ยี่สิบแปดตัวอักษรที่เฉินฉางเซิงเห็นบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ รวมกันก็เป็นกลอนบทหนึ่ง
“แสงกระจ่างสะท้อนวารีบันดาลม่านหมอก สองฝั่งทางชายคาฉูดฉาดทอดกายดุจหนึ่ง ใบบัวเรียงขนัดกระจุกเหนือผิวน้ำตัดขาดโลก ม่านลูกปัดพลิ้วลมโบกอวลกลิ่นมิสิ้นกำจาย”
กลอนบทนี้เป็นกลอนที่หัวหน้าลัทธิเต๋าสลักไว้มาตอนชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูเมื่อสองพันปีก่อน แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกในสุสานเทียนซูชื่อว่ารัศมีจรัสจ้าก็มาจากตรงนี้
วิธีที่เฉินฉางเซิงใช้ในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ เป็นการถอดท่อนอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ออกมากลายเป็นความหมายนั้นๆ
วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์นี้จริงๆ แล้วง่ายมาก มีความดั้งเดิมมาก
หลายปีก่อน คัมภีร์สวรรค์ตกลงมาบนดินแดนต้าลู่ เหล่าประชาชนที่ยังคงมึนงง ในที่สุดก็เอาชนะความหวาดกลัวของตัวเอง มาถึงหน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แห่งนี้อย่างระมัดระวัง
คนแรกที่อ่านแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ออกคนนั้น วิธีที่ใช้ก็คล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาเห็นอาจเป็นรูปภาพเรียบง่าย รูปภาพภาพนั้น สามารถเป็นวัว สามารถเป็นแกะ และก็สามารถเป็นมังกร จากนั้น มีบางคนเห็นรูปภาพที่ซับซ้อนกว่านั้นบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ มีตัวเลข มีข้อมูลที่มากกว่านั้น ฉะนั้น จึงมีตัวอักษร
สมัยบุกเบิกแรกเริ่มนั้น เหล่าประชาชน แน่นอนย่อมไม่คิดว่าก้อนหินที่ประหลาดเหล่านี้ซ่อนปริศนาอะไรบางอย่างที่ต้องไข ไม่คิดว่าในเส้นสายเหล่านั้นมีการเคลื่อนไหวของปราณแท้
ก็เหมือนที่เขาและโก่วหานสือเคยวิเคราะห์สนทนากันแบบนั้น
หัวหน้าลัทธิเต๋าเมื่อสองพันกว่าปีก่อน สิ่งที่เขาเห็นบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้เป็นกลอนบทหนึ่ง เขานึกว่ากลอนบทนั้นเป็นโจทย์ข้อหนึ่ง หลังจากเขานั้น ในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผู้บำเพ็ญจำนวนมาก ล้วนเคยอยากหาคำตอบที่แท้จริงจากกลอนบทนั้น ทว่าแต่แรกจนจบไม่ได้รับอะไรเลย
เฉินฉางเซิงวันนี้ก็เห็นกลอนบทนี้ แต่ไม่ได้แปลว่าวิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ใช้จะเหมือนกันกับผู้แข็งแกร่งสุดขั้วยุทธภพคนนั้นเมื่อสองพันปีก่อนอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเขาไม่คิดว่ากลอนบทนั้นเป็นโจทย์ เขาคิดเห็นว่านั่นก็คือคำพูดของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่อยากจะสื่อ
แสงท้องฟ้ามืดมนไม่เหมือน เส้นสายบ้างชัดบ้างไม่ชัด เส้นสายที่ซับซ้อนไร้ใดเปรียบ สามารถแสดงออกเป็นตัวอักษรจำนวนมาก
ตัวอักษรเหล่านี้สามารถรวมตัวเป็นความเป็นไปได้จำนวนมาก สามารถเป็นกลอนบทหนึ่ง ก็สามารถเป็นบทกวีบทใหญ่เช่นกัน
แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ไร้คำพูด กลายเป็นบทความในตัวเอง
เขานั่งอยู่หน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นนี้มายี่สิบกว่าวัน ไม่รู้ว่าดูตัวอักษรออกมาได้มากขนาดไหน ตอนนี้เขาสามารถหาบทกวีที่ยังเหลืออยู่บนโลกมนุษย์จำนวนมากจากในเส้นสายเหล่านั้นได้ตลอดเวลา แต่เขาเข้าใจอย่างชัดเจนมาก บทกลอนกวีเหล่านั้นเดิมก็อยู่ในอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์
ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพียงแค่เจอมัน เห็นมัน เข้าใจมัน ไม่ต้องการแนวคิดนอกเหนือจากนี้
วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หมื่นวิธีบนโลก ไม่ว่าจะเอาความหมาย เอารูปร่าง หรือเอาท่าวิทยายุทธ์ ล้วนเป็นการแก้ เรียนรู้ เลียนแบบข้อมูลอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์
แต่แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ไม่เคยรอให้ใครมาแก้ เรียนรู้ และเลียนแบบ
แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์รอคอยคนที่มาเข้าใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เฉินฉางเซิงพยายามพิสูจน์จุดนี้ ในที่สุดสุสานเทียนซูก็ยืนยันกับเขาว่าสิ่งที่เข้าใจนั้นถูกต้อง
ฉะนั้น เขาจึงแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกของตัวเอง จากนั้นมองเห็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง
……
……
ส่วนลึกของป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม ในกระท่อมมีแผ่นป้ายอนุสรณ์ ข้างแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็สลักกลอนบทหนึ่งเช่นกัน เป็นโจทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชื่อกลอนศิลาร้อยเมฆา
แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง ก็คือแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆา
นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์มีคนนั่งล้อมยี่สิบกว่าคน คนเหล่านั้นมองแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่มีความกว้างกว่าปกติใต้กระท่อม บางคนขมวดคิ้วคิดวิเคราะห์อย่างหนัก บางคนพึมพำพูดพร่ำกับตนเอง
เฉินฉางเซิงเดินมาถึงหน้ากระท่อม เห็นเหล่าใบหน้าบางส่วนที่คุ้นเคยในฝูงชน
ศิษย์น้องสาวเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียนคนนั้นได้ยินเสียงเท้าก็เงยหน้าขึ้นมามอง เห็นคนที่มาเป็นเขา ชะงักอย่างไม่อาจควบคุม
บางคนเห็นการมาถึงของเฉินฉางเซิง ชะงักเหมือนนาง วันเหล่านี้ที่ผ่านมา ผู้คนที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูรู้สึกคุ้นชินกับการเห็นเงาหลังของเฉินฉางเซิงที่นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้ามานานแล้ว วันนี้จู่ๆ เห็นเขาปรากฏที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆา ในชั่วเวลาหนึ่งกลับรู้สึกตอบสนองไม่ค่อยได้
หนึ่งเค่อต่อมา ผู้คนถึงเข้าใจ เฉินฉางเซิงในที่สุดก็แก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกได้แล้วนั่นเอง
ฝูงชนนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เหมือนมีความวุ่นวายเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เยาะเย้ยดังขึ้นมา
“ถึงตอนนี้เพิ่งจะสามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกได้ มีอะไรน่ายินดีหรือ?”
“ไม่เลว ข้าเข้าใจมาตลอดว่าคุณสมบัติในการบรรลุของตัวเองไม่ดี ปัจจุบันดูๆ แล้ว อย่างน้อยยังดีกว่าคนบางคน”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ได้ใจ เพียงแต่การปรากฏตัวของเขา นำมาซึ่งความกดดันบางอย่างให้กับผู้คนนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เหล่านักเรียนที่อันดับรั้งท้ายผู้มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นมาหลายวัน จู่ๆ สังเกตได้ว่า นักเรียนคนนั้นกลับค่อยๆ ไล่ตามขึ้นมา จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
โดยเฉพาะนึกไปถึงการหัวเราะเยาะเย้ยต่อเขาในวันก่อน บางคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกังวล
เพื่อการสลายความกดดันนี้ และการลบล้างอารมณ์ที่ลนลาน ดังนั้น การหัวเราะเยาะเย้ยที่เกินไปก็ยิ่งสมเหตุสมผลที่จะปรากฏออกมา
เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ เดินต่อไปข้างหน้า เดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆาแผ่นนั้น ยกมือขวาขึ้นมา
นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์มีเสียงอุทานดังขึ้น
……
……
เฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าได้แล้ว ข่าวสารนี้ดั่งสายลม ส่งออกไปยังนอกสุสานเทียนซูอย่างรวดเร็ว ส่งเข้าไปในจวนแต่ละแห่งของจิงตู ส่งเข้าไปยังพระราชวังและพระราชวังหลีเช่นกัน
ได้ยินข่าวสารนี้ บางคนในที่สุดก็ระบายลมหายใจออกมาได้ อย่างเช่นใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา ในจวนของจวิ้นอ๋องมีเสียงหัวเราะที่มีความสุขของเฉินหลิวอ๋องดังขึ้นมา ม่ออวี่มือถือพู่กันกำลังจุ่มชาด ได้ยินการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ชะงักเล็กน้อย จากนั้นพูดเชิงเยาะเย้ยว่า “เวลานี้เพิ่งจะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรก ยังจะมีอนาคตอะไร?”
นักเรียนสำนักเทียนเต้าจำนวนหนึ่งที่รวมตัวฉลองกันในโรงเตี๊ยม สุราถึงจุดที่กลมกล่อมหวานหอม แน่นอนย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึงการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู ตอนที่กำลังหัวเราะเยาะเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวง ได้รับข่าวนี้ งานฉลองจู่ๆ ก็เงียบสงบลง สักพัก นักเรียนคนหนึ่งหัวเราะเยาะว่า “ตามความเร็วนี้ เฉินฉางเซิงปีนี้จะสามารถอ่านเข้าใจแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สองหรือไม่ยังเป็นปัญหา ศิษย์พี่จวงวันก่อนก็ถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สามแล้ว จะนำมาเอ่ยเทียบกันได้อย่างไร?”
