เฉินฉางเซิงมองลั่วลั่วถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ใจอ่อนหมายความว่าอะไร?”
ลั่วลั่วมองเขาแล้วถอนหายใจ พูดว่า “สวีโหย่วหรงเป็นผู้สืบทอดของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ได้รับความรักใคร่จากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งโชคดีคุ้มครองถึงบิดานาง และหลังการสอบใหญ่ ทุกคนล้วนรับรู้ว่าอาจารย์ท่านเป็นคนที่ใต้เท้าสังฆราชเลือก สถานการณ์ในตอนนี้ ท่านและนางแน่นอนว่าเป็นคู่ต่อสู้”
เฉินฉางเซิงยังคงไม่เข้าใจ ใจคิดว่าตอนออกจากสุสานเทียนซู โก่วหานสือยังเคยพูด คู่ต่อสู้ก็ไม่ได้หมายความว่าดูแลซึ่งกันและกันไม่ได้ จะมีการใจอ่อนในที่นี้ได้อย่างไร?
ลั่วลั่วพูดต่อว่า “ในสวนโจวไม่ว่าจะมีสมบัติของโจวตู๋ฟูหรือไม่ หรือวิทยายุทธ์ศักดิ์สิทธิ์อื่น สุดท้ายแล้วตกอยู่ในมือใคร ยังคงต้องดูว่าใครลงมือได้เร็วกว่ากัน ความสามารถแข็งแกร่งกว่ากัน”
เฉินฉางเซิงใจคิดว่าถ้าถังซานสือลิ่วอยู่ในสถานการณ์ด้วย คิดว่าคงจะตอบว่าไม่ใช่ว่าใครมีศีลธรรมมากกว่าคนนั้นได้ นึกถึงสีหน้าอารมณ์ของเจ้านั่น ก็อดหัวเราะออกมามิได้
ดวงหน้าเล็กๆ ของลั่วลั่วเข้มงวดขึ้นมา พูดว่า “อาจารย์ ท่านตั้งใจหน่อยได้ไหม? ข้าไม่ได้พูดล้อเล่น”
เฉินฉางเซิงรีบขอโทษ ถามว่า “อยู่ในสวนโจวสามารถแย่งชิงกันเองได้ด้วยหรือ?”
ลั่วลั่วพูดว่า “เพียงแค่ไม่เกิดการเสียชีวิตขึ้น ไม่ว่าใครก็พูดอะไรไม่ได้ ฉะนั้นถึงบอกว่าห้ามใจอ่อน”
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก พูดต่อว่า “แล้ว?”
“อาจารย์ท่านเป็นคนนึกถึงความรู้สึกเก่ามากๆ อีกทั้งเมื่อเจอเด็กผู้หญิงก็จะทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย” ลั่วลั่วมองเขาแล้วพูดอย่างตั้งใจว่า “อาจารย์หญิงและท่านมีความหลังเก่าๆ ทั้งยังเกิดมางดงามปานนั้น ข้าเกรงว่าในสวนโจว หลังท่านพบเจอนาง ไม่ต้องให้นางทำอะไร เพียงแค่พูดประโยคหนึ่งด้วยเสียงอ่อนโยน ท่านก็ศิโรราบยอมเชื่อฟังนางทุกอย่าง”
เฉินฉางเซิงใจคิดว่าขนาดสวีโหย่วหรงหน้าตาเป็นอย่างไรตัวเองยังไม่ทราบ อีกทั้งยังจะมีความหลังเก่าๆ อะไรนั่น รู้สึกไม่ค่อยยอม พูดว่า “ผู้ชายที่เจ้าบรรยายถึงทำให้ผู้คนโมโหขนาดนี้ จะเป็นข้าได้อย่างไร?”
ลั่วลั่วนึกถึงในตอนนั้น เพียงแค่ตนงอแงนิดหน่อย ท่านก็ไม่มีปัญญาจัดการกับตัวเองจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว เวลานี้กลับปากแข็ง เพียงแต่นึกถึงศักดิ์สถานะ นางก็มิได้โจมตีทะลุเกราะป้องกันที่ไม่แข็งแกร่งของเฉินฉางเซิงโดยตรง กล่าวแนะนำว่า “อย่างไรก็แล้วแต่ท่านต้องจำไว้ เด็กผู้หญิงยิ่งสวยยิ่งหลอกคนเป็น”
เฉินฉางเซิงมองนาง พูดพลางหัวเราะว่า “แล้วเด็กผู้หญิงสวยๆ อย่างเจ้าเหตุใดถึงไม่เคยโกหกข้า?”
