จู่ๆ เสียงนกร้องในป่าหายไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกมันรู้ว่า มีคนที่ร้องระงมยิ่งกว่าพวกมัน มาถึงในสนาม มองเห็นถังซานสือลิ่วที่ปรากฏอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เฉินฉางเซิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตามสถิติของเมื่อวันก่อน น่าจะอยู่จนกระทั่งแสงสนธยาเข้ม เขาคนนี้ถึงจะยอมออกจากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ถึงจะถูก
“เจ้ารู้ไหมว่าสองคนนั้นคือใคร?” ถังซานสือลิ่วมองไปยังทิศทางเส้นทางภูเขา เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วถาม
“ไม่รู้ความเป็นมา สองคน…” เฉินฉางเซิงคิดวิเคราะห์การใช้ถ้อยคำทีหนึ่ง พูดว่า “คนที่ไม่รู้พูดอะไรอยู่”
ถังซานสือลิ่วมองสีหน้าบนใบหน้าของเขา ถึงสังเกตได้ว่าเขาไม่สนใจการถูกทำให้อับอายและหัวเราะเยาะอย่างจงใจของสองคนนั้นจริงๆ เกิดความโมโหขึ้นเล็กน้อย พูดว่า “แม้จะเป็นคนที่ไม่รู้ว่าพูดอะไรอยู่ แล้วจะไม่สำคัญจริงๆ หรือ?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “อย่าพูดเรื่องพวกนี้เลยดีกว่า ว่าแต่ เจ้าทำไมถึงออกมา?”
ถังซานสือลิ่วเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองออกมาทำอะไร จ้องตาของเขา พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความทะนงบางส่วนว่า “ข้าดูไปถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สาม”
เฉินฉางเซิงชะงัก พูดว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องที่เกิดตั้งแต่วันก่อนแล้วหรือ?”
ถังซานสือลิ่วไม่พอใจการตอบสนองของเขาอย่างเห็นได้ชัด เพิ่มเสียงพูดว่า “ที่สำคัญคือ ข้าใกล้จะทะลุระดับขั้นแล้ว”
เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย บนใบหน้าประดับรอยยิ้มแสดงความดีใจ พูดอย่างจริงใจว่า “จริงหรือ? ดียิ่ง”
ถังซานสือลิ่วทำอะไรไม่ถูกอย่างยิ่ง พูดว่า “ข้าใกล้จะล้ำหน้าเจ้าแล้ว เข้าใจไหม?”
“ข้ารอวันนี้มาตลอด” บนใบหน้าเฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยความสุข เอาแผงยาหนึ่งจากในอกส่งไปที่ข้างหน้าเขา พูดว่า “ข้างในมีบอกวิธีการใช้ยา ทะลุระดับขั้นไปทะลวงอเวจีเป็นเรื่องใหญ่ ไม่กล้าชะล่าใจ เดินถึงขั้นไหนควรกินยาเม็ดไหน ปริมาณการใช้ยาในแต่ละครั้ง ต้องห้ามทำผิด ตอนกลางคืนข้าจะรบกวนเจ๋อซิ่วให้ช่วยดูให้”
ในแผงยาเป็นยาตัวที่ก่อนการสอบใหญ่ลั่วลั่วเชิญนักบวชของพระราชวังหลีมาหลอม สิ่งที่ใช้เป็นพืชยามีชื่อล้ำค่าที่เขาและถังซานสือลิ่วขโมยมาจากสวนร้อยหญ้า ยังมีวัตถุดิบหายากที่ลั่วลั่วให้คนในเผ่าเตรียมไว้ให้ เพื่อการใช้งานในการช่วยเหลือผู้บำเพ็ญขั้นถอดจิตทะลุผ่านไปยังขั้นทะลวงอเวจี เพียงแค่วิเคราะห์ถึงพลังของยา ก็ไม่แย่กว่ายาเม็ดค้ำจุนฟ้าของสำนักต้นไหว
ถังซานสือลิ่วมือหยิบแผงยารู้สึกไร้คำพูดอย่างยิ่ง ใจคิดว่าเดิมอยากจะกระตุ้นเจ้าคนผู้นี้สักทีหนึ่ง เนื้อหาที่สนทนาเหตุใดสุดท้ายแล้วกลายเป็นเช่นนี้ จู่ๆ เขาก็นึกไปถึงว่า ที่สภาพของเฉินฉางเซิงเป็นเช่นนี้ หรือว่ายอมแพ้การแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์จริงๆ แล้ว? คิดถึงจุดนี้ อารมณ์เริ่มหนักหน่วงขึ้นมา
