เฉินฉางเซิงเหยียบย่ำบนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องราวยากลำบากที่พบได้บ่อยใดๆ หากผู้อื่นล่วงรู้ คงจะใคร่ครวญมากมายแต่ก็หาคำตอบมาอธิบายไม่ได้ ตัวเขาเองกลับไม่ได้รู้สึกอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากยืนยันความหมายที่ซ่อนอยู่ในตำราสามพันมหามรรคที่อาจารย์ให้ตนท่องได้ว่าคือสิ่งใด
แน่นอน ในที่สุดนี่ก็เป็นเรื่องคุ้มค่าที่จะดีใจ…สามารถที่จะรวบรวมพลังจิต และก็สามารถกำหนดดวงดาว เมื่อสามารถกำหนดดวงดาว ก็สามารถที่จะดึงแสงดาวมาชำระล้างกระดูก เมื่อสามารถชำระล้างกระดูกก็จะสามารถบรรลุขั้นถอดจิต สามารถบรรลุขั้นถอดจิต จิตใจก็จะสามารถถึงขั้นทะลวงอเวจี ถ้าหากพรุ่งนี้โชคดี ก็จะสามารถถึงขั้นทะลวงอเวจี และก็สามารถรวบรวมดวงดาวเข้าร่าง โรคภัยต่างๆ ไม่กล้าล่วงล้ำ เมื่อสามารถรวบรวมดวงดาวก็จะสามารถเดินตามทางของนักปราชญ์ อาศัยไปกับสายลมหมื่นลี้ สุดท้ายสามารถหลบซ่อนอยู่ในระหว่างฟ้าดินดุจทวยเทพ ไม่อยู่ในวัฏจักรของโชคชะตา และเมื่อถึงเวลานั้นก็จะไม่ต้องพลิกฟ้าเปลี่ยนแปลงโชคชะตาแล้ว
ถูกต้องแล้ว เมื่อกล่าวถึงเป้าหมายของการบำเพ็ญเพียรต่อเฉินฉางเซิงก็จะเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอนตลอดไป แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเบี่ยงเบนไปทางอื่น อยู่บนหนทางของการฝึกบำเพ็ญเพียรอาจจะถือโอกาสเสาะหาสิ่งอื่นไปด้วย ดังเช่นมองเห็นทิวทัศน์ที่คนธรรมดามิอาจมองเห็นได้ เข้าใจและซาบซึ้งถึงความรู้สึกนึกคิดที่คนธรรมดาไม่เข้าใจ นำความอัปยศอดสูที่เคยได้รับส่งมอบกลับไปให้ผู้คนเหล่านั้น แต่นี่ก็มิใช่สิ่งสลักสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือเป้าหมายสุดท้าย
แต่นี่เพียงเพิ่งได้รวมจิต นับเป็นก้าวแรกของการบำเพ็ญเพียรก็ยังไม่ได้ เมื่อเริ่มคิดใคร่ครวญถึงระดับเทพอำพรางในตำนาน แม้แต่เฉินฉางเซิงเองก็ยังรู้ นี่เป็นการคิดที่มากเกินไปเสียแล้ว กล่าวออกไปคงจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะได้ง่ายดาย ดีว่าเขาไม่เอ่ยกับผู้ใด
หากกล่าวถึงคนที่อายุรุ่นเดียวกัน เฉินฉางเซิงค่อนข้างที่จะนิ่งเงียบพูดจาน้อยแตกต่างจากผู้อื่น เมื่อจัดการเรื่องต่างๆ ก็จะยิ่งสุขุมเยือกเย็น ดังนั้นเมื่ออยู่ที่เมืองซีหนิง มักจะถูกผู้คนในเมืองคิดว่าอายุมากกว่าอายุจริงไปสามสี่ปี เขาชัดเจนอย่างยิ่ง ตนเองสามารถรวบรวมพลังจิตในหนึ่งวันหนึ่งคืนสำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดเพราะอาจารย์ได้วางรากฐานให้ตนตั้งแต่เยาว์วัย เตรียมการเป็นอย่างดียิ่ง แต่นี่ก็ไม่ได้แสดงว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงมากกว่าสวีโหยว่หรง
เช้าตรู่วันต่อมาก็ยังคงตื่นนอนเวลายามห้า ล้างหน้าล้างตารับประทานอาหาร เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้กระทบต่อการทำงานและพักผ่อนของเขาแต่อย่างใด มีเพียงแค่แววตาที่อ่อนระทวยเด่นชัดซึ่งยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้สงบเหมือนดังที่แสดงออกมา นอนหลับไม่สนิทไม่ใช่เพราะว่ากลิ่นเชื้อราของอาคารหลังเล็กๆ ยังไม่จางหาย แต่เพราะว่าเขาดีใจจริงๆ
สำนักฝึกหลวงยังคงครึกครื้น ช่างฝีมือและคนงานกำลังขะมักเขม้นบูรณะซ่อมแซมและทำงานเก็บกวาดความสะอาด หอตำราทางด้านนี้ยังคงสงบเงียบ เหตุเพราะว่าเขาได้ร้องขอ จึงไม่มีผู้ใดเข้ามารบกวน เขาจึงฝึกบำเพ็ญเพียรเพียงลำพังต่อไป
การชำระล้างกระดูกก็คือการบำเพ็ญเพียรขั้นที่หนึ่ง สามารถแบ่งออกเป็นสามขั้นตอนอย่างรวบรัด ขั้นแรกคือการรวบรวมพลังจิต และก็เป็นขั้นแรกของทั้งหมดทั้งมวลอีกด้วย ขั้นที่สองคือการเสาะหาดาวโชคชะตา ฟังแล้วดูเหมือนจะเป็นขั้นตอนที่ลึกลับมหัศจรรย์ แต่ว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด ที่จริงแล้วเขากังวลคือขั้นที่สาม ดึงแสงดวงดาวเข้าร่างเพื่อชำระล้างกระดูก…เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาถึงจะสามารถยืนยันได้ว่าสุดท้ายแล้วปัญหาของร่างกายตนเองจะทำให้เกิดผลกระทบอย่างไร
การบำเพ็ญเพียร ก็คือการหยิบยืมพลังของฟากฟ้ามาเป็นพลังของมนุษย์ คัมภีร์สวรรค์ร่วงหล่นลงมายังโลกใบนี้ มนุษย์จึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร พัฒนาวิธีการบำเพ็ญเพียรนับไม่ถ้วน ทดลองขั้นตอนมาแล้วหลากหลาย วิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรบางอย่างดึงดูดพลังอัคคีสวรรค์ มีวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ รับเอาพลังจากทุ่งนา สุดท้ายจึงได้ก่อตั้งนิกายหลวงอย่างเป็นทางการ ก็เพราะว่ามนุษย์ได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติมาแล้วหลายปี มนุษย์จึงค่อยๆ เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรโดยนำดวงดาวบนฟากฟ้ามาพิสูจน์
ในปล่องภูเขาไฟมีก้อนหินที่กำลังเผาไหม้อุณหภูมิร้อนระอุ ที่จริงแล้วสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ในร่างกายของมนุษย์ ช่วยเหลือผู้ที่บำเพ็ญเพียรให้มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง พลังของทุ่งนาที่สะอาดสดชื่นเหล่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้ แต่ว่าพลังที่ก่อเกิดมาจากสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เทียบไม่ได้กับดวงดาว
ดวงดาวบนท้องนภา ตำแหน่งจะไม่แปรเปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์ เป็นดินแดนที่ส่องแสงสว่างไสวอย่างเงียบสงบ ผู้คนที่ดำรงชีวิตบนพื้นผิวโลก ทำได้เพียงแค่แหงนหน้ามองขึ้นไป ทำให้มองเห็นแสงของดวงดาวที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตั้งแต่พวกเขาเยาว์วัยจวบจนแก่ชรา จากเริ่มต้นจนสิ้นสุดดวงดาวเหล่านั้นได้ติดตามเป็นสหายพวกเขาอย่างเงียบๆ สำหรับดินแดนต้าลู่และผู้คนที่ใช้ชีวิตที่นี่อาจจะกล่าวได้ว่า ดวงดาวคือแสงสว่าง คือพิกัด คือพลัง และก็คือเวลา เพราะว่าคือนิจนิรันดร์
สุดท้ายแล้วมนุษย์เลือกที่จะใช้แสงดาวในการแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณแท้ และสิ่งเหล่านี้อธิบายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสุนทรียศิลป์ไม่มากเท่าใดนัก ที่จริงแล้วสาเหตุอยู่ตรงที่ แสงของดวงดาวเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีสิ่งเจอปนใดๆ และยังอ่อนโยนมากกว่าแสงอาทิตย์ เปลวไฟและสรรพสิ่งอื่นๆ
เผ่าปีศาจก็สามารถดึงดูดแสงดวงดาวได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของพวกเขามีลักษณะพิเศษ ไม่ต้องการการฝึกบำเพ็ญเพียรใดๆ ก็สามารถดึงแสงดวงดาวเข้าสู่ร่างได้โดยตรง แปรเปลี่ยนเป็นพลังความสามารถของพวกเขา ดังนั้นเผ่าปีศาจที่สามารถแปลงกายเป็นคนธรรมดาได้ มักจะมีพลังแกร่งกล้าไร้สิ้นสุด
กล่าวถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเผ่าปีศาจ เผ่ามนุษย์ไม่สามารถดึงดูดแสงดวงดาวได้โดยตรง อาจจะกล่าวได้ว่า ความสามารถในการดึงดูดแสงดวงดาวนั้นต่ำอย่างยิ่ง เพราะเหตุนี้ มนุษย์ที่มีความคิดสร้างสรรค์จึงได้คิดค้นวิธีการฝึกบำเพ็ญเพียรขึ้นมาชนิดหนึ่ง เริ่มจากวันนั้น มนุษย์จึงเริ่มเข้าสู่หนทางของดินแดนมหาอำนาจ
จุดแสงสว่างให้กับดาวแห่งโชคชะตา
ท้องนภามีดวงดาวนับไม่ถ้วน กว้างใหญ่ดุจมหาสมุทร ยากที่จะคำนวณ จำนวนห่างไกลกับจำนวนของมนุษย์อย่างยิ่ง มนุษย์ที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร หากปรารถนาจะชำระล้างกระดูก จะต้องเสาะหาดวงดาวประจำตัวจากดวงดาวนับร้อยล้านดวง นั่นก็คือดาวโชคชะตา
ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้ หลักการของดาวโชคชะตาคืออะไร เพราะเหตุใดดาวดวงเหล่านั้นจึงสานสัมพันธ์อันแนบแน่นยากจะทำลายกับตัวเจ้า เพราะเหตุใดดวงดาวสามารถตอบสนองกับมนุษย์ที่ไกลโพ้นได้ผ่านระยะห่างที่ยาวไกลหลายหมื่นลี้ แม้แต่ปัญญาชนผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แห่งนิกายหลวงล้วนหมดหนทางที่จะอธิบายออกมา
ทุกคนล้วนแต่มีดาวหนึ่งดวงที่เป็นดวงดาวของตนเอง แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่สามารถรวบรวมพลังจิตสำเร็จ ถึงสามารถเสาะหาดวงดาวของตนพบ แล้วจึงก่อตัวเป็นความสัมพันธ์ชนิดหนึ่งที่ยากยิ่งต่อการอธิบาย สุดท้ายจึงใช้พลังจิตของตนเองจุดแสงสว่างให้กับดาวดวงนั้น
ฟากฟ้ามีดวงดาวเดียรดาษนับไม่ถ้วน เพียงแค่เจ้าสามารถปลดปล่อยพลังจิต เช่นนั้นเจ้าก็จะสามารถเสาะหาดาวประจำตัวของเจ้าพบ แต่ความสัมพันธ์ชนิดนี้เป็นเหมือนความสัมพันธ์อันมหาศาล ที่ได้จัดเรียงไว้อย่างสมบูรณ์ เพียงแค่เจ้ากับดาวโชคชะตาของตนเองก่อเกิดความสัมพันธ์ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงไปได้
ทว่ายังมีอีกปัญหาหนึ่ง ดวงดาวเช่นไรถึงจะเหมาะสมเป็นดาวโชคชะตาของผู้บำเพ็ญเพียรที่สุด
ตอนนี้แผ่นดินต้าลู่มีการวิพากษ์วิจารณ์จากปวงชนเป็นพื้นฐาน ดาวโชคชะตายิ่งห่างไกลจะยิ่งดี เพราะว่านิกายหลวงมีปัญญาชนกี่รุ่นไม่รู้ต่อกี่รุ่น ดำเนินการติดตามตรวจสอบผู้บำเพ็ญเพียรมานับไม่ถ้วน หลังจากที่เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างละเอียดและถูกต้อง จึงสามารถยืนยันได้ว่าการคาดเดานี้ถูกต้องอย่างแน่นอน
แต่นี่เพราะเหตุใดกันเล่า
หากผู้บำเพ็ญเพียรต้องดึงดูดพลังจากดาวโชคชะตาโดยตรง ดาวดวงนั้นควรที่จะยิ่งใกล้พื้นผิวโลกเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีมิใช่หรือ
เพื่อที่จะอธิบายปรากฏการณ์นี้ ผู้มีปัญญาชนของนิกายทั้งหลายได้มองปัญหาจากสภาพจริงและสร้างแบบจำลองชนิดหนึ่งขึ้น เมื่ออยู่ในแบบจำลองนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรจะไม่สามารถรับเอาพลังจากดาวโชคชะตาได้โดยตรง ทั้งยังสมมุติเอากำแพงด้านหนึ่งเป็นฟากฟ้า จุดแสงสว่างของดาวโชคชะตาก็คือการตอกตะปูดอกหนึ่งไว้บนกำแพง และเชื่อมระหว่างตนเองกับฟากฟ้าไว้ด้วยลำแสงเส้นหนึ่ง สุดท้ายจึงแกว่งลำแสงนั้นไปมา รับเอาพลังของดวงดาวที่ล่องลอยอยู่ในฟากฟ้า
อยู่ในแบบจำลอง เส้นแสงที่ไร้รูปร่างก็เหมือนกับเส้นด้ายหนึ่งเส้นที่ถูกทำให้เปียกชุ่ม แสงดวงดาวในฟากฟ้าก็เหมือนกับปุยนุ่นสีขาวปลิวว่อนทั่วท้องฟ้าในปลายฤดูใบไม้ผลิ เส้นแสงลำนั้นแกว่งไกวในสายลมฤดูใบไม้ผลิอย่างเชื่องช้า ปุยนุ่นเกาะอยู่นับวันยิ่งมากขึ้น สุดท้ายแล้วร่วงหล่นลงไปอยู่ในมือของคนที่ควบคุมเส้นแสงนั้น ถ้าหากลำแสงสามารถยาวเพียงพอ ตั้งแต่สิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของพระราชวังไปจนถึงปลายสุดของสุสานเทียนซู อย่างนั้นคงสามารถกวาดเอาปุยนุ่นสีขาวทั่วทั้งเมืองจิงตูมาจนสะอาดสะอ้านได้
ทงกู่ซือปัญญาชนแห่งเผ่ามารได้วิจารณ์ทฤษฎีนี้อย่างเฉียบขาด คิดว่าเป็นการฟุ่มเฟือย เป็นทฤษฎีไม่มีมูลความจริงอย่างแท้จริง เมื่อเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าสังฆราชในยุคนั้นจึงได้ตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้า กล่าวว่า มีเพียงผู้ที่สามารถสร้างทฤษฎีขึ้นมา ถึงจะเป็นคนที่เข้าใกล้สัจธรรมของทฤษฎีที่สุด
ต่อมา ปัญญาชนเผ่ามารท่านนี้ได้แจกจ่ายจดหมายไปทั่วต้าลู่ เขาถามในจดหมายว่า เส้นแสงลำนั้นแท้จริงแล้วอยู่ที่ไหน
ถ้าหากระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรและดาวโชคชะตามีเส้นแสงนั้นจริง อย่างนั้นทฤษฎีของนิกายหลวงก็สามารถยึดมั่นได้ เพราะจากการสังเกตผ่านสิ่งธรรมชาติ สามารถพบได้ง่ายดายอย่างยิ่ง เมื่อเส้นแสงยิ่งยาว ช่วงคลื่นที่สั่นสะเทือนก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น เป็นธรรมดาที่พลังที่ใช้ก็จะยิ่งมาก เป็นดังวิธีการที่กล่าวกันมาของปุยนุ่นก่อนหน้านี้
ปัญหาอยู่ตรงที่ แต่ไหนแต่ไรมาไม่มีผู้ใดเคยเห็นเส้นแสงนี้มาก่อน
เมื่ออยู่จิงตูใต้เท้าสังฆราชตอบปัญหานี้อย่างรวบรัดว่า “ในเมื่อระหว่างดาวโชคชะตาและผู้บำเพ็ญเพียรมีความสัมพันธ์กัน เช่นนั้นระหว่างทั้งสองจะต้องมีเส้นแสง พวกเรามองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ ก็หาใช่ว่าจะไม่มีอยู่”
ทงกู่ซือผู้มีปัญญาชนของเผ่ามารก็ได้แจกจ่ายจดหมายไปทั่วดินแดนต้าลู่อีกครา กล่าวว่า “สัมผัสไม่ถึง ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลกใบนี้ หากเป็นเช่นนี้เส้นแสงนี้จะมีอยู่หรือไม่ ก็มิได้มีความหมายต่อพวกเรา อย่างนั้นมันก็สมควรที่จะไม่มีอยู่”
การวินิจฉัยที่มีการตำหนิเช่นนี้ ใต้เท้าสังฆราชจึงใช้เวลาไตร่ตรองหลายเดือน หลังจากนั้นจึงได้ตอบคำถามที่โจษจันข้อนั้น
“เส้นแสง ก็คือโชคชะตา”
ใช่แล้ว
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ ก็คือโชคชะตา
ดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า กำลังส่องสว่างสะท้อน ก็คือดาวโชคชะตาของมวลมนุษย์
ไม่มีผู้ใดเคยสอนให้เฉินฉางเซิงเลือกดาวโชคชะตาอย่างไร อาจารย์ของเขาจะต้องรู้อย่างแน่นอน แต่ว่าไม่เคยเอ่ยมาก่อน
แน่นอน เขารู้ประโยคที่ใต้เท้าสังฆราชท่านนั้นเคยกล่าวไว้ มหามรรคสามพันเล่มไม่มีทางที่จะไม่มีเรื่องราวนี้บันทึกจดจำเป็นประวัติศาสตร์ตลอดไป
ในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างดาวโชคชะตาคือโชคชะตา ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทางระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เขาอายุสิบปี
สิ่งที่ต้องสนใจก็คือคำว่าโชคชะตาคำนี้
จากเช้าตรู่จนย่ำเย็น เขาได้ทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการปลดปล่อยพลังจิต เขาไม่รู้ว่าหลังจากความแปลกประหลาดตอนอายุสิบขวบในปีนั้น จิตวิญญาณแท้ที่จริงแล้วยังคงหลงเหลือมากน้อยเท่าไหร่ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขายินดีก็คือ ขั้นตอนการปลดปล่อยพลังจิตกับที่ตำราได้เขียนไว้มิได้แตกต่างกันมาก
เขาหลับตาลง ปล่อยให้พลังจิตออกจากห้วงแห่งจิต ลอยพัดผ่านอยู่ในหอตำราที่เงียบสงบ ชัดเจนว่าไม่ได้จ้องมอง ทว่าในสมองกลับปรากฏภาพของสภาพแวดล้อมอย่างเลือนราง คลุมเครืออยู่บ้าง ทั้งยังเปล่งแสงเคลิบเคลิ้มอยู่บ้าง นั่นคือการรับรู้อันสดใหม่หนิดหนึ่ง
จนกระทั่งความมืดยามราตรีได้มาถึง เขาไม่เหมือนกับผู้ที่กำลังฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยังคงหลงใหลไปกับการรับรู้โลกภายนอก ไม่ได้ครุ่นคิดถึงอดีตแม้แต่น้อย ไม่ลังเลที่จะรวบรวมพลังจิตให้ข้ามผ่านหน้าต่าง บินมุ่งทะยานไปยังฟากฟ้า ยิ่งบินยิ่งสูง ข้ามผ่านขนอ่อนที่ละเอียดที่สุดของวิหคที่บินกลับยามค่ำคืน ข้ามผ่านเม็ดไอน้ำที่เล็กที่สุดของชั้นเมฆที่ค่อยๆ เคลื่อนกระจาย ข้ามผ่านสายลมพัดผ่านอันเหน็บหนาว ในที่สุดก็มาถึงยังสถานที่ที่ส่องแสงสว่างไสวนับไม่ถ้วน
นั่นก็คือมหาสมุทรดวงดาว