นักเรียนอีกคนหนึ่งถอนหายใจพูดว่า “ยังคงเป็นโก่วหานสือที่น่ากลัว ไม่แน่ว่าสามารถเรียงอยู่ในสามคนแรกในรอบทศวรรษได้แล้ว?”
นักเรียนคนก่อนนั้นได้ยินชื่อของโก่วหานสือ เงียบขรึมสักพักพูดว่า “ถ้าเขาสามารถรักษาความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์เหมือนตอนนี้ อาจได้เข้าประกาศร้อยปี”
และในเวลานี้ นักเรียนร่วมห้องคนหนึ่งของสำนักเทียนเต้าวิ่งขึ้นชั้นบนอย่างรีบเร่ง สีหน้าอารมณ์ขนาดเหงื่อเต็มใบหน้าก็ไม่สามารถปกปิดความตกตะลึงลานได้ พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เฉินฉางเซิง…เมื่อครู่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สองแล้ว”
นักเรียนสำนักเทียนเต้าเหล่านี้ได้ยินก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง ลุกขึ้นมาอย่างเร่งรีบ กลับชนจานอาหารหลายจานบนโต๊ะคว่ำ
พวกเขามองนักเรียนร่วมชั้นคนนั้น ไต่ถามด้วยความเหลือเชื่อหลายเสียงติดต่อกัน
“อะไร!”
“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรกหรือ เป็นไปได้อย่างไรที่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สองได้ทันที?”
ไม่มีใครตอบคำถามของพวกเขา
ในโรงเตี๊ยมจู่ๆ ก็กลายเป็นความเงียบสงัดไปทั่ว
……
……
แผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นหน้าสุสานเทียนซู แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สามชื่อว่าหนึ่งเหนือราชันย์ เมื่อเทียบกับแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆาแล้ว คนรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ของที่นี่ต้องน้อยกว่าเยอะ นอกจากผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ปีเก่าๆ จำนวนหนึ่ง ผู้ที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้มีเพียงแค่ศิษย์พี่สาวเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น สำนักเด็ดดาราหนึ่งคน จงฮุ่ยและจวงห้วนอวี่ และก็เจ้าพวกสี่คนในกระท่อมหลังนั้น ต้องรู้ว่าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ยิ่งถึงด้านหลังยิ่งยาก พวกเขาเข้าสุสานเทียนซูไม่เกินยี่สิบกว่าวัน ก็มาถึงหน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์แผ่นที่สาม สามารถพูดได้ว่าเก่งกาจมากแล้ว
เห็นการปรากฏของเฉินฉางเซิง ผู้คนสะเทือนใจมาก พวกเขาก็เห็นชัดๆ อยู่ว่ายังเห็นเขาอยู่นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งแรก นี่ไม่ใช่เรียกว่า เขาใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ก็แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สองแผ่นอย่างต่อเนื่องอย่างนั้นหรือ? ถังซานสือลิ่วดีดขึ้นมาจากพื้นดินทันที เดินมาถึงตรงหน้าเขา จ้องจนตากลมทั้งสองข้าง พูดว่า “นี่เจ้าทำได้อย่างไร?”
ดูเหมือนเป็นวาจาและการกระทำที่น่าเกลียดไม่หวังดี ความเป็นจริงแล้วสายตาที่เขามองเฉินฉางเซิงนั้นล้วนเป็นความตกตะลึง
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ใบหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงเต็มไปด้วยความไม่แยแส สายตากลับดูเหมือนค่อยๆ แผดเผาขึ้นมา ถามว่า “ต้องมีเหตุผลบางอย่าง”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “คัมภีร์สวรรค์ ก่อนอื่นมันน่าจะเป็นคัมภีร์”
ได้ยินประโยคนี้ บางคนนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เหมือนมีความคิดบ้าง จวงห้วนอวี่กลับแค่นเสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง
เฉินฉางเซิงพูดกับถังซานสือลิ่วว่า “ข้าไปก่อนล่ะ”
“เจ้าจะกลับไปตอนนี้หรือ? ก็ใช่ พักผ่อนดีๆ สักหน่อย”
ถังซานสือลิ่วพูดจากจิตใต้สำนึก ในความคิดของเขา เฉินฉางเซิงใช้เวลาครึ่งวันก็สามารถแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สองแผ่นได้ แน่นอนว่าสูญเสียสติปัญญาไปมาก ควรกลับกระท่อมไปพักผ่อนสงบจิตวิญญาณจริงๆ
เฉินฉางเซิงชะงัก ชี้กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แล้วพูดว่า “ข้าหมายถึงไปตรงนั้น”
ถังซานสือลิ่วตะลึงอยู่กับที่ มองเขาที่เดินไปยังหน้าแผ่นป้ายหินอนุสรณ์อย่างชะงัก ยื่นมือวางลง
เห็นภาพนี้ สีหน้าจวงห้วนอวี่เปลี่ยนทันที
จงฮุ่ยที่นั่งอยู่ข้างกระท่อมเงียบขรึมไม่พูดจาตลอด สีหน้าก็ยิ่งขาวซีดอย่างไร้ที่เปรียบ