ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 228 สมควรกระจ่างวิถีทางใต้แสงไฟ (ตอนปลาย)

หนึ่งพันปีก่อน ในโลกเดิมก็ไม่มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับสิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน ภายหลังจู่ๆ ก็มี แน่นอนว่ามีความหมายของมัน สิ่งที่เฉินฉางเซิงจะทำในตอนนี้ ก็คือหานัยนี้ให้เจอ แน่นอนว่าเขาเคยคิด ความหมายนัยนี้มีโอกาสสูงมากที่จะหายไปพร้อมกับแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่หายไปก้อนนั้น ไม่สามารถหาเจอได้อีก แต่ถ้าตอนนี้จริงๆ แล้วเขารู้แล้วว่าขั้นตอนกระบวนการแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ของตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ กลับไม่มีการกระทำใดๆ ที่จะพยายามตามหาส่วนที่หายไป ฉะนั้นความไม่สมบูรณ์ในใจเขาจะไม่สามารถเติมเต็มได้อีก นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถรับได้

แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า แผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆา แผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์ แผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร แผ่นป้ายอนุสรณ์ภาษาวิหค แผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา…สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน ปรากฏอยู่เบื้องหน้านัยน์ตาของเขาในเวลาเดียวกัน

ตรงกลางสายตาของเขาเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ที่เหลืออีกสิบหกแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หมุนอยู่รอบๆ อย่างไม่ต่อเนื่อง พยายามลองจับรวมกัน เพียงแต่อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นลึกลับซับซ้อนขนาดนี้ เส้นสายเหล่านั้นที่ทับซ้อนซ่อนเงื่อนยากที่จะแก้ชนิดนี้ ระหว่างเส้นและเส้นไม่มีการมีอยู่ของเส้นธรรมชาติใดๆ ระหว่างร่องรอยและร่องรอยไม่มีร่องรอยใดๆ ให้ตามหาได้ ไม่ว่าเขาจะรวมกันอย่างไร ล้วนมองไม่เห็นหลักฐานการเป็นหนึ่งเดียวกันของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้

กระทั่งเขามีความรู้สึกหนึ่งว่า แม้แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นก้อนนั้นกลับมาเหมือนเดิม ก็ยังคงไม่สามารถเอาอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ทั้งหมดมารวมกันได้

หลายร้อยปีผ่านมา ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสังเกตเห็นความลึกลับของสิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน หรืออาจจะหมายความว่าการทดลองของเขาแน่นอนว่าไร้ประโยชน์ เขานั่งเงียบๆ อยู่นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่รู้ว่าปิดตาไปตั้งแต่เมื่อไร สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์ยังคงขยับรวมตัวอย่างรวดเร็วในสมองเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่มีการหยุดแม้แต่เค่อเดียว นี่ทำให้เขาสูญเสียจิตวิญญาณยิ่งมายิ่งเร็ว สีหน้ายิ่งมายิ่งขาวซีด

โลกภายนอกของสุสานเทียนซูเงียบสงบเช่นกัน แสงไฟของบ้านหมื่นหลังในจิงตูได้ดับลงไปแล้วเกินครึ่ง มีเพียงจวนของเหล่าตระกูลสูงส่งรวมถึงพระราชวังและพระราชวังหลีสองแห่งนี้ที่เป็นสถานที่ที่สำคัญมากยังคงมีไฟสว่างอยู่ ข่าวเฉินฉางเซิงตกลงที่จะแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานใหม่ ทำให้หลายคนตกตะลึงอย่างไร้ที่เปรียบ เกิดการเยาะเย้ย แต่ก็ทำให้บางคนนอนไม่หลับทั้งคืน

เวลาไหลไปอย่างช้าๆ แต่แน่วแน่ ดวงดาวที่สว่างไสวในท้องฟ้าค่ำคืนค่อยๆ ซ่อนตัวไป ความมืดก่อนรุ่งอรุณผ่านไป แสงตะวันมาเยือนแผ่นดินใหญ่อีกครา ในความไม่รู้สึกตัว เฉินฉางเซิงนั่งอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ไปแล้วหนึ่งคืนเต็มๆ คนจำนวนมากในสุสานเทียนซูรวมถึงนอกสุสานเทียนซูก็รอไปหนึ่งคืนเต็มๆ เช่นกัน

แสงอรุณอ่อนๆ ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ค่อยๆ เดินมายังบนเส้นถนนภูเขา มองเฉินฉางเซิงที่นั่งอยู่หน้าต้นไม้ไม่พูดจา บังเกิดสีหน้าต่างๆ บ้างนับถือ บ้างเยาะเย้ย บ้างมีความรู้สึกปลดปล่อยอย่างยากที่จะพูดให้เข้าใจชนิดหนึ่ง สถานการณ์เมื่อคืนประหลาดมาก เหนียนกวงไล่ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ออกทั้งหมดได้ แต่จะทำเช่นนี้ตลอดไม่ได้ ฉะนั้นกลางป่าจึงค่อยๆ มีความคึกคักขึ้นมา

บางคนมองเฉินฉางเซิงแล้วส่ายหัวไปมาแล้วเดินไปที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ของตัวเอง บางคนกลับตั้งใจรออยู่รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เพราะว่าอยากรู้ว่าเฉินฉางเซิงจะบรรลุอะไรบางอย่างออกมา พวกเขาคิดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เมื่อวานเฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานจนหมด ทั้งๆ ที่สามารถจากไปอย่างผ่าเผย กลับจะอยู่ต่ออีกครั้ง มีโอกาสมากที่จะยกก้อนหินทุบเท้าตัวเอง*

เจ้าเจ็ดคนในกระท่อมก็มาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ถังซานสือลิ่วหิ้วข้าวต้มหม้อหนึ่ง คุณชายเวิ่นสุ่ยที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดท่านนี้เห็นได้ชัดว่าไม่เคยทำงานบ้านมาก่อน ข้าวต้มหกเรี่ยราดตามทาง รองเท้าก็เปียกไม่น้อย มองดูแล้วอนาถมาก เจ๋อซิ่วหิ้วผักและหมั่นโถว ชีเจียนนั้นถือชามและตะเกียบ

เฉินฉางเซิงลืมตา รับข้าวต้ม พูดขอบใจชีเจียน จากนั้นเริ่มกินข้าว

ข้าวต้มสองชาม หมั่วโถวแตะเต้าหู้ยี้แล้วกิน เขารู้สึกว่ากินอิ่มประมาณเจ็ดส่วน ก็หยุดตะเกียบลง

ถังซานสือลิ่วมองหน้าของเขาที่ซีดเล็กน้อย พูดอย่างเป็นห่วงว่า “ถ้าไม่กินเยอะหน่อยจะทนได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “กินอิ่มไปง่วงง่าย”

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วพูดว่า “แม้ไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเจ้าอยากแก้ลูกเล่นอะไรออกมา แต่ไนเมื่อเจ้ายืนยันแน่วแน่ ข้าก็รู้ว่าไม่สามารถโน้มน้าวได้ แต่เจ้าเตรียมที่จะไม่หลับไม่นอนหรือ?”

โก่วหานสืออยู่ข้างๆ ไม่พูดจา เขารู้ว่าทำไมเฉินฉางเซิงถึงรีบเร่งขนาดนี้ เพราะว่าวันเวลาเปิดสวนโจวยิ่งมายิ่งใกล้

เจ๋อซิ่วนำผ้าเปียกส่งไปให้เฉินฉางเซิง

ผ้าเช็ดหน้านั้นใช้น้ำคลองทำให้เปียก เย็นเฉียบอย่างมาก เฉินฉางเซิงออกแรงเช็ดหน้า รู้สึกว่าสติกลับมามาก พูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

พูดประโยคนี้เสร็จ เขาก็หลับตาลงอีกครั้ง

แม้ตาเขาจะปิดอยู่ แต่พวกโก่วหานสือล้วนรู้ว่า เขายังคงชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ อาจเป็นเพราะเช่นนี้ไม่ค่อยสูญเสียสายตา แต่การชมแผ่นป้ายอนุสรณ์วิธีนี้ สูญเสียจิตวิญญาณมากจริงๆ

……

……

นกอรุณบินตามแสงอรุโณทัย เพื่อตากความชื้นของขนปีก หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ผู้คนเหมือนจะจากไปแล้ว

เฉินฉางเซิงนั่งขัดสมาธิหลับตา นั่งอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ต่อ

เวลาไหลผ่าน ถึงเวลากลางวันอย่างเงียบๆ จากนั้นก็มาถึงเวลาพลบค่ำ แสงสีพลบค่ำเข้มข้นมาก

จิงตูในวันนี้ สงบเงียบเหมือนกับสุสานเทียนซู ใต้เท้ามุขนายกในพระราชวังหลีไม่มีจิตใจจะไปสนใจคำรายงานของผู้ใต้บังคับอย่างสิ้นเชิง เหล่าขุนนางในราชสำนักไม่มีอารมณ์ที่จะจัดการงานบ้านงานเมือง ความเร็วในการจัดการพระบรมราชโองการของม่ออวี่ก็ลดลงอย่างมาก จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พาแพะดำเดินเล่นอยู่ในวังต้าหมิง ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ใต้เท้าสังฆราชรดน้ำให้กับกระถางใบไม้เขียวถึงเจ็ดครั้งในหนึ่งวัน

คนที่ไม่รู้และไม่เข้าใจ จะมองว่าการกระทำของเฉินฉางเซิงเป็นการทำให้คนคล้อยตาม หรือว่าเป็นการทำให้คนพูดถึงแบบหนึ่ง

คนที่รู้เรื่องราวภายในเกี่ยวกับการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของโจวตู๋ฟูในปีนั้นและเข้าใจสุสานเทียนซู กลับรอคอยเรื่องบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น หรือว่าไม่สามารถเกิดขึ้น

อย่างน้อยถึงตอนนี้ เรื่องนั้นยังไม่เกิดขึ้น

แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่น ในสายตาของเฉินฉางเซิงอาจจะพูดได้ว่ารวมตัวกันใหม่ในสมองหลายครั้ง แม้จะพูดไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่สุด แต่เขาพยายามอย่างมากแล้ว สูญเสียจิตวิญญาณไปอย่างมาก แต่ที่น่าเสียดายคือ ยังคงไม่สามารถหาในสิ่งเขาอยากเจอได้ สำหรับเขาแล้วโลกยังคงไม่สมบูรณ์

จู่ๆ มีแสงสายหนึ่งกะพริบผ่านสมองเขา เขาไม่นำแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นนี้มาพยายามรวมตัวกันอีก พูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ เขาไม่พยายามเอาแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นนี้มารวมตัวกันในระนาบเดียวอีก แต่เขาเอาสิบเจ็ดแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์มาเรียงเป็นเส้นตรงในสมอง

ที่ด้านหน้าของเขาเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า แผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆาอยู่ข้างหลังแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า ด้านหลังไปอีกคือแผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์ เรียงตามลำดับให้เป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง

จากนั้นเขาพูดกับตัวเอง เอาแค่อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์

ดังนั้นตัวแผ่นป้ายหินอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นก็หายไป เหลือเพียงแค่เส้นสายที่ซับซ้อนอย่างมากเหล่านั้นที่อยู่บนหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์

อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดชั้น มีตั้งแต่ใกล้จนไกล ลอยอยู่ด้านหน้าของเขา

สายตามองทะลุผ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า สามารถมองเห็นอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบหกแผ่นที่อยู่ด้านหลัง

อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านี้ทับรวมกัน รวมกันเป็นรูปภาพใหม่ที่เฉินฉางเซิงไม่เคยเห็นมาก่อน กระทั่งไม่อาจจินตนาการได้

เขามองรูปภาพภาพนี้ สะเทือนจิตวิญญาณเล็กน้อย

เจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานสิบ ยิ่งไปถึงด้านหลังยิ่งรู้สึกว่าง่ายดาย ยิ่งมีแบบแผน การทับซ้อนของเส้นสาย ก็หมายความว่าเป็นการทับซ้อนของแบบแผน สิ่งที่เขาต้องการนั้นซ่อนอยู่ในนี้หรือไม่?

เส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าเดิมก็ซับซ้อนยากที่จะแก้มากอยู่แล้ว เส้นสายข้างหลังเหล่านั้นจะง่ายหน่อย แต่ยังคงยากซับซ้อนที่แก้ รูปภาพที่ทับรวมกันขึ้นมาเช่นนี้ ยิ่งซับซ้อนหลายเท่า ตามความสามารถจิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์ไม่มีทางแก้ออกได้ ถึงขนาดที่ว่าเพียงแค่จะลองไปแก้ก็จะเกิดปัญหา

เฉินฉางเซิงมองไปปราดหนึ่ง จิตวิญญาณขยับเล็กน้อย พลันเจ็บปวดถึงขีดสุด ความทรงจำในสมองขยับไม่นิ่ง บริเวณหน้าอกเจ็บปวดเป็นระยะๆ

เขาพ่นโลหิตสดออกมาคำหนึ่ง เปรอะเปื้อนอาภรณ์

……

……

แต่ต้นจนจบเงียบสนิท ราวกับไม่มีคนอยู่รอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เสียงตกใจพลันดังขึ้นมา

เพียงแต่กลัวว่าจะไปรบกวนเฉินฉางเซิง ฉะนั้นคนเหล่านั้นจึงควบคุมกดเสียงให้ต่ำลงมากที่สุด

เฉินฉางเซิงหลับตา มองไม่เห็นสภาพข้างนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จิตวิญญาณล้วนอยู่บนรูปภาพที่ซับซ้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ได้สนใจถึงเรื่องเหล่านี้

เพียงแต่มองไปปราดหนึ่ง เขาก็รู้ว่ารูปภาพภาพนี้ไม่ใช่กำลังมนุษย์ที่จะแก้ได้

เขาพูดในใจอย่างไร้เสียงว่า

ง่ายหน่อย

วาจานี้ไม่ได้กล่าวกับรูปภาพนั้น แต่เป็นการบอกกับตัวเอง

ในสมองของผู้บำเพ็ญเพียร เจ้ามองโลกอย่างไร โลกก็จะเป็นแบบที่เจ้าอยากเห็น

เขาเก็บจิตวิญญาณเชิงบังคับ คิดคำนวณเส้นสายเหล่านั้น เพียงแต่ถ้ามองไปอย่างง่ายๆ ฉะนั้นรูปภาพภาพนั้นก็จะกลายเป็นง่ายหน่อย

ในรูปภาพภาพนั้น เขามองเห็นรูปภาพที่ง่ายๆ เหมือนการขีดเขียนของเด็ก เห็นตัวอักษรจำนวนมาก เห็นเพลงกลอนจำนวนมาก เห็นภาพเขียนหมึกจำนวนนับไม่ถ้วน เห็นสิ่งก่อสร้างที่งดงามอารามพระราชวังหลี มองเห็นต้นไทรย้อยใหญ่ของสำนักฝึกหลวง เห็นภูเขาสูงเมฆลอย และก็เห็นคัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรคเช่นกัน

โลกใบนี้สิ่งที่มีอยู่ของทุกอย่างนั้น ล้วนอยู่ในภาพนี้

แต่ยังคงไม่พอ เพราะว่ายังคงเยอะไป ซับซ้อนเกินไป

เฉินฉางเซิงพูดกับตัวเองเงียบๆ ว่า

ง่ายกว่านี้อีก

เขาลืมไปว่าตัวเองตอนเด็กอ่านหนังสืออย่างมุ่งมั่นยากลำบาก ถึงจะจำคัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรคได้ ลืมเพลงบทกลอนที่เคยอ่าน ลืมที่ตัวเองเคยไปพระราชวังหลี ลืมที่ตัวเองเคยปีนขึ้นต้นไทรย้อยใหญ่นั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความพอใจที่ไหล่ชนไหล่กับลั่วลั่วในขณะที่ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่จิงตู ลืมตัวอักษรทั้งหมดที่ตัวเองเคยเรียน ลืมทั้งหมดของทั้งหมด

การลืมเช่นนี้แน่นอนว่าไม่ได้ลืมจริงๆ เป็นเพียงการสกัดกั้นด้วยตัวเองของด้านจิตวิญญาณแบบหนึ่ง

มีเพียงเช่นนี้ เขาถึงจะถามคำถามหนึ่งกับตัวเองได้

ถ้าตัวเองเป็นเด็กที่ไม่รู้จักตัวหนังสือ มองเห็นเส้นสายเหล่านี้บนภาพ จะนึกถึงอะไร?

เป็นร่องรอย

เป็นร่องรอยน้ำไหล

เป็นร่องรอยเมฆขยับ

เป็นกลุ่มห่านป่าที่บินผ่าน เหลือร่องรอยไว้บนท้องฟ้าสีคราม

ทุกการก้าวผ่าน แน่นอนว่าต้องเหลือร่องรอย…ไม่ นั่นเป็นการปลอบใจตัวเองที่ขื่นขมและความไม่จริงของผู้เขียนบทความ

กลุ่มห่านป่าบินผ่านท้องฟ้าสีคราม ไม่สามารถหลงเหลือร่องรอยใดๆ ได้อย่างสิ้นเชิง เส้นหิมะที่พูดถึงนั้น ความจริงแล้วเป็นเพียงเงาไม่สมบูรณ์ในตา

สิ่งที่เส้นสายเหล่านี้ชี้ทางและการให้ความหมายจริงๆ แล้วคืออะไร?

สิ่งที่เส้นหิมะชี้ทางและหมายถึงนั้น เป็นห่านป่าหิมะเหล่านั้นที่อยู่ด้านหน้าสุด

สิ่งที่เส้นสายเหล่านี้ชี้ทางและหมายถึงนั้น เป็นจุดกำเนิดเส้น

ถ้าไม่มีจุดกำเนิดเส้น นั่นก็จะเป็นจุดที่เส้นสายเชื่อมพันกัน

ง่ายกว่านี้

เฉินฉางเซิงจ้องรูปภาพที่ซับซ้อนอย่างเทียบมิได้ภาพนั้น พูดกับตัวเองอีกครั้ง

สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์พับซ้อนอยู่ตรงหน้าเขา

ตัวแผ่นป้ายอนุสรณ์หายไปแรกสุด

ตอนนี้สิ่งที่หายไปคือเส้นสาย

เส้นสายที่ยิ่งมากยิ่งเยอะ หายไปอย่างช้าๆ ที่ตรงหน้าเขา หายไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ความว่างเปล่ายิ่งมายิ่งมาก ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาอย่างเชื่องช้า ปรากฏอย่างไม่หยุดหย่อน

สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หายไปแล้ว เส้นสายที่อยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็หายไปเช่นกัน รูปภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว

นั่นเป็นจุดที่โดดเดี่ยวนับไม่ถ้วน

เฉินฉางเซิงมั่นใจมากว่าตัวเองไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกคุ้นเคย

*ยกก้อนหินทุบเท้าตัวเอง หมายความว่า หาเรื่องใส่ตัว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset