นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ฮือฮากันใหญ่ คำพูดของเฉินฉางเซิงกำลังพยายามล้มล้างเหตุผลอันเที่ยงธรรมที่ผู้คนไม่เคยสงสัยมาก่อน คำถามคือดวงดาวจะเคลื่อนที่ได้อย่างไร? นี่มันช่างไร้สาระจริงๆ ไม่มีใครเชื่ออย่างสิ้นเชิง โก่วหานสือก็แค่เลิกคิ้ว ความไม่สบายใจที่เคยปรากฏออกมาเค่อหนึ่งของผู้คนหายไป เริ่มหัวเราะเยาะขึ้นมา
สำหรับการตอบสนองของผู้คน เฉินฉางเซิงไม่รู้สึกน่าประหลาดใจ เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนแรกที่สังเกตได้ว่าดวงดาวสามารถเคลื่อนที่ได้แน่นอน อย่างน้อยสมุดบันทึกเล่มนั้นของหวังจือเช่อแน่นอนว่าเคยมีความคิดด้านนี้ แล้วทำไมไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เต๋าหรือว่าการพูดสนทนาประจำวันทั่วไปไม่เคยมีเนื้อหาด้านนี้? เพราะว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ทุกสิ่งอย่างที่จิตวิญญาณดาวชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรเห็นนั้นไม่สามารถเป็นหลักฐานได้ นอกจากจะสามารถบินสูงไกลไปยังในท้องฟ้าดวงดาว แล้วเอาสิ่งที่เห็นนั้นทำให้คนบนพื้นดินก็สามารถเห็นได้เช่นกัน
เฉินฉางเซิงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าดวงดาวสามารถเคลื่อนที่ได้ ฉะนั้นคำว่าสังเกตได้นั้นจริงๆ แล้วไม่ถูกต้องแม่นยำ นี่เป็นเพียงผลลัพธ์จากการคาดเดาจากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นหน้าสุสาน หรือจะพูดว่าเป็นสิ่งที่เขาบรรลุจากการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ได้… การคาดเดาไม่สามารถโน้มน้าวคนบนโลกได้ แต่กลับสามารถโน้มน้าวตัวเองได้ เพราะว่านี่เหมาะกับสุนทรียศาสตร์และมุมมองที่มีต่อโลกใบนี้ของเขา
อย่างน้อยในตอนนี้ ตัวเขาเองสามารถเชื่อว่าดวงดาวสามารถเคลื่อนไหวได้ก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นจะเชื่อได้หรือไม่ เขาไม่สนใจ
เขาเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าค่ำคืนที่มีดวงดาวมากมายสว่างไสว ไม่พูดจาอีก
ดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืนดูเหมือนโบราณนับหมื่นปีไม่ขยับ ความจริงแล้วขยับอยู่ตลอดเวลา อาจจะไปข้างหน้าอาจจะถอยหลัง ระยะห่างจากโลกบ้างไกลขึ้น บ้างสั้นลง ระยะห่างระหว่างดวงดาวและดวงดาวรวมถึงองศานั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพียงแต่ผู้สังเกตบนพื้นดินนั้นห่างจากท้องฟ้าดวงดาวไกลเกินไป ยากที่จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยขององศาเหล่านั้น
ถ้าสิ่งที่แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นหน้าสุสานอธิบายนั้นเป็นตำแหน่งของดวงดาวรวมถึงร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกมัน ฉะนั้นจะเอาภาพเหล่านี้มาเทียบกับท้องฟ้าดวงดาวที่แท้จริงได้อย่างไร?
เขาก้มหัวหลับตา สังเกตเหล่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสมองต่อ
แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นเรียงเป็นเส้นตรงตรงหน้าของเขา อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์พับรวมซ้อนเชื่อมโยงกันในช่องว่าง เส้นสายจำนวนมากรวมกันเป็นจุดจำนวนมหาศาล เขาใช้จิตใต้สำนึกแกะภาพเหล่านั้นออกมาใหม่ จากนั้นรวมตัว จากนั้นจุดเหล่านั้นก็ขยับตามเส้นสายเหล่านั้น ช้าๆ แต่สงบ ตามแบบแผนที่ยากที่จะอธิบายแบบหนึ่ง
รูปภาพเหล่านั้นก็คือภาพดวงดาว ภาพดวงดาวจำนวนมากที่ต่างกัน ลอยผ่านตรงหน้าของเขาทุกภาพ
ดวงดาวเดินอยู่ในท้องฟ้าค่ำคืน เหลือร่องรอยไว้ สลักอยู่บนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ ก็คืออักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หน้าสุสาน
มองจากพื้นดิน การขยับไปข้างหน้าและถอยหลังของดวงดาว ล้วนอยู่ในตำแหน่งที่คงที่เสมอ ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของรูปภาพดวงดาวเหล่านี้ แน่นอนว่าต้องสังเกตมาจากมุมองศาอื่น
เวลาไหลผ่านไปอย่างช้าๆ ความจริงแล้วได้เปิดผ่านหลายหมื่นปีแล้ว มาถึงรูปภาพดวงดาวแผ่นสุดท้าย
ตามเหตุผลแล้ว สิ่งที่น่าจะอธิบายจากรูปภาพดวงดาวแผ่นนี้ก็คือตำแหน่งของดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืนที่แท้จริง
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตำแหน่งของดวงดาวในรูปภาพดวงดาวแผ่นนี้กลับไม่เหมือนกับตำแหน่งที่แท้จริงของท้องฟ้าดวงดาว…ในเวลาสุดท้ายจู่ๆ สังเกตว่าผลลัพธ์ไม่เหมือนกับที่คาดไว้ สติของหลายคนจะรับผลกระทบที่หนักมาก กระทั่งมีโอกาสเริ่มสงสัยความคิดที่ตัวเองคิดไว้ในก่อนหน้า แต่เมื่อความตั้งใจของเฉินฉางเซิงแน่นอนแล้ว ก็จะไม่มีการหวั่นไหวอีก
เขามองรูปภาพดวงดาวแผ่นสุดท้ายแผ่นนั้น สงบไปเป็นเวลานาน จากนั้นยกมือขวาขึ้นมา หมุนขอบของรูปภาพดวงดาวแผ่นนั้นเบาๆ
รูปภาพดวงดาวเป็นเงาสะท้อนที่แท้จริง ฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นแนวราบ แต่เป็นรูปลูกบาศก์รูปหนึ่ง
ตามการหมุนเบาๆ ของมือเฉินฉางเซิง อย่างเงียบๆ รูปภาพดวงดาวแผ่นนั้นค่อยๆ หมุนอย่างช้าๆ ด้านข้างกลายเป็นด้านหน้า
นั่นเป็นรูปภาพใหม่อีกรูปหนึ่ง ข้างบนยังคงมีดวงดาวจำนวนมากมาย กลับมีความหมายที่เคร่งขรึมคงที่มากกว่าเดิม
เฉินฉางเซิงลืมตา เงยหัวมองไปยังในท้องฟ้าค่ำคืนอีกครั้ง
ที่นั่นมีท้องฟ้าดวงดาวที่สว่างไสวแผ่นหนึ่ง
รูปภาพดวงดาวแผ่นที่ใหม่ที่สุดแผ่นนั้นในสมองของเขา ตกลงบนท้องฟ้าดวงดาวที่แท้จริง รวมตัวกับบริเวณดวงดาวที่มุมตะวันออกเฉียงใต้อย่างสวยงาม
ไม่มีการบิดเบี้ยวของตำแหน่งดวงดาวสักดวง ดวงดาวทั้งหมดล้วนหาตำแหน่งของตัวเองเจอบนรูปภาพดวงดาวแผ่นนั้น
ความรู้สึกนี้สมบูรณ์แบบมาก ทำให้คนสะเทือนใจ
เฉินฉางเซิงไม่สามารถเปล่งวาจาได้เป็นเวลานาน
จากนั้นเขานึกถึงเรื่องราวที่มากกว่านี้
หวังจือเช่อเคยพูดถึงปัญหาหนึ่งเรื่องท้องฟ้าดวงดาวแห่งนี้ในสมุดบันทึกเล่มนั้นที่หอหลิงเยียน
ในแม่น้ำสายยาวของประวัติศาสตร์ นักปราชญ์เก่าแก่ล้วนเคยพูดถึงคำถามที่คล้ายกัน
ถ้าโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ซ่อนอยู่ในท้องฟ้าดวงดาวแห่งนี้จริงๆ ตำแหน่งของดวงดาวคงที่ไม่เปลี่ยนไม่ขยับ โชคชะตาแน่นอนว่าก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้นคนมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จริงๆ แล้วเหตุใดยังต้องบากบั่นต่อสู้?