ลั่วลั่วอึ้งเล็กน้อยก่อน จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา ดันเขาทีหนึ่ง พูดอย่างดีใจว่า “อาจารย์ ท่านอยู่กับถังถังนาน ยิ่งมายิ่งพูดเป็นแล้ว”
มองดูแล้วเหมือนนางจะมีความสุข จริงๆ แล้วประหม่าเล็กน้อย ใจคิดว่าถ้าอาจารย์รู้ว่าจริงๆ แล้วตนเองวัยเดียวกับอาจารย์ จะเข้าใจว่าตนเองหลอกเขามาตลอดหรือไม่?
เพราะว่าประหม่า กำปั้นที่ออดอ้อนจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะควบคุมกำลังไม่ค่อยดี ก้านไม้หลังฝนลื่นมาก เฉินฉางเซิงเกือบตกลงไป
ลั่วลั่วรีบดึงเขาไว้ ดวงตาหมุนเล็กน้อย รีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว ทำท่าทีที่น่าสงสารออกมา พูดว่า “อาจารย์ ข้าก็อยากทะลวงอเวจี”
เฉินฉางเซิงทนสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้มากที่สุด รู้สึกลนลานเล็กน้อย รีบปลอบใจว่า “ก่อนหน้านี้พูดไปแล้วไม่ใช่หรือ ขั้นทะลวงอเวจีมากมายก็ไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ อย่างเช่นข้า”
ลั่วลั่วนึกถึงเขาที่ต้องเดินทางไกลในอีกไม่นาน ในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถได้ยินคำปลอบใจที่อบอุ่นเช่นนี้อีก ก็เลยทุกข์ใจขึ้นมาจริงๆ พูดว่า “ประเด็นคือไม่สามารถทะลวงอเวจีได้ จึงไม่อาจไปสวนโจวกับอาจารย์ได้”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “ถึงแม้เจ้าทะลวงอเวจี จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราชจะอนุญาตให้เจ้าไปผจญภัยที่สวนโจวจริงๆ หรือ? เสนาธิการจินก็ไม่ยอมแน่ๆ”
ลั่วลั่วถอนหายใจว่า “อาจารย์ คำพูดของท่านนี้ไม่เหมือนคำปลอบใจจริงๆ”
เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดเล็กน้อย พูดว่า “ข้าไม่ถนัดปลอบใจจริงๆ”
“อาจารย์ ถ้าไม่ใช่เพราะจะไปพบอาจารย์หญิง แล้วเหตุใดท่านถึงไปสวนโจว?”
ลั่วลั่วจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างตั้งใจ นางรู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นคนที่รักษาทะนุถนอมเวลามาก ตลอดมาสนใจเรื่องตามใจชอบโดยธรรมชาติ ออกจากสุสานเทียนซูแล้วตรงปรี่ไปสวนโจว การเลือกครั้งนี้ดูอย่างไรก็ล้วนเหมือนกับมีกลิ่นอายของความเร่งรีบ
เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก ยื่นมือลูบหัวของนางไปมา ไม่ได้ทำการอธิบายใดๆ
ลั่วลั่วก็ไม่ได้ถามอีก
ฝนฤดูใบไม้ผลิราวเส้นด้าย ถูกลมทะเลสาบพัดจนล่องลอยไปทั่ว ตกลงบนใบหน้าและร่างกายของพวกเขา เปียกชื้นเล็กน้อย กลับไม่ทำให้ชุ่มโชก เฉินฉางเซิงยื่นมือ เอาปอยผมข้างหน้าดวงตาที่เปียกไปไว้ข้างๆ
ลั่วลั่วมองเขาแล้วยิ้ม
เฉินฉางเซิงก็ยิ้ม
ลั่วลั่วพูดว่า “อาจารย์ อีกสักพักกลับพระราชวังหลีกับข้า ใต้เท้าสังฆราชอยากพบท่าน”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินฉางเซิงปลาสนาการไปทันที
……
……
เวลาพลบค่ำ รถม้าคันหนึ่งออกจากตรอกร้อยบุปผา มาถึงหน้าพระราชวังหลี
ลั่วลั่วอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจและนักบวชของนิกายหลวง เดินตามแนวหอจงซื่อและถนนเสินเส้นที่อยู่นอกสำนักจวนราชวังหลี นั่งรถม้าต่อไปยังตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์
ส่วนเฉินฉางเซิงนั้นอยู่ภายใต้การนำพาของมุขนายกสองคน ตามถนนเสินเส้นที่ไม่เคยเหยียบเดินมาก่อน มุ่งหน้าไปยังโถงหลักของพระราชวังหลี
