เฉินฉางเซิงขยี้ตาที่ถูกแสงตะวันตกส่องจนเมื่อยล้า ยืนขึ้นมาจากธรณีประตู กล่าวว่า “ข้าไม่ได้รออะไร”
โก่วหานสือพูดว่า “แม้จะพูดว่าเจ้าอยากเดินบนเส้นทางที่คนก่อนหน้าไม่เคยเดิน ตามคำพูดที่เจ้าพูดเอง วิธีนั้นออกจะโง่ไปบ้างเล็กน้อย แต่เจ้าก็เคยพูดเองว่า วิธีนั้นน่าจะใช้ได้ ดังนั้นตามเหตุผลแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ถึงตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกเข้าใจ เพราะว่าข้ารู้ความสามารถในการบรรลุของเจ้าต้องเกินกว่าผู้คนจะจินตนาการ”
เพียงสองคนในฐานะที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้อ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้เข้าใจถ่องแท้ เขาและเฉินฉางเซิงแน่นอนว่าเป็นคู่แข่ง ตั้งแต่การชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่ แก่งแย่งเพื่อก้าวหน้า แต่ก็เพราะเป็นคู่แข่ง จึงเข้าใจอย่างแท้จริง เขาดูเฉินฉางเซิงจากชายหนุ่มที่บำเพ็ญไม่เป็น ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ก็ทะลวงอเวจีภายใต้ฝนในวังศึกษา หากไม่มีความสามารถในการบรรลุที่แข็งแกร่งมาก จะทำถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีกพูดว่า “ข้าคิดว่าวิธีที่คืนก่อนขบคิดกับเจ้านั้นไม่ถูก”
โก่วหานสือเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “ตรงไหนไม่ถูก?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “พูดไม่ออกว่าตรงไหนไม่ถูก ถ้าแก้ตามความคิดของการเปลี่ยนแปลงอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ น่าจะแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ได้ แต่ข้ารู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ บางอย่างอยู่เสมอ รู้สึกว่าตรงไหนมันขาดอะไรบางอย่างตลอด ถ้ายังคงแก้ต่อไปในขณะที่ยังไม่คิดให้แยบคาย ช่างยากที่จะพูดให้ตัวเองยอมรับ เพราะว่าสิ่งที่ข้าบำเพ็ญคือตามใจชอบ”
โก่วหานสือพูดว่า “เจ้าจะคิดวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ใหม่จริงๆ หรือ?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “มีความคิดเช่นนี้ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้”
โก่วหานสือขมวดคิ้ว ใจคิดการเปลี่ยนวิธีครึ่งทางเป็นข้อห้ามยิ่งใหญ่ในการบำเพ็ญ พูดว่า “เจ้ารู้ว่านี่เป็นวิธีที่อันตรายมาก”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา ถ้ายังลังเลเช่นนี้อีกต่อไป ความหวังในการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์เหล่านั้นจะยิ่งมายิ่งน้อย
เขาคิดอย่างตั้งใจเป็นเวลานานมาก พูดว่า “ถ้าแก้ไม่ได้จริงๆ ก็ช่างมันเถอะ”
“ไม่ว่าจะคิดอย่างไร อย่าคิดเบี้ยวแล้วกัน” โก่วหานสือพูดประโยคนี้เสร็จ เดินเข้าไปในกระท่อม
เฉินฉางเซิงมองเงาหลังของเขาแล้วพูดว่า “ไข่ไก่ตุ๋นยังไม่สุก เจ้าอย่าได้รีบเปิดฝา”
ประโยคนี้ของเขาไม่ได้มีความหมายอื่น โก่วหานสือกลับเข้าใจเป็นความหมายบางอย่าง ใจคิดว่าการรอคอยของเขาในตอนนี้อาจมีเหตุผล