ในความรู้จักของเผ่ามนุษย์ ท้องฟ้าดวงดาวเคร่งขรึมเช่นนั้นอย่างเป็นนิรันดร์ สมบูรณ์แบบเช่นนั้น ก็เหมือนกับโชคชะตากฎธรรมชาติ ไม่ให้แอบมอง สูงส่งเหนือชั้น
คืนนี้ เฉินฉางเซิงรู้จักว่าความเคร่งขรึมไม่ได้แปลว่าคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความสมบูรณ์แบบที่แท้จริงไม่ใช่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล
เพราะว่าดวงดาวนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้ ตำแหน่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ระยะห่างระหว่างดาวโชคชะตาของตัวเองและดาวดวงอื่นรวมถึงองศาก็แน่นอนว่ากำลังเปลี่ยนแปลงอยู่
ถ้าจะบอกว่าความเชื่อมโยงเหล่านั้นก็คือร่องรอยของโชคชะตา ฉะนั้น มิใช่แปลว่าโชคชะตาสามารถเปลี่ยนได้หรือ?
หวังจือเช่อเขียนสี่ตัวอักษรด้วยปลายพู่กันที่มีน้ำหนักในสมุดบันทึกตอนสุดท้ายว่า ‘ไม่มีโชคชะตา’
ใช่ ไม่มีโชคชะตาที่แน่นอนโดยสิ้นเชิง!
เสียงตูมดังขึ้นมาหนึ่งเสียง ระเบิดขึ้นในสมองของเฉินฉางเซิง!
เขาไขปริศนาอันทุกข์ระทมในจิตใจซึ่งยากจะปล่อยวางและรบกวนตัวเองมานานหลายปีได้
เขาไขปริศนาแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ของตัวเอง
พลังจิตวิญญาณที่เขาบรรลุได้จากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่น เริ่มส่งผลกระทบกับแก่นแท้ของภววิสัย!
ท้องฟ้าค่ำคืนอันไกลโพ้น แสงดวงดาวเป็นจุดๆ สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น!
ในความทรงจำของเขา บนรูปภาพดวงดาวเหล่านั้นที่เกิดจากการทับซ้อนกันของอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ จุดทั้งหมดล้วนสว่างขึ้นมา!
เกือบในเวลาเดียวกัน ในท้องฟ้าค่ำคืนบนสุสานเทียนซู ดวงดาวเหล่านั้นราวกับสว่างขึ้นมาบางส่วนเช่นกัน!
และบริเวณส่วนลึกของทะเลดวงดาวที่อยู่ไกลกว่านั้น สถานที่ที่ใกล้เคียงกับดินแดนแห่งนิพพานที่แม้จะเป็นจิตสัมผัสของผู้แข็งแกร่งขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สามารถรับรู้ถึง ดวงดาวสีแดงดวงหนึ่งเริ่มปลดปล่อยแสงจำนวนมาก!
นั่นเป็นแสงดวงดาวที่แท้จริง เป็นแสงดวงดาวที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ ตกทอดลงบนสุสานเทียนซูพร้อมกับแสงดวงดาวที่สามารถมองเห็นได้!
ผู้คนรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ตกใจอย่างมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เค่อต่อไป พวกเขาสังเกตเห็นอย่างตกตะลึงอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงหายไปจากหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์!
……
……
เหมือนลมสดชื่นสายหนึ่ง เหมือนแสงดวงดาวสายหนึ่ง กะทันหันและเงียบสงบไร้สุ้มเสียง ไปมาไร้อุปสรรค
เฉินฉางเซิงหายไปจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า เค่อต่อไป ก็มาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆา
อยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ร้อยเมฆา หยุดพักเดียว เงาหลังของเขาก็หายไปอีกครั้ง แล้วไปปรากฏที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์
ต่อจากนั้น เขาปรากฏอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ภาษาวิหค หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา
เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง เขาปรากฏอยู่หน้าสิบเจ็ดแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่สุสานหน้า จากนั้นหายไป สุดท้ายมาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นแผ่นนั้น!