……
……
เค้ารอยวสันตฤดูยิ่งมายิ่งชัดเจน กลุ่มห่านป่าหิมะจากดินแดนต้าซีถึงนครจิงตูยิ่งมายิ่งมาก ผู้สอบขั้นสามการสอบใหญ่ของปีนี้เข้าสุสานเทียนซู ผ่านไปแล้วยี่สิบวัน ในช่วงเวลานี้ ผู้คนทยอยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าได้ มีเพียงแต่เฉินฉางเซิงที่ยังคงนั่งอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทุกวัน เทียบกับความคึกคักในตอนแรก กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนี้ในตอนนี้ดูออกว่าเงียบสงบมาก
โก่วหานสือคิดว่าสภาพจิตใจของเขาอาจมีปัญหาอะไรบางอย่าง ขนาดถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่วก็เริ่มไม่เชื่อมั่นในตัวเขา ความสนใจของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่คอยสอดส่องเขาก็เริ่มหายไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เหลือ ตอนที่มองเงาหลังของเขาที่นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สีหน้าเยาะเย้ยบนใบหน้าปิดบังไม่ได้
สถานการณ์ในสุสานเทียนซู ถูกส่งไปยังในจิงตูอย่างถูกต้องแม่นยำ ความจริงที่เฉินฉางเซิงยังคงไม่สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้สำเร็จ นำมาซึ่งการตอบสนองที่แตกต่างกันจำนวนมาก ในจวนของขุนพลเทพตงอวี้ ฮูหยินสวีใส่อารมณ์ที่เห็นได้น้อยครั้งมากใส่สวีซื่อจี บอกว่ามื้ออาหารครอบครัวนั้นควรที่จะรอวันเวลาหน่อย สวีซื่อจีกลับเงียบขรึมไม่พูดจา โยนแก้วสังคโลกหรู่เหยา*ที่มีชื่อเสียงใบหนึ่งทิ้ง บรรยากาศในสำนักการศึกษากลางเริ่มมีความกดดันนิดๆ เหมยหลี่ซาหลับตานอนเอียงในห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมย ราวกับกำลังนอนหลับ แต่อาจารย์ซินได้ยินเสียงพึมพำพูดกับตัวเองของท่านชราอย่างชัดเจนหลายครั้ง “พวกเราบีบบังคับเขาจนมากเกินไปหรือไม่?”
เวลาว่างของม่ออวี่ มักจะไปเรือนเล็กหลังนั้นของสำนักฝึกหลวง นอนเล่นบนเตียงของเฉินฉางเซิงเป็นครั้งคราว เพียงแต่กลิ่นอายของชายหนุ่มที่สะอาดสะอ้านคนนั้นบนผ้าห่มและหมอนยิ่งมายิ่งชืดจาง อารมณ์ของนางก็เปลี่ยนไปตามนั้นยิ่งมายิ่งรำคาญใจ ตอนช่วยเหนียงเหนียงอ่านฎีกาก็ด่าทอเจ้าเมืองสองท่านอย่างหนักชนิดไม่ไว้หน้าอย่างแท้จริง เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกลับไปยังด่านยงเสวี่ย ไม่ได้รบกวนอารมณ์ของตระกูลอันดับหนึ่งของต้าลู่ในปีนี้ จวนจำนวนมากในจิงตูเปิดงานฉลองอย่างต่อเนื่อง นักกวีจิตรกรเดินผ่ากลางดั่งสุนัข เหล่าประมุขรวมถึงผู้มีอิทธิพลที่สำคัญของกระกูลเทียนไห่มองแล้วสงบ ความเป็นจริงสภาพจิตใจนั้นผ่อนคลายไม่น้อย
เฉินฉางเซิงไม่สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากในจิงตู ผู้คนพยายามอธิบายสถานการณ์เช่นนี้ กลับรู้สึกว่าอย่างไรก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ตระกูลเทียนไห่เคยเยาะเย้ยบางคำพูดที่งานฉลอง สุดท้ายกลายเป็นความคิดเห็นร่วมกันของคนส่วนใหญ่ “ไม่ว่าเพชรจะสว่างไสวอย่างไร หลังถูกแผดเผาอย่างรุนแรง นอกจากฝุ่นควันสองสามสาย ยังจะเหลืออะไรอีก? ต้องรู้ว่าเมื่อปีก่อนเขาถูกแผดเผาไปหนึ่งปีเต็มๆ!”
