจริงๆ หรือ?
“ข้าก็คิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้เช่นกัน เพียงแต่…มันไม่สิ้นเปลืองไปหน่อยหรือ?” โก่วหานสือเดินมา มองสีหน้าอารมณ์ของเขาก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่ พูดว่า “ผู้อาวุโสจี้จิ้นสูญเสียปราณแท้ไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แต่จงฮุ่ยสามารถรักษาให้คงไว้ได้เพียงครึ่งวัน พอถึงเวลา ปราณแท้เหล่านั้นก็จะสลายไปยังฟ้าดิน”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “แต่ความรู้สำหรับการบรรลุบางอย่างยังสามารถหลงเหลือลงมา ระดับขั้นที่ต่างกัน อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสายตาแน่นอนว่าย่อมต่างกัน”
มีบางคนที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์สังเกตเห็นการมาถึงของเฉินฉางเซิง เห็นการสนทนาระหว่างเขาและโก่วหานสือ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
ในสายตาของผู้อื่น บทสนทนานี้ของพวกเขาสงบเกินไปกระทั่งเป็นความใจเย็น ไม่มีความรู้สึกกระวนกระวายอะไรเลย กลับมีคนเริ่มตื่นเต้นแทนพวกเขา ถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วมองเฉินฉางเซิงอย่างเงียบๆ กวนเฟยไป๋สามคนมองโก่วหานสืออย่างเงียบๆ ล้วนไม่ได้พูดอะไร สิ่งที่แสดงออกกลับชัดเจนมาก…พวกเจ้าสองคนต้องเร่งมือหน่อยแล้ว
ซูม่ออวี๋พูดว่า “หลังทะลุระดับขั้นเข้าสู่ขั้นทะลวงอเวจีแล้วแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จ ถ้าจงฮุ่ยทำถึงจุดนี้ได้ พวกเจ้ากระท่อมเจ็ดตัวน้อยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะประหม่านิดๆ”
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “อะไรกระท่อมเจ็ดตัวน้อย?”
ซูม่ออวี๋มองพวกเขาเจ็ดคนพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าเจ็ดคนท่ามกลางผู้สอบปีนี้ได้รับการจับตามองจากผู้คนมากที่สุด หลังจากเข้าสุสานเทียนได้ก็อาศัยอยู่ในกระท่อม มีคนรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเจ้าตั้งใจแยกออกจากผู้คน มีคนรู้สึกว่าพวกเจ้าสันโดษเข้าถึงยาก ไม่รู้ว่าใครเริ่มเรียกเช่นนี้ ตอนนี้ค่อยๆ กระจายไปทั่วแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดด้วยความเย่อหยิ่งนิดๆ ว่า “ให้พวกเขาอิจฉาไป”
กวนเฟยไป๋พูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ไม่ถูกอิจฉาถึงจะเป็นปุถุชนคนสามัญ”
สองคนจ้องตากัน จู่ๆ รู้สึกผิดปกติ หันหน้าไป พูดพร้อมกันว่า “แต่พวกข้าไม่ใช่ทางเดียวกัน”
การทะเลาะที่น่าขบขันนั้นไม่ได้ทำให้บรรยากาศจตุรทิศรอบกระท่อมเกิดการเปลี่ยนแปลง สายตาเหล่านั้นที่มองไปยังพวกเขาเจ็ดคนยังคงเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์สลับซับซ้อน
เฉินฉางเซิงเข้าใจ จี้จิ้นใช้เวลาหนึ่งคืน ดำรงรักษาควบคุมการทะลุระดับขั้นของจงฮุ่ย ก็คือต้องการให้เขาแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ให้เร็วกว่าตัวเองและโก่วหานสือ คำพูดเหล่านั้นที่ถังซานสือลิ่วอ้างอิงจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เมื่อคืน ในใจความหลักๆ ไม่มีความหมายใดๆ ใครที่จะสามารถกลายเป็นคนแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนแรกได้จากผู้เข้าสอบในปีนี้ ก็จะได้ความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และในเวลานี้ หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงอีก เสียงจี้จิ้นมาถึงริมโสตจงฮุ่ย เสียงตะคอกเสียงหนึ่งทำให้เขาตื่นขึ้นมา เอาเม็ดยาเม็ดหนึ่งยัดเข้าปากเขาไป มือขวาวาดตกลงมาที่หลังของเขา