เขายังคงหลับตาสองข้างอยู่ ไม่ว่าวัตถุหรือตัวตนล้วนลืมเลือนไปหมดสิ้น ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างสิ้นเชิง
……
……
คืนนี้ ท้องฟ้ามีทัศนียภาพผิดแปลก
ดวงดาวที่ซับซ้อนมากมายในท้องฟ้าค่ำคืน ใช้ตาเปล่าสังเกต เหมือนกับไม่ได้สว่างขึ้น แต่มีคนจำนวนมากรู้ว่าดวงดาวเหล่านั้นสว่างขึ้นแล้ว พอหลังเวลาดึกหน่อย แค่ขนาดประชาชนธรรมดายังสังเกตเห็น ความจริงเช่นนี้ทำให้ประหลาดใจ
ดาวดวงหนึ่งค่อยๆ สว่างขึ้น ไม่สามารถถูกเห็นได้ง่าย แต่ถ้าดวงดาวนับพันหมื่นดวงที่บริเวณขอบเขตดวงดาวทางตะวันออกเฉียงเหนือค่อยๆ สว่างขึ้นพร้อมๆ กัน นั่นจะเป็นภาพที่เป็นอย่างไร?
แสงดวงดาวส่องสว่างสุสานเทียนซู และก็ส่องสว่างนครจิงตูทั้งเมือง
ถนนตรอกซอยในเวลายามฟ้ามืดสนิท ราวกับกลับไปยังช่วงเวลากลางวัน
แท่นกานลู่ใกล้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่สุด ยิ่งถูกส่องสว่างจนเผยทุกสรรพสิ่งที่แฝงเร้น ไข่มุกราตรีเหล่านั้นที่อยู่ขอบของแท่นทองแดง ถูกข่มจนมืดจางลงเล็กน้อย
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ข้างแท่นสูง มองดูท้องฟ้าดวงดาวที่กว้างใหญ่ สีหน้ามีความผิดคาดเล็กน้อย กระทั่งมีความเคร่งเครียดเล็กน้อย
นางคาดไม่ถึงว่าตามนิสัยของเฉินฉางเซิง จะกลับไปนั่งที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าอีกครั้ง นางคาดไม่ถึงว่า เฉินฉางเซิงสามารถเหมือนคนคนนั้นในปีนั้นได้ แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานเหล่านี้ นำมาซึ่งแสงดวงดาวจำนวนมาก แต่จนกระทั่งตอนนี้ นางยังคงไม่เชื่อว่าเฉินฉางเซิงสามารถทำถึงขั้นที่คนผู้นั้นในปีนั้นทำได้
เพราะตอนนี้ไม่ใช่แต่ก่อน สุสานเทียนซูก็ไม่ใช่สุสานเทียนซูในตอนนั้นเช่นกัน
……
……
ท้องฟ้าดวงดาวตกทอดลงบนโต๊ะจากนอกหน้าต่าง สมุดพระบรมราชโองการที่ถูกแสงเทียนส่องจนออกสีเหลืองเล็กน้อย กลายเป็นสีขาวไปบ้าง ร่องรอยตัวอักษรข้างบนก็ชัดเจนขึ้นมาบางส่วน
ม่ออวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปยังนอกหน้าต่าง คิดด้วยความตกตะลึงว่า เขาอ่านเข้าใจแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านั้นจริงๆ หรือ?
……
……
ในถนนตรอกพิรุณอาดูรเมืองใต้ มีสถานหน่วยราชการที่หนึ่ง ประตูหน่วยงานมีความเรียบง่าย ในสายตาของผู้คนกลับดูเหมือนอึมทึมมากกว่าปกติ เพราะว่าที่นี่คือกรมอาญาของต้าโจว
คืนนี้ ความอึมทึมในประตูของหน่วยงานถูกแสงดวงดาวที่สดใสไล่ไปบางส่วน
โจวทงเดินเข้าไปในจวน ยื่นมือรูดผ้าม่านสีดำหน้าหมวก ปิดบังแสงดวงดาวที่แสบตาเล็กน้อย ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่มีความสุขเล็กน้อย
เฉินหลิวอ๋องบอกกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยว่าเปล่า เขาไม่ได้รอเฉินฉางเซิงอยู่นอกสุสานเทียนซูโดยสิ้นเชิง
แม้เฉินฉางเซิงจะได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่ ในสายตาของเขา ยังคงเป็นตัวละครกระจ้อยร่อยที่ไม่อยู่ในสายตา
แต่แล้วในตอนนี้ มองแสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า ในที่สุดเขาก็มีความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนเดิม
หรือจะพูดว่า แสงดาวเต็มท้องฟ้านี้ทำให้เขาไม่มองชายหนุ่มคนนี้ใหม่ไม่ได้แล้ว
……
……
ท่ามกลางผู้คนเต็มไปด้วยแสงดวงดาว ส่องสว่างเรือนชานลานจวน แน่นอนว่าย่อมส่องสว่างลงบ่อน้ำของสะพานอุดรใหม่
สองวันก่อนโคลนดินใต้บ่อถูกขุดใหม่ แสงดวงดาวสายหนึ่งส่องทะลุเข้าอย่างน่าเวทนาเล็กน้อย แต่ดื้อรั้นไปยังโลกมืดดำใต้บ่อแห่งนั้นจนได้
แสงดวงดาวส่องสว่างชาดแดงช่วงหว่างคิ้วของสาวน้อย กลับไม่สามารถขับไล่ความเย็นชาบริเวณหว่างคิ้วของนางออกไปได้
……
……
ลั่วลั่วยืนอยู่ข้างราวของยอดโถงวังศึกษา จู่ๆ เงยศีรษะมองไปยังยอดโดม
ท้องฟ้าค่ำคืนของที่นี่เป็นของปลอม ดวงดาวไม่เปลี่ยนอย่างนิรันดร์ กลับไม่ได้โกรธ
นางรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เฉินฉางเซิงน่าจะกำลังทำเรื่องอะไรที่ยอดเยี่ยมมากอยู่
นางพูดกับจินอวี้ลวี่ว่า “ข้าจะออกไป”
จินอวี้ลวี่เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ท่านช่วยเขาไม่ได้หรอก”
“อาจารย์ไม่ได้ต้องการให้ข้าช่วย” ลั่วลั่วพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “ข้าจะไปรอเขาที่สำนักฝึกหลวง ฉลองแทนเขา”
……
……
แสงดวงดาวส่องสว่างสุสานเทียนซู และส่องสว่างนครจิงตูเช่นกัน
พระราชวังหลีแช่อยู่ในแสงดวงดาวอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
นักบวชจำนวนนับพันและสานุศิษย์สำนักต่างๆ มาถึงลานกว้างและบนถนนเสิน ไหว้เคารพบูชาท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอย่างไม่หยุดหย่อน สีหน้าศรัทธาจริงใจอย่างหาที่เปรียบมิได้
โถงด้านในที่อยู่ลึกที่สุดแห่งนั้น
ใต้เท้าสังฆราชมองใบไม้เขียวในกระถางในโถงที่ถูกส่องสว่างโดยแสงดวงดาวที่ไหลลงมา ใบหน้าที่แก่ชราแสดงออกถึงรอยยิ้มเอ็นดู
ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซา มองไปยังแสงดวงดาวที่ราวกับหิมะที่นอกโถง พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ราวกับปีนั้น”
ใต้เท้าสังฆราชรู้ว่าเขาพูดถึงสถานการณ์บรรลุทะลุระดับขั้นในปีนั้นของหวังจือเช่อ คืนนั้น จิงตูทั้งเมืองล้วนสว่างไสวขึ้นมา
คืนนี้ ภาพของปีนั้นปรากฏอีกครั้ง
ภาพเช่นนี้ เป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ไม่เคยปรากฏอีก
เหมยหลี่ซาจู่ๆ ขมวดคิ้ว พูดด้วยความไม่เข้าใจว่า “นี่คือกำลังรวบรวมดวงดาว?”
ใต้เท้าสังฆราชพูดว่า “ไม่ เขายังคงอยู่ขั้นทะลวงอเวจี”
เหมยหลี่ซาถามว่า “แล้วเหตุใดท้องฟ้าดวงดาวถึงสว่างขนาดนี้?”
ใต้เท้าสังฆราชคิดแล้วคิดอีก พูดด้วยความลังเลเล็กน้อย “อาจจะ เขากำลังใช้วิธีรวบรวมดวงดาวในการทะลวงอเวจีต่อ?”