แสงดาวที่ตกทอดลงบนสุสานเทียนซูและแสงดาวที่ตอนนี้ไหลเต็มในแดนลี้ลับของเฉินฉางเซิงส่องสว่างซึ่งกันและกัน แสงดาวตกลงบนตัวเขาและบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น ราวกับหิมะ จิตสัมผัสของเขาวนตามลมหิมะ ไม่รู้ไปที่ไหน นอกจากนี้แสงดาวก็ตกลงบนที่อื่น อย่างเช่นแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า เส้นสายเหล่านั้นบนผิวหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ยิ่งมายิ่งสว่าง ระยิบระยับเป็นครั้งคราว ราวกับมีน้ำสีเงินยวงไหลอยู่ด้านใน
ไม่เจอแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า แต่กลับเจออักษรบนแผ่นป้ายอนุสรณ์ ท่ามกลางความไม่รู้เนื้อรู้ตัว ปราณแท้ของเฉินฉางเซิงราวกับน้ำสีเงินยวงเหล่านั้นไหลอยู่บนอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ เริ่มไหลในเส้นลมปราณ แม่น้ำลำคลองที่เดิมแห้งขอดเล็กน้อยเหล่านั้น ตามการมาถึงของความชื้นจากปราณแท้ ค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้นมา ในที่สุด น้ำใสเหล่านั้นก็ไหลตกลงไปในเหวที่อยู่ข้างล่างของหน้าผา ดูเหมือนจะคล้ายในกาลก่อน ในความคลุมเครือกลับมีความหวังบางอย่างเพิ่มขึ้นมา
ไม่ว่าเหวจะลึกมองไม่เห็นก้นอย่างไร เพียงแต่จากการไหลของน้ำที่เทลงไปไม่มีวันหมด เช่นนั้นคิดว่าคงจะมีสักวันที่สามารถเติมเต็มได้?
แสงดาวก็ตกลงบนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สองเช่นกัน เส้นสายปรากฏชัดเจนแต่สว่างมืดไม่แน่นอน ราวกับจิตวิญญาณลอยอยู่ในท่ามกลางห้วงฝัน ยากที่จะวัดตำแหน่งของมัน จิตวิญญาณของเฉินฉางเซิงก็ขยับตามไปด้วย ไปยังข้างแม่น้ำสายหนึ่งที่อยู่ภายนอกหมื่นลี้ จู่ๆ ก็กลับมายังหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร ระหว่างไปกลับ กฎเกณฑ์บางอย่างที่ยากจะอธิบายสลักลงบนจิตวิญญาณของเขาแล้ว
แสงดาวตกลงบนสิบเจ็ดแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ของหน้าสุสาน วิธีแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์มากมายที่เคยสังเกตโดยนักปราชญ์เก่าจำนวนมาก ตกลงราวกับหิมะ ล่องลอยเหมือนใบไม้ ทั้งหมดปรากฏผ่านในสมองความทรงจำของเขา จากนั้นเริ่มเกิดการใช้ให้เกิดประโยชน์ในร่างกายเขา เส้นลมปราณของเขาได้รับความชุ่มชื้นที่ไม่เคยได้รับมาก่อน จิตวิญญาณของเขาได้รับการหล่อเลี้ยงที่ไม่เคยได้รับมาก่อน ลมหายใจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เวลาค่อยๆ ไหลผ่าน เขาหลับตาอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น รอคอยการมาถึงของช่วงเวลานั้น
……
……
แสงดาวส่องสว่างเมืองจิงตู แท่นกานลู่ยังคงแผดเผา เพียงแต่เส้นแสงที่ส่องกระจายออกมานั้นหนาวเย็น ราวกับเปลวเพลิงน้ำแข็ง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟน้ำแข็งที่งดงามจนยากจะพรรณนา มองไปยังทิศของสุสานเทียนซูแล้วเงียบขรึมไม่เปล่งวาจา แผ่นป้ายอนุสรณ์ก้อนนั้นไม่ได้อยู่ในสุสานเทียนซูมานานแล้ว เหตุใดเฉินฉางเซิงกลับยังเติมเต็มท้องฟ้าดวงดาวแห่งนั้นได้?
สุสานเทียนซูปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงดาวที่เป็นราวกับหิมะ จตุรทิศรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบทั่วบริเวณ กลุ่มคนวัยเยาว์อย่างโก่วหานสือ จวงห้วนอวี่ และถังซานสือลิ่วที่เป็นผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองน้ำสีเงินยวงที่ไหลเคลื่อนอยู่ในเส้นสายบนผิวหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้น มีสีหน้าแตกต่างกันไป พวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่าแท้จริงแล้วคืนนี้เกิดเรื่องอะไร รู้เพียงว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิงเป็นแน่
โก่วหานสือจู่ๆ ก็เงยศีรษะ มองไปยังเขตแดนดวงดาวที่สลับซับซ้อนทางมุมตะวันออกเฉียงใต้แห่งนั้น สักพักก็ยกเท้าเดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เจ๋อซิ่วเดินตามหลังติดๆ เข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ จากนั้น ถังซานสือลิ่ว และกลุ่มคนชีเจียนก็มิได้ลังเลใดๆ ตามเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เช่นกัน จากนั้นก็หายไป ไปยังหน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่เป็นของตัวเอง
พวกเขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสุสานเทียนซูคืนนี้ถึงสว่างจนเหมือนตอนกลางวัน
พวกเขาสังเกตได้อย่างชัดเจนว่า แสงดาวในคืนนี้เข้มข้นกว่าวันปกติมาก แม้กระทั่งดาวโชคชะตาของพวกเขาเอง ก็มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ราวกับกำลังรอคอยตนเองอยู่ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียร จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร โดยเฉพาะคนส่วนมากในนั้น ที่หลังจากชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยี่สิบกว่าวัน ล้วนมาถึงเวลาสำคัญที่จะทะลุระดับขั้น ต้องคว้าโอกาสและเวลาไว้ทั้งหมด
และในเวลานี้ขณะที่กลุ่มคนโก่วหานสือเดินเข้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ หลังจากที่หายไปจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าไม่นาน ในภูเขาจู่ๆ ก็มีเสียงนกหวีดลากยาวชัดเจนอย่างยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้นมา!
เสียงนกหวีดที่ชัดเจนนี้ มาจากหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา
สามคำโคลงแห่งแดนเทพเหลียงเสี้ยวเซียวยืนอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สีหน้าเย็นชาเหมือนปกติทุกวัน เพียงแต่มือขวาสั่นเล็กน้อย เผยให้เห็นความตื่นเต้นในใจเขาตอนนี้
หลังจากที่ทะลุระดับขั้นเมื่อหลายเดือนก่อน ระดับขั้นของเขาได้หยุดลงชนิดที่ไม่ก้าวหน้า การชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็หยุดลงมาเช่นกัน แต่คืนนี้ เขายืมแสงดาวแห่งนี้ ไม่คิดว่าจะทะลุไปถึงกลางขั้นของขั้นทะลวงอเวจี!
ที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกหลังหนึ่ง
ถังซานสือลิ่วเอาแผงยาที่หลายวันก่อนเฉินฉางเซิงให้เขาออกจากบริเวณอก เอายาเม็ดออกจากแผงยา ส่งให้เจ๋อซิ่วที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเอายาเม็ดที่เหลือกลืนลงท้องทั้งหมด จากนั้นก็หลับตาลงสองข้าง
เจ๋อซิ่วมองเขาปราดหนึ่ง กลืนลงท้องไปเช่นกัน
โก่วหานสือมองสองคนนั้นปราดหนึ่ง เอายาที่พรรคกระบี่หลีซานเตรียมไว้ให้ แบ่งให้กวนเฟยไป๋และเหลียงปั้นหู ไม่หยุดรอต่อไปอีก ไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลังต่อไป เอายาเม็ดที่เหลือให้ชีเจียน ถึงจะจากไปอย่างผ่าเผย
ที่นี่เป็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สาม แผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร
ตอนนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลิ ในภูเขายังไม่มีดอกหอมหมื่นลี้ มองไม่เห็นเหล่ากลีบดอกเบญจมาศเหลือง กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้อันหอมหวนอบอวลที่ถังซานสือลิ่วเกลียดที่สุดก็ไม่อาจได้กลิ่น
แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร จู่ๆ ก็เกิดกลิ่นหอมดอกไม้อย่างเข้มข้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นหอมจากยาเม็ดที่ฟุ้งกระจายเพราะถูกปราณแท้ของเหล่าหนุ่มสาวอัจฉริยะนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์บดสลายหรือไม่
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ
บังเกิดเสียงที่ละเอียดมากแต่มีความสะเทือนขวัญเล็กน้อยดังขึ้นจากในร่างกายของเจ๋อซิ่ว!