สีหน้าของโก่วหานสือเย็นเยียบเล็กน้อย พูดว่า “ยาเม็ดค้ำจุนฟ้าของสำนักต้นไหว?”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่ายาเม็ดค้ำจุนฟ้าคืออะไร แต่คนส่วนใหญ่ที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ล้วนรู้ หลังได้ยินคำพูดของโก่วหานสือ สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม ใจคิดว่าไม่คิดว่าสำนักต้นไหวจะใช้ยาวิเศษที่ล้ำค่าขนาดนี้มาช่วยจงฮุ่ยทะลุระดับขั้น สามารถดูออกได้ว่าสำนักต้นไหวเห็นความสำคัญของศิษย์หนุ่มผู้นี้ขนาดไหน และความหวังในการให้กลุ่มคนเฉินฉางเซิงเหล่านี้เผชิญอุปสรรคของจี้จิ้นรุนแรงขนาดไหน
จงฮุ่ยกินยาเม็ดนั้นลงไป อีกทั้งยังได้รับการช่วยเหลือจากปราณแท้ในการละลายยาของจี้จิ้น แต่ในทันใดนั้น สีหน้าก็แดงไปทั่ว เวลาต่อมาสีหน้าฟื้นกลับไปเหมือนเดิม หมอกไอกลุ่มนั้นที่ล้อมรอบร่างกายเขาก็ค่อยๆ จางลง จากนั้นราวกับหมอกไอเข้าถ้ำภูเขา ค่อยๆ กลับเข้าไปในร่างกายของเขา!
ลมหายใจที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งสายหนึ่ง ปรากฏออกระหว่างกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์
ไฟตะเกียงน้ำมันดวงนั้นที่แขวนอยู่บนยอดกิ่งต้นไม้ดับไปนานแล้ว ตอนนี้จู่ๆ ส่ายไปมาขึ้นลง ไม่รู้ว่ามีลมสดชื่นพัดโชยมาจากที่ไหน ดอกไม้ใบหญ้ารอบๆ แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าก็ตามห้อยย้อยลงไปด้วย
จงฮุ่ยลืมตาขึ้นมา ยืนขึ้นมา ค่อยๆ หันตัว มองไปยังกลุ่มผู้คนที่รายล้อมรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์สี่ทิศ เห็นเพียงแต่สายตาของเขาที่เงียบสงบ เทียบกับในวันปกติไม่รู้ว่ามีความลึกซึ้งเพิ่มเข้าไปเท่าไร
ศิษย์ต้นไหวคนหนึ่งพูดด้วยความเบิกบานยิ่งว่า “ยินดีด้วยกับการทะลุขั้นของศิษย์พี่!”
ท่ามกลางกลุ่มคนที่เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูของปีก่อนๆ ก็เกิดเสียงวิจารณ์ขึ้นมา มีคนพูดว่า “รากฐานของสำนักต้นไหวนั้นหนักแน่นจริงๆ นับถือ นับถือ”
จงฮุ่ยเงียบสงบมาก ใบหน้าอ่อนใสไม่มีประกายสีหน้าของความปีติ และความทะนงแต่อย่างใด เขาทำความเคารพและโบกมือให้กับกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ แสดงท่าทางสบายๆ
ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เก่าแก่ชมว่า “แม้มีแรงภายนอก อย่างไรก็ตามก็เป็นระดับขั้นของตนเอง ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์แรกแล้วบรรลุทะลุระดับขั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
“ขอบคุณอาจารย์อาที่สนับสนุนเต็มที่” จงฮุ่ยหันไปหาจี้จิ้นแล้วประสานมือ พูดด้วยความจริงใจ
สีหน้าที่ขาวซีดของจี้จิ้นปรากฏสีแดงระเรื่อ จับเคราสั้นเบาๆ ไม่พูดจา พอใจอย่างยิ่ง
เหมือนกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนกลุ่มนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าจงฮุ่ยมีพรสวรรค์ในการบรรลุที่ยอดเยี่ยมแล้ว แม้เขาจะสูญเสียปราณแท้ ก็ไม่สามารถทำเกิดภาพนี้ในตอนนี้ได้
รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์จู่ๆ ก็เงียบลงมา
เพราะว่าจงฮุ่ยมองไปยังทางที่มาของเส้นทางภูเขา เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือยืนอยู่ตรงนั้นพอดี
สามอันดับแรกของการสอบใหญ่ในปีนี้ เฉินฉางเซิงอยู่อันดับหนึ่ง โก่วหานสือรองลงมา จงฮุ่ยนั้นอยู่ลำดับสาม หลังจากผลอันนี้ออกมา คนที่รู้รายละเอียดของการต่อสู้ รู้สึกน่าเสียดายแทนโก่วหานสือ ยิ่งมีคนมากที่สะเทือนใจกับการเพิ่มขึ้นของความสามารถอันเหลือเชื่อของเฉินฉางเซิง กลับมีคนจำนวนน้อยมากที่พูดถึงจงฮุ่ย แม้นานๆ พูดถึงที ก็จะมีเพียงความหมายที่เยาะเย้ย กล่าวว่าคนนี้โชคดีมาก
