ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 231 หินสีดำที่ลึกลับ ท้องฟ้าดวงดาวที่สมบูรณ์แบบ

ขนาดผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างใต้เท้าสังฆราชเช่นนี้ ยังไม่สามารถยืนยันสถานการณ์ของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่าการบำเพ็ญของเฉินฉางเซิงตั้งแต่แรกก็ไม่เหมือนใคร เดินทางที่ไม่เคยมีใครเดินมาก่อน ฝ่าฝืนความรู้ปกติหรือที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ในการบำเพ็ญหลายครั้งแล้ว มีหลายจุดที่ไม่น่าเชื่อและมหัศจรรย์

ตอนที่เขายังชำระกระดูกไม่สำเร็จ ก็เริ่มถอดจิตบำเพ็ญด้วยตัวเอง จึงเกือบตาย วิญญาณกลับคืนสู่ท้องฟ้าดวงดาว ตอนที่เขาได้รับความช่วยเหลือจากมังกรดำ หลังผ่านด่านอันตรายไปได้ เผชิญหน้ากับสถานการณ์อับจนหนทางในการสอบใหญ่ ทะลวงอเวจีในฝนฤดูใบไม้ร่วง แท้จริงแล้วตอนที่เขานึกว่าตัวเองกำลังนำแสงดาวชำระกระดูก ความจริงแล้วเขากำลังทะลวงอเวจีอยู่ตลอดเวลา

เหมือนกับทารกคนหนึ่ง ในตอนที่ยังเดินไม่เป็น ก็เริ่มพยายามลองวิ่งแล้ว ยังไม่ได้เรียนรู้การพูดคำก็เริ่มท่องคัมภีร์ลัทธิเต๋า ตอนที่ขนาดกระบี่ก็ยังไม่มีแรงยก ก็เริ่มพยายามลองเรียนรู้ว่าต่อสู้อย่างไร นี่แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ความจริงแล้วก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน ถ้าไม่ใช่ว่าได้เจอกับปาฏิหาริย์ต่อเนื่อง เขาตายไปนานแล้ว

แสงดวงดาวตกทอดลงบนสุสานเทียนซู ส่องสว่างทุ่งหญ้าทุ่งนี้จนราวกับพรมขนแกะ ขาวราวกับหิมะ เฉินฉางเซิงนั่งอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นแท่งนั้น ตาปิดอย่างสนิททั้งสองข้าง สมองและท้องฟ้าดวงดาวส่องสว่างซึ่งกันและกัน ฟ้าดินและกายรวมตัวกันอย่างไม่หยุดหย่อน ดวงดาวจำนวนมากในท้องฟ้าค่ำคืนมองลงมายังตัวเขา มองเขาผู้ที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีแต่เริ่มรวบรวมดวงดาวก่อน

ลมหายใจที่เขาแผ่กระจายออกมาค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไปยังฟ้าดินที่อยู่รอบข้างอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับตอตัดของแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นที่แหลมดั่งกระบี่แทงไปยังท้องฟ้าค่ำคืน ความสว่างดวงดาวที่ไม่สามารถมองเห็นได้มาพร้อมกับแสงดวงดาวที่สดใสเหล่านั้นตกลงบนชายคา ตกลงบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ตกลงบนร่างกายของเขา ไหลเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งลมกลางคืนเหน็บหนาวหลายสาย

ถ้าเขาสามารถทะลุผ่านด่านสำคัญนี้ไปได้ อนาคตแน่นอนย่อมไร้ขีดจำกัด

ตามสายลมกลางคืนที่หนาวเย็นเล็กน้อย หลายคนมาถึงนอกสุสานเทียนซู

หกหัวหน้าใหญ่ของนิกายหลวงมาแล้ว เหมยหลี่ซายืนอยู่ด้านหน้าสุด

หัวหน้าตระกูลของตระกูลเทียนไห่มาแล้ว

จินอวี้ลวี่มาแล้ว

เหมาชิวอวี่มาแล้ว

ม่ออวี่ก็มาแล้ว

พวกเขาไม่ได้เข้าสุสาน ใช้จิตสัมผัสอันยิ่งใหญ่ สอดส่องเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นอย่างเงียบขรึม

ระยะห่างของเฉินฉางเซิงกับการฝ่าทะลุด่านสำคัญด่านนั้น ยังห่างอยู่อีกระยะหนึ่ง

แต่ไม่มีใครรู้ว่า เขาจะสามารถฝ่าทะลุได้สำเร็จหรือไม่ แม้จะสำเร็จ จะสามารถฝ่าทะลุถึงระดับไหน