ผ่านไปสักพัก เจ๋อซิ่วก็กลับมาถึงกระท่อมเช่นกัน เจ็ดคนที่อาศัยอยู่ในกระท่อม ตอนนี้เหลือเพียงเขาและเฉินฉางเซิงที่ยังแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่สำเร็จ มองลานสวนที่เมื่อเทียบกับเมื่อคืนแล้วยิ่งสงบเงียบ สีหน้าของเขาแสดงความรำคาญตัวเองออกมาบ้าง ถามเฉินฉางเซิงว่า “เหตุใดตั้งแต่แรกจนจบข้าถึงไม่ได้? พรสวรรค์ของข้ามีปัญหาจริงๆ หรือ?”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ ชายหนุ่มเผ่าหมาป่าที่ไม่มีสังกัดพรรค และบำเพ็ญด้วยตนเองทั้งหมด ผู้แข็งแกร่งหนุ่มที่สามารถทำให้เผ่ามารที่มีชื่อเสียงจำนวนมากเสียชีวิต สามารถท้าชนเหล่ากวนเฟยไป๋ที่อยู่บนประกาศชิงอวิ๋นอย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ นอกจากพรสวรรค์สายเลือดของเขาจะไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น กลับยังมีความแข็งแกร่งอย่างเอาเรื่องไปบ้าง
“ไม่เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์”
“แล้วเกี่ยวข้องกับอะไร? ความขยันหรือความตั้งใจ?”
“ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับพวกนั้น เพียงแต่เป็นเพราะว่า…” เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “เจ้าอ่านหนังสือน้อยไป”
เจ๋อซิ่วโมโหเล็กน้อย เขาเร่ร่อนในที่ราบหิมะตั้งแต่เด็ก จะมีโอกาสอ่านหนังสือได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงเอาสมุดบันทึกของสวินเหมยออกมาจากอก ยื่นให้เขาแล้วพูดว่า “อ่านหนังสือน้อยก็ดี แต่ปัญหามากที่สุดคือ ข้าเคยสังเกตเจ้า เห็นว่าเจ้าไม่ชอบการอ่านหนังสือจริงๆ สมุดบันทึกที่ผู้อาวุโสสวินเหมยเหลือไว้ เจ้าดูแค่สองครั้ง แม้กระทั่งเมื่อคืนอ่านไปอ่านมายังหลับ อย่างนี้จะทำได้ได้อย่างไร?”
สีหน้าของเจ๋อซิ่วยิ่งมายิ่งขาวซีด ไม่ใช่สีขาวซีดที่เกิดจากการบาดเจ็บ แต่เป็นความโมโห รับสมุดบันทึกเล่มนั้น แล้วเดินอาดๆ เข้าไปในกระท่อมทันที
……
……
เช้าวันที่สองเวลาห้ายาม เฉินฉางเซิงลืมตา ใช้เวลาห้าซี (วินาที) ในการสงบสติ จากนั้นลุกขึ้นจากเตียง สังเกตเห็นถังซานสือลิ่วแบมือเท้านอนอยู่ข้างๆ เสียงกรนดั่งฟ้าผ่า เดินออกจากกระท่อม เห็นเพียงกลุ่มคนชีเจียนก็นอนฝันหวานอยู่เช่นกัน เพิ่งนึกถึงว่าเมื่อคืนไม่รู้เมื่อไร พวกเขากลับมาจากสุสานเทียนซู
หลังชำระล้างร่างกายเสร็จ เขาเริ่มต้มน้ำทำอาหารเหมือนสองวันก่อน จากนั้นเริ่มทำความสะอาดลานสวน จัดการรั้วไผ่ที่พังหล่นบนพื้นเหล่านั้น จนกระทั่งกลุ่มคนถังซานสือลิ่วกินข้าวเช้าเสร็จ แล้วไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูต่อ เขาไม่ได้มีนัยว่าจะออกจากกระท่อม มองไม่เห็นความรีบเร่งใดๆ จากบนใบหน้า กระทั่งดูเหมือนจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่บ้าง
คนไปลานว่าง เขากลับไปนั่งบนธรณีประตู เปิดสมุดบันทึกของสวินเหมยเริ่มอ่านอีกครั้ง ค่อยๆ จมดิ่ง สิ่งที่ได้รับก็ยิ่งมายิ่งมาก
ทั้งวัน นอกจากทำอาหารและเก็บกวาด เขาล้วนไม่ได้ไปจากธรณีประตู แน่นอนว่าก็ไม่ได้ไปดูแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าสักตาหนึ่ง
ตอนเวลาพลบค่ำ กลุ่มคนถังซานสือลิ่วทยอยกลับมาที่กระท่อม หลังกินข้าวเสร็จ ล้อมรอบข้างโต๊ะแล้วเริ่มคุยสนทนาเหล่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์บนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง บรรยากาศดุเดือดเผ็ดร้อนมาก