เศษตะวันดั่งหยาดโลหิต กลับไม่มีความหมายของกองทหารม้าเกราะเหล็ก* เพียงแค่เข้มงวดโอ่อ่า
นักบวชและเหล่านักเรียนที่เดินอยู่บนถนนเสิน ดูออกถึงสถานะของเขา พากันหลีกทางอยู่ข้างหนึ่ง
จนถึงวันนี้ ทั้งต้าลู่ล้วนรู้ว่า นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงที่ปีก่อนวุ่นวายในจิงตูอย่างครึกโครมคนนี้ เป็นคนที่ถูกเลือกโดยใต้เท้าสังฆราช
แน่นอนว่า ตัวเขาเองก็เป็นคนดัง คู่หมั้นของสวีโหย่วหรง อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงชนิดไหน ล้วนมีสิทธิ์ในการถูกต้องรับด้วยสายตานับหมื่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หมดในวันเดียวที่สุสานเทียนซู เมื่อวานยังแช่จิงตูทั้งเมืองอยู่ในแสงดวงดาว
สายตาหลายร้อยมองไปยังเฉินฉางเซิงที่อยู่บนถนนเสิน อารมณ์ในสายตาเหล่านั้นซับซ้อนมาก…สะเทือนใจ นับถือ ชื่นชมอิจฉา กระทั่งมีความเกรงกลัว
ใช่ เขาในตอนนี้ ในที่สุดก็มีสิทธิ์ทำให้คนรู้สึกถึงความเกรงกลัว
ไม่ได้อยู่ที่ระดับขั้นและความสามารถ แต่อยู่ที่พรสวรรค์และเบื้องหลังที่เขาแสดงออกมา
อารมณ์ของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ก็ซับซ้อนมากเช่นกัน
เริ่มตั้งแต่มอบรางวัลการสอบใหญ่ เขาก็รู้ว่าจะต้องมีวันหนึ่งที่จะต้องถูกใต้เท้าสังฆราชเรียกพบ
เพียงแต่เขาคาดไม่ถึงว่า วันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เพิ่งออกสุสานเทียนซู ก็มาถึงพระราชวังหลี นี่ทำให้เขาเตรียมตัวไม่ทันเล็กน้อย เขาคิดอย่างตื่นเต้น หลังจากนี้ควรถามคำถามอะไรถึงมั่นใจว่าจะได้รับคำตอบแน่นอน แล้วไม่ถูกไม้สังฆราชตีตาย
เดินอยู่ในท่ามกลางสายตาจำนวนมาก นี่ทำให้ถนนเสินดูคล้ายยาวนาน ก่อนหน้านี้เขารู้สึกไม่ค่อยชิน ตอนนี้กลับขอบคุณมาก เพราะว่านี่ทำให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะรวบรวมคำถามเหล่านั้น
ถนนเสินจะยาวแค่ไหนก็มีเวลาที่เดินหมด ประตูแต่ละบานถูกเปิดออก สีพลบค่ำยิ่งมายิ่งล้ำลึก พระราชวังหลีก็ยิ่งมายิ่งลึกล้ำ จนกระทั่งมาถึงโถงหลักที่โออ่าไร้ใดเปรียบ
ยืนอยู่ระหว่างรูปปั้นของนักปราชญ์สมัยเก่าและนักรบจำนวนหลายสิบรูปปั้น รับความรู้สึกถึงกลิ่นอายรุ่งโรจน์อันโอฬาร เฉินฉางเซิงรู้สึกสะเทือนใจสุดเปรียบ
เพียงแต่ยังไม่ทันได้รับรู้กลิ่นอายที่มากกว่านี้ เขาก็ถูกนำพาไปในโถงรองที่อยู่ข้างโถงหลัก ชายคาโถงของที่นี่ยื่นไปข้างหน้ายาวกว่าโถงพระราชวังธรรมดามาก ฉะนั้นแสงท้องฟ้าจึงถูกบดบังจำนวนมาก ไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ แสงค่ำคืนที่กำลังจะมาถึงของเวลาพลบค่ำ คิดดูแล้วถึงจะเป็นเวลากลางวัน ที่นี่ก็น่าจะสงบอึมทึมมาก
มุขนายกสองคนถอยจากไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงแค่เฉินฉางเซิงคนเดียวยืนอยู่หน้าขั้นบันไดหิน
ในโถงตำหนักศึกษานี้ไม่มีใครอื่น ฉะนั้นเขามองปราดเดียวก็เห็นใต้เท้าสังฆราช
ใต้เท้าสังฆราชเป็นคนชราท่านหนึ่ง ไม่ได้ใส่หมวกข้าราชการ และก็ไม่ได้ถือไม้เท้า ทั้งตัวใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง กำลังรดน้ำให้กับกระถางใบไม้สีเขียวกระถางหนึ่ง
คนแก่ที่ผอมสูงท่านนี้ไม่สามารถใช้คำว่าศักดิ์สูงตำแหน่งหนักมาพรรณนา เพราะว่าเขาล้ำหน้าความคิดเชยๆ ที่เกี่ยวกับอำนาจชนิดนี้ไปนานแล้ว
*กองทหารม้าเกราะเหล็กเป็นสำนวน แปลว่า ม้าพร้อม กองทัพพร้อม เปรียบเปรยเป็นอารมณ์ฮึกเหิม