โชคของจงฮุ่ยในการสอบใหญ่นั้นดีมากจริง ในการจับฉลากต่อสู้นั้น นอกจากสุดท้ายแพ้แก่ลั่วลั่วในรอบนั้น กลับไม่ได้เจอศัตรูที่แข็งแกร่งสักคน ส่วนกวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู ชีเจียน จวงห้วนอวี่ คนเหล่านี้ที่ความสามารถระดับขั้นไม่แพ้เขา กระทั่งเจ๋อซิ่วที่เก่งกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ก็พ่ายแพ้ให้แก่กันและกัน ไม่ก็ถูกโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงโจมตีพ่ายแพ้ มิฉะนั้นการที่เขาจะเข้าสามขั้นสุดท้ายเป็นเรื่องยากมาก
แน่นอนว่า ผู้คนคิดว่าเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ สาเหตุที่สำคัญยังคงเป็นความห่างของระดับขั้น เฉินฉางเซิงและโก่วหานสือล้วนทะลวงอเวจี เขาเป็นเพียงแค่ขั้นถอดจิต ถึงแม้ว่าอีกขั้นก็จะทะลวงอเวจี ยังคงขาดระยะห่างที่สำคัญที่สุดและไกลโพ้นที่สุด เขาสมเหตุสมผลแล้วที่ถูกมองเมิน
แต่วันนี้ เขาทะลวงอเวจีสำเร็จแล้ว
สามขั้นการสอบใหญ่ อย่างน้อยในด้านระดับขั้นก็เสมอภาค
ผู้คนหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองเขาที่มองไปยังเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือ รู้ว่าเขามีอะไรจะพูดแน่นอน
“หลังการสอบใหญ่ ประกาศชิงอวิ๋นและประกาศเตี่ยนจินของหอความลับสวรรค์ล้วนไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าผู้สอบที่ได้ขั้นสามของการสอบใหญ่ล้วนเข้าสุสานเทียนซู ในภูเขาสุสานแห่งนี้ มีปรากฏการณ์จำนวนมาก และอุปสรรคจำนวนมากเช่นกัน มีผู้สอบบางคนลำดับชื่อในการสอบใหญ่อยู่ท้ายมาก หลังเข้าสุสานเทียนซู กลับเหมือนมังกรที่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า มีผู้สอบบางคนมีผลดีมากในการสอบใหญ่ หลังเข้าสุสานเทียนซู กลับทำได้แค่นั่งนิ่งอยู่หน้ากระท่อม ถอนหายใจยาวสั้นต่อแผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านี้ เสียวันเวลาแต่ไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ลำดับของแต่ก่อนไม่มีความหมายใดๆ อีกแล้ว ทุกอย่างดูแค่ปัจจุบัน ฉะนั้นหอความลับสวรรค์จะเปลี่ยนประกาศอีกครั้งหลังผู้คนออกจากสุสานเทียนซู”
จงฮุ่ยมองเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือแล้วพูดว่า “ก่อนเข้าสุสานเทียนซู ผู้คนบนโลกหล้าล้วนพูดว่าข้าสู้เจ้าสองคนไม่ได้ สิ่งที่โชคดีคือ ในที่สุดข้าก็หาปรากฏการณ์ของตัวเองเจอ เมื่อคืนเจ้าพูดกับข้าว่า จะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้หรือไม่ได้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้ากับเจ้าไม่สนิทกัน เหตุใดจึงต้องผิดหวัง สิ่งที่ข้าอยากพูดคือ ถ้าเจ้ายังไม่ตามขึ้นมาอีก หลังออกสุสานเทียนซู เจ้าอาจไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะเป็นคู่ต่อสู้กับข้า ถ้าอย่างนั้นจะทำให้ข้าผิดหวังแน่ๆ”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่พูดจา โก่วหานสือสงบเหมือนปกติ
ถังซานสือลิ่วเยาะเย้ยว่า “ก็แค่ทะลุขั้นเป็นทะลวงอเวจีไม่ใช่เหรอ พวกเขาสองคนทะลวงอเวจีตั้งนานแล้ว พูดอย่างเย่อหยิ่งขนาดนี้ คนที่ไม่รู้สงสัยจะคิดว่าเจ้ารวบรวมดวงดาวได้สำเร็จ”
คำพูดนี้มีเหตุผลจริงๆ แม้จงฮุ่ยจะทะลุขั้นเป็นทะลวงอเวจี ก็แค่เพิ่งไล่ตามโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงทัน มีความมั่นใจมาจากไหนถึงกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
จงฮุ่ยไม่ได้สนใจถังซานสือลิ่ว สุดท้ายมองเฉินฉางเซิงอีกหน พูดว่า “ว่าไม่ได้ ข้าเดินไปก่อนล่ะ”
สานุศิษย์สำนักต้นไหวสองคนนั้นได้ยินคำพูด เหมือนจะเดาอะไรออก ดีใจอย่างยิ่ง พูดเสียงดัง “ยินดีกับศิษย์พี่ชาย!”
จี้จิ้นยังคงจับเคราสั้นเบาๆ ไม่พูดจา รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งมายิ่งเพิ่มพูน
แม้กระทั่งผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่กี่คนนั้นที่อยู่นอกฝูงคน ก็ล้วนพยักหน้า แสดงออกถึงการชมเชย
พูดประโยคนี้เสร็จ จงฮุ่ยก็เดินเข้าไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จนกระทั่งมาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ ยื่นมือขวาออกมา ตกลงบนเส้นสายเหล่านั้นที่อยู่บนผิวหน้าของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์
แสงสว่างสีเขียวสายหนึ่งปรากฏออกมา ลมสดชื่นพัดมา ใบเขียวยอดกิ่งไม้เกิดเสียงซู่ๆ
เงาหลังของจงฮุ่ยหายลับไป
เห็นภาพนี้ ผู้คนมาใหม่ที่เพิ่งเข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูในปีนี้อุทานอย่างต่อเนื่องอย่างมิอาจควบคุมได้
คนที่เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูตั้งแต่ก่อนแล้วทำเป็นมองไม่เห็นกับสิ่งนี้
ใช่ แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ถูกแก้ออกแล้ว
ในบรรดาผู้สอบของการสอบใหญ่ที่เข้าสุสานในปีนี้ คนที่อ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ออกคนแรกปรากฏแล้ว
ไม่ใช่โก่วหานสือ และก็ไม่ใช่เฉินฉางเซิง เป็นจงฮุ่ยแห่งสำนักต้นไหว
ตอนนี้เขาน่าจะยืนอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งที่สอง
ลมสดชื่นค่อยๆ สงบ หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าก็เงียบ ในสนามเงียบสงบไปทั่ว
ผู้คนมองไปยังโก่วหานสือและเฉินฉางเซิงอีกครั้งจากจิตใต้สำนึก โดยเฉพาะเหล่าสายตาที่มองไปยังเฉินฉางเซิง มีอารมณ์พรั่งพรูนับไม่ถ้วน
เป็นอย่างที่ถังซานสือลิ่วและกวนเฟยไป๋พูดไว้ก่อนหน้า หลายคนล้วนอิจฉาสิ่งที่ชื่อว่ากระท่อมเจ็ดคน แน่นอนว่าเป้าหมายที่ถูกอิจฉามากที่สุด ยังคงเป็นเฉินฉางเซิงที่แต่ก่อนเคยไม่มีชื่อเสียงใดๆ ทว่าจู่ๆ กลับฉายแสงฉูดฉาดขึ้นมาในการสอบใหญ่ กระทั่งมีโอกาสที่จะแต่งงานกับสวีโหย่วหรงในภายหลัง มองเขาแล้ว ใครจะไม่แอบรู้สึกขมฝาดไม่ยอมในใจ?
คนเหล่านี้แต่ก่อนเคยอิจฉาเขามากเท่าไร ขมฝาดมากเท่าไร สายตาที่มองไปยังเขาในตอนนี้ก็มีความสาแก่ใจเท่านั้น เต็มไปด้วยความจงใจในการแสดงความเห็นใจและสงสาร