ตั้งแต่การชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่ ชายหนุ่มที่มาจากเมืองซีหนิงนำความสะท้านสะเทือนจิตใจมาให้จิงตูกระทั่งปาฏิหาริย์มากมาย สุสานเทียนซูตอนนี้กลายเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครคิดว่าชายหนุ่มจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ต่อไปได้อีก ทุกคนล้วนคิดว่า เขาจะเป็นเหมือนนักปราชญ์ที่ร่วงหล่นเหล่านั้นในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ตอนนี้ก็เงียบหายจากไป
มีเพียงคนเดียวที่ยังคงมีความเชื่อมั่นต่อเฉินฉางเซิง ชั้นบนสุดของโถงใหญ่ในวังศึกษา ลั่วลั่วยืนอยู่ข้างราว มือถือดอกเหลียงเผิง (เดซี่แดนหนาว) ไม่ชอบแสงแดดอันจอมปลอมของโลกใบนี้ มองไปยังที่ไกลๆ กลับมองเห็นแต่ความสมบูรณ์แบบที่ไม่เคยเปลี่ยน มองไม่เห็นสุสานเทียนซูในโลกแท้จริง มองไม่เห็นอาจารย์ที่กำลังชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสาน
“อาจารย์แต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนใจว่าคนอื่นมีความหวังอย่างไรกับตัวเอง เขามีชีวิตอยู่เพื่อเขาเอง แต่ถ้าเจ้ามีความหวังในตัวเขา แล้วเขาเคยให้เจ้าผิดหวังเสียที่ไหน?”
นางหันกายมองไปยังจินอวี้ลวี่ ใบหน้าเล็กที่สวยงามเต็มไปด้วยความเชื่อใจและทะนงตัว “ข้าไม่รู้ว่าทำไมจนป่านนี้เขายังไม่สามารถแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกได้ แต่ข้ามั่นใจมาก ไม่ใช่ว่าเขาแก้แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนั้นไม่ออก แต่เป็นเพราะสาเหตุอื่นบางอย่าง ถ้าเขาสามารถทำสำเร็จ แน่นอนว่าจะทำให้ทุกคนสะเทือนใจไร้คำพูดอีกครั้ง”
……
……
ยังคงตื่นขึ้นมาตอนเช้าเวลาห้ายาม สงบจิตใจลืมตา ลุกออกจากเตียงชำระล้างร่างกาย ทำอาหารเก็บกวาด จากนั้นมุ่งไปยังสุสานเทียนซู
หนึ่งปีผลผลิตเริ่มจากฤดูใบไม้ผลิ หนึ่งวันผลผลิตเริ่มจากรุ่งอรุณ อรุณรุ่งของฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่ดีที่สุด เพียงแต่มีความหนาวเย็นเล็กน้อย เฉินฉางเซิงกระชับปกเสื้อให้แน่น นั่งอยู่นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เขานั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลาหลายวันแล้ว นอกจากไปหลบฝนหลบแดดใต้ชายคาเป็นครั้งคราว ไม่เคยขยับตำแหน่ง หินเขียวใต้ร่างกายไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว กระทั่งมีความเกลี้ยงเกลามากขึ้น
สมุดบันทึกที่สวินเหมยเหลือไว้ให้ เขาอ่านตั้งแต่แรกจนจบหลายครั้งมาก อ่านจนแตกฉานนานแล้ว อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์บนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ เส้นสายที่ซับซ้อนเหล่านั้น สลักตรอกตรึงอยู่ในสมองของเขานานแล้ว แม้จะไม่มีเวลาเพียงพอเพื่อชมสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเหล่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสี่ฤดู แต่การเปลี่ยนแปลงของทุกวันล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องดูอะไรอีก ปิดตาโดยตรง