เฉินฉางเซิงตะโกนให้เจ๋อซิ่วมาในห้อง เอาเข็มทองแดงออกมาจากแผงเก็บเข็ม เริ่มรักษาโรคให้เขา ตอนนี้เพียงแค่อยู่ในขั้นแรกของการยืนยันรูปร่างเส้นลมปราณ คิดอยากจะแก้ปัญหานั้นที่ทรมานเจ๋อซิ่วสิบกว่าปี ยังไม่ใช่เรื่องที่จะเสร็จภายในระยะเวลาหนึ่ง
เวลาผ่านไปนานมาก พวกเขาที่สนทนาวิเคราะห์อยู่รอบโต๊ะสังเกตเห็นว่าหายไปสองคน ชีเจียนมองไปยังประตูที่ปิดสนิท ใบหน้าอ่อนเยาว์แสดงความเวทนา โก่วหานสือขมวดคิ้ว ส่ายหัวไปมา ขนาดเขาตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ไม่อยากกระทบกระทั่งถึงสองคนในห้อง การวิเคราะห์รอบโต๊ะก็ยุติลงตรงนี้
ถังซานสือลิ่วจู่ๆ ยืนขึ้นมา เปิดประตูมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดว่า “วันนี้มีคนผ่านอีกสามคน”
เฉินฉางเซิงขยับเข็มทองแดงระหว่างนิ้วอย่างตั้งใจ พูดกับเจ๋อซิ่วเบาๆ อะไรบางอย่าง ไม่ได้สนใจเขา
……
……
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เหล่านักเรียนการสอบใหญ่ของปีนี้เข้าสุสานเทียนซู มาถึงวันที่เจ็ดแล้ว
ตอนในวันที่ห้า ในที่สุดเจ๋อซิ่วก็ผ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุที่ไม่กี่คืนนี้อ่านหนังสือตลอดหรือไม่
เฉินฉางเซิงกลับยังคงไม่สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จได้ ถึงตอนนี้ เขาทำสถิติใหม่ขึ้นมา
แต่ก่อน เขาเคยทำสถิติที่ฉูดฉาดอย่างไม่มีที่เทียบในโลกของการบำเพ็ญ นั่นก็คือหนึ่งในหนุ่มสาวเยาว์วัยที่ทะลวงอเวจี
สถิติในตอนนี้ กลับไม่ได้ฉูดฉาดขนาดนั้น
ชื่ออันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ในแต่ละรุ่น เวลาที่ใช้ในการอ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ เขาใช้นานที่สุด และยังเป็นไปได้ว่าจะนานกว่านี้
……
……
ในพริบตา เวลาที่เข้าสุสานเทียนซูมาถึงวันที่สิบ หลังรุ่งสางยามห้า ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ออกจากกระท่อม มาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองแผ่นป้ายหินอนุสรณ์สีดำแห่งนั้นเงียบขรึมไม่พูดจา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แสงอรุณค่อยๆ เพิ่มขึ้น ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทยอยเข้าสุสานเทียนซู มาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองเขาผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ตกตะลึงก่อน แล้วค่อยเกิดอารมณ์มากมาย
ในสายตาของคนเหล่านั้น สามารถมองเห็นถึงความเห็นใจ สามารถมองเห็นถึงความสงสาร และยังมีความเยาะเย้ยรวมถึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
มีบางคนหลบเขาอยู่ไกลๆ เดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ บางคนตั้งใจเดินเฉียดข้างกายเขา ก้าวเท้าแสดงถึงความสบาย จากนั้นคล้อยตามลมสดชื่นเหล่านั้นที่วนเวียนอยู่รอบชายคากระท่อม หายไปจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์
หลังผู้คนในกระท่อมกินข้าวเสร็จ ก็มาแล้วเช่นกัน มองเห็นภาพนี้ กวนเฟยไป๋ขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร ไปจับแผ่นป้ายอนุสรณ์ ถังซานสือลิ่วมายืนที่ข้างหน้าเขา ถามว่า “ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนไหม?”
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมา มองไปที่เขาแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “ท่ามกลางแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ เวลาจะน้อยแค่ไหนล้วนล้ำค่ามาก เจ้าต้องถนอมรักษาถึงจะถูก”
ถังซานสือลิ่วอับจนคำพูดอย่างยิ่ง ใจคิดว่าไอ้เจ้าคนนี้เป็นนักท่องเที่ยวและพ่อครัวในสุสานเทียนซูมาสิบวัน ยังมีหน้ามาพูดเช่นนี้อีก
เจ๋อซิ่วไม่ได้พูดจา นั่งอยู่ข้างเฉินฉางเซิงทันที
เฉินฉางเซิงก็ไม่พูดจา
ลมอรุณพัดยอดปลายกิ่งไม้เบาๆ ใบไม้เขียวตกลงบนชายคา
“ขอบคุณ เวลาพอประมาณแล้ว” เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงใจ
เจ๋อซิ่วยืนขึ้นมา เดินเข้าไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์
พอประมาณในที่นี้ ไม่ใช่บอกว่าเขาเห็นถึงความหวังในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่หมายถึงเวลาที่เจ๋อซิ่วอยู่เป็นเพื่อนด้วย
……
……
กลางวันของวันที่สิบสอง วันฤดูใบไม้ผลิเผาไหม้คนเล็กน้อย เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ยืมชายคาบังแสงแดด
ลมสดชื่นพัดโปรยมา ชายหนุ่มสองคนปรากฏที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ในนั้นคนหนึ่งชื่อกัวเอิน เป็นศิษย์หัวกะทิของวัดฉือเจี้ยนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางใต้ อันดับสามของการสอบใหญ่เมื่อปีก่อน อีกคนหนึ่งชื่อว่ามู่นู่ เป็นนักเรียนคนหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก่อนจวงห้วนอวี่ของสำนักเทียนเต้า ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูมาแล้วเกินกว่าสี่ปี
สองคนนี้ล้วนเคยเป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมในประกาศชิงอวิ๋น ตามเวลาที่ผ่านไป ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เป็นเวลานาน ทะลุระดับขั้นถึงทะลวงอเวจี พวกเขาในตอนนี้เข้าประกาศเตี่ยนจินไปนานแล้ว พรรคสำนักเหนือใต้ไม่ถูกกันมาโดยตลอด สองคนที่มีชื่อเสียงมากนอกสุสานแล้ว ในตอนแรกสุดท่าทีดั่งไฟน้ำ ความสัมพันธ์ในตอนนี้กลับกลายเป็นดีเลยทีเดียว
“เจ้าก็คือเฉินฉางเซิง?” มู่นู่มองเขาพลางถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สิบกว่าวันก่อน ตอนที่จงฮุ่ยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้สำเร็จ พวกเขาสองคนอยู่ในสถานการณ์ แต่เฉินฉางเซิงไม่รู้จักพวกเขา รู้เพียงแค่ว่าเป็นผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแต่ก่อน “ข้าเอง สองท่านมีอะไรสั่งสอนหรือไม่?”
ริมฝีปากของมู่นู่ขยับเล็กน้อย เหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ไม่ได้ตอบ
กัวเอินมองเฉินฉางเซิงแล้วส่ายหัวไปมา ถอนหายใจว่า “อาจารย์สำนักส่งจดหมายมา บอกว่าการสอบใหญ่ปีนี้มีตัวละครที่สุดยอดคนหนึ่ง ตอนนี้ดูๆ แล้วช่างคุยโวโอ้อวดจริงๆ”
มู่นู่พูดว่า “มิฉะนั้น สามารถทะลวงอเวจีในอายุสิบห้า สุดยอดจริงๆ เพียงแต่การบำเพ็ญในตอนแรกราวกับมีดแหลมผ่าไผ่ จากนั้นก้าวหน้ายากหยุดนิ่งดั่งหินทราย คนเช่นนี้ในประวัติศาสตร์มีมากเกินไป ควรรู้ว่าสุสานเทียนซูถึงเป็นบททดสอบที่แท้จริง คนนี้ขนาดแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้ายังผ่านไม่ได้ คิดว่าก็คงจะเป็นคนประเภทนั้น น่าทอดถอนใจน่าเสียดายยิ่งนัก”
พวกเขาจริงๆ แล้วมองเฉินฉางเซิงอยู่ กลับพูดกับตัวเอง ราวกับว่าเฉินฉางเซิงไม่มีตัวตน หรือไม่ก็พวกเขาไม่ได้สนใจการตอบสนองของเฉินฉางเซิงโดยสิ้นเชิง
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก นั่งกลับไปที่หน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์
กัวเอินและมู่นู่สองคนหัวเราะแล้วหัวเราะอีก หันหลังไหล่ชนไหล่เดินลงไปยังใต้สุสานเทียนซู การสนทนากลับยังคงดำเนินต่อไป
“สวีโหย่วหรงเป็นคนแบบไหน จะสมรสกับเขาได้อย่างไร”
“นี่ก็คือความหวังในการฟื้นตัวของสำนักฝึกหลวงหรือ? ช่างน่าขันสุดๆ”
ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ เสียงคำพูดสนทนาของพวกเขาชัดเจนมาก ส่งเข้าสู่หูของเฉินฉางเซิงอย่างต่อเนื่อง
จากนั้น บนภูเขาส่งเสียงหัวเราะมาชุดหนึ่ง
เฉินฉางเซิงมองแผ่นป้ายหินอนุสรณ์อย่างเงียบๆ เหมือนไม่ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างสิ้นเชิง
ฤดูใบไม้ผลิค่อยๆ ล่วงล้ำถลำลึก
บนท้องฟ้ามีห่านป่าหิมะนับร้อยตัว กลับมาจากที่ที่ไกลพ้น
พวกมันมาจากดินแดนต้าซีที่อบอุ่น กลับมาผ่านทะเล กำลังมุ่งไปยังเทือกเขาเทียนจู้ผ่านพ้นฤดูร้อนที่ยาวนาน
เสียงห่านป่าร้อง มีความเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ยังคงดังชัดเจน
ท่ามกลางป่าไม้รอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เสียงร้องของเหล่านกดังขึ้นมาตามๆ กัน ราวกับกำลังหัวเราะเยาะที่เหล่าห่านป่าหิมะหาความลำบากไปใส่ตัวเอง โง่เขลาอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงเงยหน้ามองไปยังเส้นสีขาวที่สวยงามสองเส้นในท้องฟ้าสีคราม นึกถึงวันเวลาที่ขี่กระเรียนไล่ห่านป่าหิมะเล่นบนภูเขาหลังเมืองซีหนิงในปีนั้น ยกยิ้มขึ้นมา