ในร่างกายของเขา ประตูของแดนลี้ลับค่อยๆ เปิดออก น้ำใสจำนวนมากที่ห่อหุ้มบรรพตแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กำลังเคลื่อนไหวไหลเวียนอย่างไม่หยุดหย่อน ท่าทีของน้ำยิ่งมายิ่งเร็ว เกิดน้ำวนจำนวนมาก พาใบไม้ร่วงของบนถนนภูเขาเต้นรำไปทั่วโจมตีบันไดหินที่หน้าประตูนั่นอย่างไม่ยอมหยุด แม้จะเงียบงันไร้สุ้มเสียง กลับใจหายใจคว่ำ

แดนลี้ลับอยู่ในบรรพตแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ บรรพตแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในทะเลสาบที่ละลายมาจากแสงดวงดาว

แสงดวงดาวไหลเข้าไปในร่างกายเขายิ่งมายิ่งเยอะ ทะเลสาบแห่งนั้นก็ยิ่งมายิ่งไม่จำกัด ค่อยๆ กลายเป็นราวกับเอ่อล้นมหาศาล

ทำนบมีโอกาสพังถล่มอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นทะเลสาบในช่องว่างแห่งความฝัน ไม่มีเขื่อนกั้นทะเลสาบ

เส้นแสงจำนวนมากสะท้อนไปมาในทะเลสาบ ตามการเคลื่อนไหวของคลื่นน้ำทะเลสาบ แข็งตัวช้าเร็ว ค่อยๆ รวมตัวกัน กลายเป็นจุดแสงระยิบระยับ ราวกับดวงดาว

ดวงดาวมากมายที่ท้องฟ้าค่ำคืน ปรากฏอยู่ในจิตสำนึกของเฉินฉางเซิง จากนั้นปรากฏอยู่ในทะเลสาบ ตำแหน่งของดาวทุกดวง ไม่คลาดเคลื่อนสักนิด

เพียงแต่ท้องฟ้าดวงดาวแห่งนี้ให้ความรู้สึกยังสมบูรณ์แบบไม่พอชนิดหนึ่งอยู่เสมอ เหมือนกับส่วนไหนยังขาดอะไรไปบางอย่าง

ท้องฟ้าดวงดาวแห่งนี้คือแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบเจ็ดแผ่นของหน้าสุสาน

แต่หน้าสุสานเดิมมีแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบแปดแผ่น

แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นสุดท้ายหักสะบั้นไปแล้ว แน่นอนว่าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน

ถ้าท้องฟ้าดวงดาวแห่งนี้ไม่สามารถเติมเต็ม ฉะนั้น ทุกอย่างก็คงไม่ต้องพูดถึง

……

……

ในสนามพระราชวังหลี ใต้เท้าสังฆราชมองไปยังทิศของสุสานเทียนซู ยื่นมือรับแสงดวงดาวที่ตกทอดลงมาจากท้องฟ้าค่ำคืน เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ถ้าแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนั้นยังอยู่ก็คงดี”

บนแท่นกานลู่ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองท้องฟ้าค่ำคืน สีหน้าคิดอย่างไม่แยแส แผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นหายไป สุสานเทียนซูในปัจจุบันจะยังคงเป็นอย่างสุสานเทียนซูในอดีตได้อย่างไร?

หลายปีที่แล้ว โจวตู๋ฟูวันเดียวดูครบสิบแปดแผ่นป้ายอนุสรณ์ จากนั้นเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง ไม่อยากให้คนอื่นเหมือนเขา จึงเอาแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นหนึ่งไปด้วย

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา จึงมีชื่อเรียกว่าสิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสาน

หลายปีผ่านมา เฉินฉางเซิงเป็นคนที่ใกล้เคียงกับผู้อ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์ของหน้าสุสานจนหมดที่สุด

ปัญหาอยู่ที่ เขาไม่อาจเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่หายไปแผ่นนั้น ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงเข้าใกล้ความจริงอย่างไร้ขีดจำกัดตลอดกาล กลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความจริง

……

……

มองท้องฟ้าดวงดาวที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างในทะเลสาบ ด้วยความสามารถของเฉินฉางเซิง สามารถสังเกตและรู้สึกได้ว่าท้องฟ้าค่ำคืนแห่งนี้ไม่สมบูรณ์

เขารู้ว่าสิ่งที่ขาดหายไป ก็คืออักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น

เขาคิดวิเคราะห์อย่างเงียบขรึม ไม่สามารถเข้าใจมันได้ จิตวิญญาณล่องลอยหมื่นลี้ ไม่พบแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนั้น

อย่างเชื่องช้า จิตวิญญาณของเขายิ่งมายิ่งวุ่นวาย จนกระทั่งมีความสับสนอลหม่านเล็กน้อย

และในเวลานี้ กระบี่สั้นที่อยู่ข้างเอวของเขาด้ามนั้นเกิดสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง!