เสียงเหล่านั้น ราวกับกระดูกทั้งหมดของเขาแตกสลาย
ต่อจากนั้น มีเสียงน้ำเดือดดังขึ้นจากในร่างกายเขา
ต่อมา มีเสียงน้ำเดือดยิ่งมายิ่งเยอะดังขึ้นรอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เหล่าชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิหลับตาทะลุระดับขั้นอยู่นอกกระท่อม ร่างกายค่อยๆ ถูกล้อมรอบด้วยไอหมอกสีขาว
นั่นเป็นเสียงเผาไหม้ของปราณแท้แสงดาว เสียงที่เหล่าบรรพตแห่งจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แดนลี้ลับถูกผลักเบาๆ อย่างไม่หยุดหย่อน!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ถังซานสือลิ่วลืมตาขึ้น!
อารมณ์ขันที่นัยน์ตาในวันปกติของเขาหายไป เหลือเพียงความเคารพนับถือและสงบนิ่ง เงียบขรึมไร้ใดเปรียบ
ส่วนลึกสุดของตาดำ ราวกับยังมีประกายแสงที่เผาไหม้ของแสงดาวหลงเหลืออยู่!
นี่แสดงว่าแดนลี้ลับของเขาได้เปิดออกแล้ว
ถังซานสือลิ่วทะลวงอเวจีแล้ว!
กวนเฟยไป๋ก็ลืมตาสองข้าง ถอนลมหายใจเบาๆ อย่างว้าวุ่น ไอร้อนลอยกระจายออกจากริมฝีปาก
เหลียงปั้นหูลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง มองไปยังรอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ บนใบหน้ามีความปีติอย่างโง่งมเล็กน้อย แสดงออกถึงความสงบสุขอย่างยิ่ง
สองศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซานทะลวงอเวจีแล้ว!
ต่อจากนั้น ซูม่ออวี่ทะลวงอเวจีแล้ว!
ศิษย์พี่สาวเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นทะลวงอเวจีแล้ว!
สานุศิษย์ของสำนักเด็ดดาราทะลวงอเวจีแล้ว!
นักเรียนหนุ่มสองคนของสำนักต้นไหวทะลวงอเวจีแล้ว!
นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์ทะลวงอเวจีแล้ว!
หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร ชีเจียนทะลวงอเวจีแล้ว!
หน้าสุสานของสุสานเทียนซู ทุกคนทะลวงอเวจีแล้ว!
……
……
แสงดาวตกลงบนสุสานเทียนซู ราวกับหิมะ
บางคนตอนทะลุถึงระดับขั้นทะลวงอเวจี การไหลเวียนนอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ถูกรบกวน แสงดาวที่ราวกับหิมะเหล่านั้นเกิดการแตกสลายเล็กน้อย กระจายออกราวกับดอกไม้ งดงามไปอีกแบบหนึ่ง
ถังซานสือลิ่วยืนอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์ ถูนิ้วมือเบาๆ ดมกลิ่นดอกไม้ที่หอมเอียน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าดอกหอมหมื่นลี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกยากที่จะยอมรับขนาดนั้นอีก
แสงดาวตกทอดบนตัวของเขา ราวกับน้ำที่พุ่งออกมา กระจายไปยังในท้องฟ้าค่ำคืน
ในที่ไม่ไกล ที่ที่เหลียงปั้นหูและกวนเฟยไป๋ยืนอยู่ ก็มีลำแสงยิงขึ้นไปยังท้องฟ้าค่ำคืนเช่นกัน
นอกกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์หนึ่งเหนือราชันย์ แสงดาวสิบกว่าสายยิงขึ้น เงาคนยืนอยู่ตรงกลาง
ภาพที่เหมือนกัน ยังปรากฏอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนหลายหลังหน้าสุสานของสุสานเทียนซู
สุสานเทียนซูภายใต้แสงค่ำคืน ป่าไม้แน่นขนัด แม้จะถูกคลี่คลุมด้วยแสงดาว ก็ยังมีความอึมทึมเล็กน้อย
กลางภูเขาสุสานในตอนนี้ แสงดาวนับหลายสิบเส้นส่องยิง ทุกที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีเงินยวง งดงามเกินบรรยาย
ถังซานสือลิ่วมองไปยังเจ๋อซิ่ว
แสงดาวที่ขาวราวหิมะส่องจนหน้าของเขาขาวซีดกว่าเดิม แดงออกมาบ้างเป็นบางครั้ง เป็นสัญญาณของแรงกระตุ้นเฉียบพลัน
ปราณแท้ของเขาถูกเฉินฉางเซิงใช้เข็มควบคุมไว้ ก่อนหน้านี้ยังกินยาไปเยอะมาก อันตรายยิ่ง
นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมเมื่อเทียบกับผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คนอื่นแล้ว เขาไม่ทะลวงอเวจีสักที
อีกสาเหตุหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเพราะเขามีสายเลือดพรสวรรค์ของเผ่าปีศาจ
จู่ๆ ก็ได้ยินเพียงเสียงลมที่โหยหวนนับหลายเสียง
บนชายคามีร่องรอยมีดที่สลักลึกปรากฏขึ้นมา
ปลายนิ้วของเจ๋อซิ่ว งอกกรงเล็บที่แหลมคม ปรากฏแสงสีทองออกมา
บนใบหน้าของเขามีขนสีเทางอกออกมาจำนวนมาก ดวงตากลายเป็นสีแดงสด ให้ความรู้สึกคาวโลหิต
จู่ๆ ลมหายใจสายหนึ่งออกมาจากในร่างกายของเขา
เขาเงยหน้าขึ้น ออกเสียงหอนขึ้นมาหนึ่งเสียง!
โบร๋ววว!
ในเสียงหอนที่โหยหวนนี้ เต็มไปด้วยความไม่ยอมและโมโห เป็นไปด้วยดูถูกและความทะนง
เสียงหอนนี้ของเขา เป็นการพูดกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ยิ่งพูดกับกลุ่มสว่างที่อยู่ทางเหนืออันไกลโพ้นว่า
ข้าชนะแล้ว!
……
……
ในสุสานเทียนเทียนซู แสงดาวตกลงบนตัวของเหล่าหนุ่มสาวที่ทะลุระดับขั้นไปยังทะลวงอเวจี ยิงส่องแล้วก็หายไป ราวกับดอกไม้ไฟ สวยงามยิ่งนัก
ถ้ามองจากนอกสุสาน กลับยิ่งเหมือนสุสานเทียนซูทั้งแห่งกำลังจุดพลุอย่างไม่หยุดหย่อน
ภาพยังคงสวยงาม กลับยิ่งสะเทือนใจคน
ณ ศาลาร่มเย็นที่อยู่ข้างหน้าสุดของถนนเสินของสุสานเทียนซูแห่งนั้น
รอบๆ ศาลาเต็มไปด้วยคลอง ในคลองมีน้ำใสไหลอยู่
น้ำคลองที่ใสบริสุทธิ์เหล่านี้ในคืนนี้ ก่อนอื่นคือมีหิมะที่ตกลงมาเป็นชั้นหิมะบางๆ จากนั้นถูกพลุไฟจำนวนมากในภูเขาสุสานส่องสว่าง
ใต้ศาลา ชุดเกราะที่เต็มไปด้วยฝุ่น ก็ถูกพลุไฟส่องสว่างเช่นกัน
หมวกเหล็กที่มีสนิม สว่างไสวระยิบระยับ
คนในชุดเกราะตื่นขึ้นมา
เสียงที่ผันผวนอย่างยิ่งเสียงหนึ่ง ส่งออกมาจากในหมวก มีความหดหู่เล็กน้อย
“ถึงฤดูกาลที่ดอกไม้ป่าบานแล้วจริงๆ”
ในฐานะที่เป็นขุนพลเทพอันดับหนึ่งของดินแดนต้าลู่ คนแก่ชราจากไปพร้อมกับแนวหน้าการรบของเผ่ามาร เฝ้าสุสานนับร้อยปี สิ่งที่เฝ้ารอก็คืออนาคตของเผ่ามนุษย์ พอเขาเห็นถึงพลุไฟบนสุสานเทียนซูในคืนนี้ แน่นอนว่าชื่นใจ จากนั้นขอบคุณสองคนในใจอย่างเงียบๆ คนหนึ่งชื่อสวินเหมย คนหนึ่งชื่อเฉินฉางเซิง
เหล่าผู้มีอิทธิพลนอกสุสานเทียนซู จะมาดูเฉินฉางเซิง ไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพที่ทำให้สะเทือนใจขนาดนี้โดยสิ้นเชิง
ในหนึ่งคืน ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลายสิบคนรวมตัวกันทะลวงอเวจี!
ภาพเช่นนี้ ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีมาก่อน
ในป่านอกสุสานเงียบเหงาไปทั่ว นานๆ ทีจะมีเสียงถอนหายใจยาวเหยียดสองสามเสียงดังขึ้นมา
พลุไฟค่อยๆ เงียบ แสงดาวค่อยๆ มืด สุสานเทียนซูค่อยๆ กลับมาเหมือนเดิม
นิกายหลวง ราชสำนัก รวมถึงเหล่าผู้มีอิทธิพลของสำนักพรรคต่างๆ เข้าสุสานเทียนซูเป็นกรณีพิเศษ รอคอยที่ใต้สุสาน
ผู้บำเพ็ญวัยเยาว์ที่ทะลุระดับขั้นในคืนนี้มีมากเกินไป บางคนทะลุถึงขั้นอเวจี บางคนเข้าสู่กลางขั้นของขั้นทะลวงอเวจี ยังมีคนรวบรวมดวงดาวสำเร็จ! สำหรับเผ่ามนุษย์แล้ว อย่างไม่ต้องสงสัย นี่เป็นค่ำคืนที่เก็บเกี่ยวได้อย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องจัดการเรื่องภายหลังด้วยตัวของพวกเขาเอง ไม่ยอมให้เกิดปัญหาใดๆ ในเวลานี้
……
……
เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมา สังเกตเห็นว่าตัวเองนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น มองท้องฟ้าไปปราดหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก ยืนยันว่ายังเป็นยามห้า
เป็นเวลาก่อนหน้ารุ่งสาง
เขายืนขึ้นมา เดินตามทุ่งหญ้าไปยังข้างหน้าผา
น้ำตกทางใต้หน้าผายังคงมีเสียงที่ทำให้คนใจหายใจคว่ำ
เขาไม่มีเหงื่อ ไม่มีความรู้สึกที่เหนื่อยล้า ไม่มีความปวดเนื้อเมื่อยตัว ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
แต่เขารู้ว่า มีเรื่องราวมากมายได้เกิดขึ้นแล้ว
ก่อนรุ่งสางนั้นมืดมากที่สุด แสงดาวไม่พอที่จะส่องสว่างจิงตูที่อยู่ไกล
แต่ในสายตาเขา จิงตูนั้นชัดเจนเช่นนี้ ทุกตรอกซอย กระทั่งต้นไทรย้อยใหญ่ของสำนักฝึกหลวงล้วนราวกับอยู่เบื้องหน้าตนเอง
แสงอรุณค่อยๆ มาเยือน แต่ละแสงค่อยๆ กลบท้องฟ้าดวงดาว
แต่เขารู้ว่าดวงดาวเหล่านั้นทั้งหมดยังคงอยู่บนหัว
เขาสามารถรู้สึกถึงดาวโชคชะตาของตัวเองดวงนั้นอย่างแจ่มแจ้ง
นี่เป็นครั้งที่เขารู้สึกถึงดาวโชคชะตาของตัวเองในเวลากลางวัน
พระอาทิตย์ออกมาจากเส้นระนาบ
เส้นแสงสีแดงที่อบอุ่น ตกลงบนใบหน้าของเขา
ไม่รู้ว่าทำไม
พูดไม่ถูกว่าทำไม
เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนสุสานเทียนซูเกิดภาพที่สวยงามเช่นนั้น
เขาไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้ที่อยู่ขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจีที่วัยเยาว์มากที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่เขากลับรู้สึกซาบซึ้งมาก