มีเสียงเท้าดังขึ้นมา เดินผ่านจากที่ไกลๆ อย่างเร่งรีบ และก็มีเสียงเท้าดังขึ้นอีก เดินผ่านหน้าตัวเขาอย่างช้าๆ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่พยายามพูดให้เบาดังขึ้นมาจากเส้นทางภูเขา มีคำพูดน้ำเสียงเยาะเย้ยที่ตั้งใจพูดให้ได้ยินชัดเจน ดังขึ้นมาข้างหูเขา จากนั้นเสียงเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป เหลือเพียงแต่ความเงียบและเสียงนกร้องในป่า
เสียงนกร้องในป่าจู่ๆ ก็กระจุกขึ้นมา จากนั้นเสียงห่านป่าร้องบนท้องฟ้าสูงก็ส่งมาเรื่อยๆ ในนั้นมีเสียงนกร้องที่ดังชัดเจนเป็นพิเศษ
เฉินฉางเซิงลืมตา มองไปยังท้องฟ้าที่ฟ้ามาก เห็นเพียงกลุ่มห่านป่าหิมะที่บินมาจากทางตะวันออก นี่ไม่รู้ว่าเป็นห่านป่าหิมะชุดที่เท่าไรแล้วที่บินมายังจิงตู ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ผลิมีหิมะเพิ่มขึ้นมามากขนาดนี้ สวยงามจริงๆ เขาคิดในใจ เสียงห่านป่าร้องที่เสียงดังฟังชัด น่าจะเป็นเสียงที่ร้องออกมาของห่านป่าน้อย หรืออาจเป็นเพราะว่านี่เป็นครั้งแรกของมันที่ท่องเที่ยวระยะทางยาวนานขนาดนี้
ห่านป่าหิมะบินต่อไปยังข้างหน้าที่อยู่ไกลพ้น อาจจะหยุดพักที่จิงตูไม่กี่วัน จากนั้นต่อไปยังตะวันตก
“คงได้เพียงเช่นนี้แหละ”
เฉินฉางเซิงลุกขึ้นมา พูดประโยคนั้นด้วยความเสียดายนิดๆ เดินเข้าไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์
มองแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่เยือกเย็น และเส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ดูจนเบื่อ เขาส่ายหัวไปมา ใจนึกคิดว่าพรสวรรค์คุณสมบัติของตัวเองยังไม่พอจริงๆ
สมุดบันทึกของสวินเหมย สิ่งที่ให้กับการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์กับเขาและชายหนุ่มที่เหลือในกระท่อม ล้วนนำมาซึ่งประโยชน์อย่างมาก อย่างกลุ่มคนกวนเฟยไป๋ที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้อย่างราบรื่น ล้วนเป็นเพราะสมุดบันทึกเล่มนั้นที่ใกล้เคียงความฉลาดของนักปราชญ์เก่า ได้รับบันดาลใจบางอย่างจากตรงนี้ ประโยชน์ที่เขาได้รับ กลับมีจุดอ้างอิงเพิ่มขึ้นมาก
ในสมุดบันทึก สวินเหมยเหลือแนวคิดการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หลายแบบไว้ให้ เพียงแค่แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ก็มีมากถึงสิบกว่าแบบ แต่การหาเจอสมุดบันทึกของหวังจือเช่อในหอหลิงเยียน ประโยคแรกก็พูดถึงตำแหน่งนั้นตรงกัน ฉะนั้นสิ่งที่เฉินฉางเซิงอยากทำ ไม่ใช่เอาแนวคิดเหล่านั้นไปแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่เป็นการหลีกเลี่ยงแนวคิดเหล่านั้น บุกเบิกเส้นทางใหม่เอี่ยมอีกเส้นหนึ่ง
จากการสังเกตการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ท่ามกลางฟ้าดิน จากตรงนั้นหาคำตอบที่เป็นของตัวเองโดยสิ้นเชิง เขาอยากแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เช่นนี้
แนวคิดเช่นนี้เป็นไปได้มากว่าถูกต้อง แต่ตามความต้องการของเขาแล้ว ยังไม่พร้อมเต็มที่ หรือจะพูดว่ายังบริสุทธิ์ไม่พอ ยังคงต้องเอาความหมาย เอารูปร่าง เอาท่าวิทยายุทธ์สามเช่นนี้ที่เป็นแนวคิดหลัก วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ดั้งเดิมที่สุดของการแปลงรูปร่าง หรือจะพูดว่าวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เช่นนี้ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของแนวคิดที่คงที่เช่นนี้ได้
สำหรับเรื่องนี้แล้วเขายังไม่ค่อยพอใจ จึงวิเคราะห์อย่างลำบากมายี่สิบกว่าวัน ที่น่าเสียดายคือ ยังคงไม่สามารถทำสำเร็จได้
ที่สำคัญยิ่งกว่านี้คือ อย่างที่เขาเคยพูดกับโก่วหานสือไว้แบบนั้น สิ่งที่เขาบำเพ็ญคือตามใจชอบ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าวิธีการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เช่นนี้ กระทั่งวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นของนักปราชญ์ในสมัยก่อนล้วนไม่ถูกต้อง เขารู้สึกอยู่เสมอว่าสุสานเทียนซูแห่งนี้ แผ่นป้ายหินอนุสรณ์เหล่านี้น่าจะมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่านี้ นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่เขาอยากเห็น
น่าเสียดายจริงๆ เขาไม่มีเวลามากกว่านี้แล้ว
เสียงห่านป่าที่เสียงดังฟังชัดนั้นทำให้เขาตื่นขึ้นมา เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ผ่านไปพักหนึ่งเวลาที่ห่างจากการเปิดของสวนโจวก็เหลือไม่กี่วัน
วันแรกที่เข้าสุสานเทียนซู โก่วหานสือเคยถามเขา อยากไปสวนโจว หรืออยากหยุดอยู่ในสุสานเทียนซูให้นานกว่านี้ เขาบอกว่าถึงเวลานั้นค่อยคิด ไม่กี่วันนี้เขาคิดเรียบร้อยแล้วว่าตัวเองจะเลือกอย่างไร
ถ้าเขาไม่สามารถท้าลิขิตพลิกโชคชะตา หรือว่าบำเพ็ญถึงขั้นอำพรางเทพ ฉะนั้นเขาจะเหลือเวลาชีวิตเพียงห้าปี
แน่นอนว่าต้องไปหลายๆ ที่หน่อย ไปชมทิวทัศน์มากหน่อย รู้จักคนมากหน่อย
เขาอยากไปสวนโจว เขาจะไปสวนโจว ฉะนั้น เขาก็ต้องเริ่มแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แล้ว
ดังนั้น เขาจึงเริ่มแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์
เขายกมือขวาขึ้นมา ชี้ไปจุดหนึ่งบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ พูดว่า “อันนี้เป็นตัวอักษร บ้าน”
ตอนนี้แสงท้องฟ้าสว่างชัดเจน ในเส้นสายที่ซับซ้อนอย่างเทียบไม่ได้เหล่านั้นที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ มีบางเส้นที่สลักไม่ค่อยลึก ถูกส่องจนเสมือนลอยออกมา ดูเหมือนเป็นตัวอักษรตัวหนึ่ง
จากนั้นเขาชี้ไปอีกที่หนึ่งของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ พูดว่า “อันนี้เป็นตัวอักษร แม่น้ำ”
ต่อจากนั้น เขาไม่ได้ทำการหยุดใดๆ มองไปยังจุดที่ไม่มีใครสามารถมองออกเป็นตัวอักษรอย่างแน่นอน พูดว่า
“จาง”
“ควัน”
“ส่อง”
“ชายคา”
“ฤดูใบไม้ร่วง”
“กลุ่มหญ้า”
……
……
ในพริบตา เขาพูดยี่สิบแปดตัวอักษรโดยไม่มีการหยุด เหล่านั้นล้วนเป็นตัวอักษรบนแผ่นป้ายอนุสรณ์
ตัวอักษรสุดท้ายคือ แสง
เสียงของเขาชัดเจนมาก เหมือนกับเสียงห่านป่าร้องในก่อนหน้านี้ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ต่อโลกที่ไม่รู้กาลข้างหน้า มีเพียงความหวัง เต็มไปด้วยความมั่นใจ
จากนั้น มีลมสดชื่นพัดขึ้น
เขาหายไปจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์
*หรู่เหยาเครื่องสังคโลกที่มีชื่อเสียงในสมัยราชวงศ์ซ่ง ปัจจุบันอยู่ที่หูหนานเมืองหรู่