……

……

หินสีดำก้อนหนึ่งปรากฏอยู่บนที่ราบเรียบรกร้าง

ที่ราบร้างปกคลุมด้วยหิมะ หิมะเหล่านั้นก็คือแสงดวงดาว

เฉินฉางเซิงตอนนี้ไม่ว่าวัตถุหรือตัวตนก็ลืมเลือนไปแล้ว ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่รู้การเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง

ทะเลสาบที่ใสสะอาดแห่งนั้น ดูดเก็บเส้นแสงจำนวนมากในท้องฟ้า หล่อหลอมเส้นแสงจำนวนมาก สว่างไสวอย่างสุดจะเปรียบ

ถ้ามองจากข้างบนของน้ำทะเลสาบลงไปยังด้านล่าง ทะเลสาบแห่งนี้ เหมือนกับลูกแก้วที่ใหญ่มากลูกหนึ่ง

พื้นผิวน้ำที่เป็นเส้นโค้งเกลี้ยงเกลาอย่างยิ่ง สามารถขยายสิ่งของได้

ในหอหลิงเยียน ตอนที่เฉินฉางเซิงสัมผัสหินสีดำก้อนนั้น เคยมีประสบการณ์จิตวิญญาณลอยออกนอกสิ่งของ เขารู้ว่าหินสีดำไม่ใช่สิ่งของธรรมดาแน่ๆ กระทั่งอาจเป็นส่วนสำคัญในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา เขาเคยทำการสังเกตอย่างละเอียด ตั้งแต่แรกจนจบกลับไม่สามารถหาจุดเด่นบนหินสีดำนี้ได้

ก้อนหินสีดำนี้ไม่ใหญ่ สามารถกำด้วยมือเดียว อบอุ่นเกลี้ยงเกลา บนพื้นผิวไม่มีแม้แต่ริ้วรอยเล็กละเอียดสักเส้นหนึ่ง

ถ้าเขาลืมตาตอนนี้ คงต้องตกใจมากแน่ๆ

ที่จริงแล้วมีเพียงแต่การขยายอีกหลายเท่า ถึงจะสามารถเห็นลวดลายที่ละเอียดมากจำนวนมหาศาลบนหินสีดำ

ลวดลายเหล่านั้นซับซ้อนมาก ราวกับร่องรอยของสายน้ำ ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ เป็นไปไม่ได้ที่เป็นการแกะสลักโดยมือมนุษย์

ถ้ามองไปอย่างละเอียด อาจจะสามารถสังเกตเห็นถึงเส้นสายเหล่านั้น ก็เหมือนกับอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์บนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์!

……

……

หินดำจู่ๆ ก็สว่างขึ้นมา เหมือนกับตอนที่อยู่ในหอหลิงเยียน

เส้นสายที่ละเอียดเหล่านั้นบนพื้นผิวของหินดำ พลันสว่างตามขึ้นมา

สะท้อนเงาลงในทะเลสาบ กลายเป็นเส้นแสงอันโชติช่วง

จากนั้น เส้นแสงเหล่านี้ก็เหมือนกับแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ หล่อหลอมหดตัวอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นจุดแสงจำนวนมาก

ทุกๆ จุดแสงล้วนเป็นดวงดาวดวงหนึ่ง จุดแสงจำนวนมหาศาลรวมอยู่ในที่ที่หนึ่งก็จะเป็นท้องฟ้าดวงดาวแห่งเล็กแห่งหนึ่ง

ท้องฟ้าดวงดาวที่ไม่สมบูรณ์ ก็ถูกเติมเต็มเช่นนี้

เสียงตูมดังขึ้นคราหนึ่ง!

ห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงสั่นสะเทือนอย่างหนัก

ดวงดาวจำนวนมากในทะเลสาบ ปล่อยแสงมากมายในเวลาเดียวกัน สุดท้ายรวบรวมเป็นเสาแสงหยาบๆ วงใหญ่สายหนึ่ง ตกทอดลงบนประตูบานใหญ่ของแดนลี้ลับ

สองสามวันก่อนในหอชำระธุลี ประตูแดนลี้ลับของเขาถูกเปิดครึ่งหนึ่ง ในที่สุดก็เปิดอย่างเต็มที่ภายใต้การโจมตีของแสงดวงดาวในคืนนี้!

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset