ขนตาของแม่นางม่ออวี่ยาวเป็นแพ เพราะว่าฝนก่อนหน้านี้ ละอองน้ำเล็กๆ ได้เกาะตัวบนนั้น มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก ที่น่าเสียดายก็คือ หลังจากได้ฟังประโยคนั้นของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ขนตาของนางกะพริบขึ้นกะพริบลง ด้วยเหตุนี้หยดน้ำฝนจึงได้ร่วงหล่นลงมา ตกลงสู่ด้านหน้าของแท่นกานลู่ราวกับเป็นห้วงเหวลึกในค่ำคืนมิปาน
แท่นกานลู่อยู่ทางด้านหน้าของพระราชวัง สูงร้อยจั้ง สร้างโดยการหลอมทองแดงบริสุทธิ์ วิจิตรงดงามอย่างยิ่ง ด้านบนของแท่นกานลู่ประดับด้วยไข่มุกราตรีหลายพันเม็ด ห่างออกไปหลายสิบลี้ ก็สามารถมองเห็นแสงสว่างของที่นั่น แต่ว่าคืนนี้ไข่มุกราตรีเหล่านี้กลับมิได้เปล่งแสงแต่อย่างใด
ม่ออวี่มองไปยังด้านข้างของแท่นกานลู่ แพะดำยืนอยู่ตรงแสงสว่างไสวของดวงดาวทางด้านนั้น แหงนมองไปยังที่แห่งหนึ่งในท้องฟ้ายามราตรี นางหันกลับมามองด้านหน้าของแท่นกานลู่ แน่ใจว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังจ้องมองที่แห่งนั้นในท้องฟ้ายามราตรี ไม่หยุดที่จะฉงนงงงวย
“ฝ่าบาท ท่านกำลังจ้องมองอะไรอยู่เพคะ” นางกล่าวถาม
แม่นางม่ออวี่ผู้มีบารมีสูงส่งในต้าโจวจนถึงทั่วทั้งดินแดนต้าลู่ เพราะว่าเกียรติยศของครอบครัวนาง และก็เพราะว่าความสามารถที่ไม่อาจคาดคะเนได้ของนาง แต่แท้ที่จริงแล้วสาเหตุเพราะความสัมพันธ์ของนางกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เป็นคนที่สามารถพูดคุยกับจักรพรรดินีศักดิ์อย่างตามสบายเช่นนี้ บนโลกใบนี้นับวันจะยิ่งมีน้อยลงแล้ว
แสงสว่างของดวงดาวส่องลงมายังแท่นกานลู่ เพียงแค่สามารถมองเห็นภาพด้านหลังของสตรีนางนั้นอย่างชัดเจน
เป็นเพียงภาพด้านหลังที่ธรรมดา แต่ราวกับทำให้ผู้คนมองเห็นโลกใบนี้ต่างๆ นานา
เพราะว่าพระองค์คือจักรพรรดินีองค์แรกของโลกในสิบล้านปีมานี้ พระองค์คือผู้ปกครองต้าโจว
“มีคนจุดแสงสว่างดาวหนึ่งดวง”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หมุนกายมา เอ่ยออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ
แม่นางม่ออวี่นิ่งเงียบ ทุกค่ำคืนล้วนแต่มีผู้บำเพ็ญเพียรจุดแสงสว่างดาวโชคชะตา แต่นางชัดเจนยิ่งนัก ถึงแม้จะเป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ก็ยากที่จะมองเห็น แต่ว่าค่ำคืนนี้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ได้มองเห็น และยังจ้องมองอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานอีกด้วย เช่นนี้หมายถึงอะไรกัน
“ดาวดวงนั้นห่างจากพวกเราไกลอย่างยิ่ง”
เมื่อได้ฟังประโยคถัดมาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ม่ออวี่คิดว่าตนเองเข้าใจแล้ว
หลังจากนางคิดใคร่ครวญจึงเอ่ยว่า “ถึงแม้จะห่างไกลไปอีก…แต่ก็ไม่พบสิ่งที่เป็นตัวแทนว่าจะเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริงเพคะ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มิได้เอ่ยสิ่งใด
ม่ออวี่ราวกับเป็นเด็กสาวที่ถูกผู้อาวุโสไม่ให้ความสนใจกับความคิดเห็น จึงมีเสียงฮึดฮัดที่ไม่ยินดีออกมาสองครา กล่าวว่า “เด็กอายุสี่ขวบของตระกูลชิวซานที่สามารถกำหนดดาวโชคชะตาได้ก็คือดาวมังกรทะยาน ภายในหนึ่งร้อยปีสามารถเข้าอยู่ในสิบลำดับแรกได้ แต่ว่าในค่ำคืนนั้น แม่น้ำไป๋หลี่มีลูกศิษย์ของพรรคเล็กๆ คนหนึ่งกำลังเริ่มชำระล้างกระดูก กำหนดดาวโชคชะตาได้ไกลกว่าดาวมังกรทะยาน เขาสามารถเทียบกับตระกูลชิวซานผู้นั้นได้เชียวหรือ…การชำระล้างกระดูกในที่สุดก็ต้องการพลังลมปราณภายในร่างกายที่แข็งแกร่ง คนธรรมดาจะมาเทียบกับสายเลือดมังกรที่แท้จริงได้อย่างไร”
นี่คือตัวอย่างการอธิบายถึงพลัง ชิวซานจวินก่อนอายุสิบแปดปีล้วนแต่อยู่อันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋นมาตลอด เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ผู้คนบนโลกใบนี้ต่างยอมรับ แต่ลูกศิษย์พรรคเล็กๆ ที่อยู่แม่น้ำไป๋หลี่ผู้นั้นถูกผู้คนลืมสิ้นไปนานแล้ว ถ้าหากไม่ใช่แม่นางม่ออวี่ที่เป็นคนมีความรู้ลึกซึ้ง เอาอะไรมาพูดว่าจะจดจำคนผู้นั้น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยว่า “คนที่จุดแสงสว่างดาวโชคชะตาในค่ำคืนนี้ พลังจิตแข็งแกร่ง จิตใจสงบนิ่ง พบเห็นได้น้อยอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าคงจะเป็นปัญญาชนอาวุโสที่ตรากตรำกับการอ่านตำรามานับร้อยปี หนึ่งวันสามารถเข้าใจหลักของฟ้าดิน ถึงจะมีความโชคดีเช่นนี้ คงเป็นเหมือนปีนั้นของหวังจือเช่อ ปะทุออกมาหลังจากเก็บสะสมมานับไม่ถ้วนแล้ว ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง”
ม่ออวี่กล่าวว่า “ปีนั้นท่านหวังจือเช่อใช้เวลาหนึ่งคืนในการรวบรวมดวงดาว ทั่วทั้งจิงตูล้วนแต่รับรู้ได้…เหมือนกับค่ำคืนนี้ตรงไหนเพคะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นไม่ได้ปรากฏแม้เงาของดวงดาว ยืนยันได้ว่าไม่ใช่สายเลือดของผู้มีพรสวรรค์ ถึงแม้จะแข็งแกร่ง แต่เกรงว่าก็คงจะมีขีดจำกัด”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หันกาย แต่กลับทำให้รับรู้ได้ว่านางกำลังหัวเราะอยู่ “เด็กเช่นเจ้า จะไปเข้าใจอย่างไรกับการบำเพ็ญเพียร”
เมื่อม่ออวี่อายุยังน้อยก็เป็นผู้แข็งแกร่งสามารถบรรลุขั้นรวบรวมดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นต้าโจวหรือผู้บำเพ็ญเพียรของพรรคทางทิศใต้ก็มองนางไม่เหมือนกับผู้อื่น ท่านราชครูก็มีคำพูดชื่นชมอย่างยิ่ง ทว่าในสายตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นางยังคงเป็นเพียงเด็กที่ไม่เข้าใจการบำเพ็ญเพียร
ทั่วดินแดนต้าลู่ คนที่จะมีคุณสมบัติในการประเมินค่านาง จะสามารถมีได้กี่คนกันเล่า
แน่นอนว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นม่ออวี่ไม่ได้โกรธ เพียงแค่แลบลิ้นอยู่ทางด้านหลังของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้นางไม่ใช่เด็กเหมือนกับปีนั้น แต่ยังคงน่ารักได้ เพราะว่าคนที่อยู่ต่อหน้าคือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์รู้ว่านางทำสิ่งพิกลทางด้านหลัง หัวเราะโดยไม่กล่าวสิ่งใด
ม่ออวี่เดินไปยังข้างหน้า ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองไปยังดวงดาวเดียรดาษบนฟากฟ้า จ้องมองเงียบๆ ชั่วครู่ ทันใดนั้นจึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ดาวโชคชะตา…เป็นตัวแทนของโชคชะตาของพวกเราทุกคนจริงหรือ เช่นนั้นพวกเราสามารถที่จะเห็นโชคชะตาในอนาคตได้หรือไม่”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า “นอกจากโชคชะตา อาจจะสามารถอธิบายอย่างอื่นได้อีก”
ม่ออวี่กล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “อธิบายสิ่งใดอีกเพคะ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองไปยังส่วนลึกของท้องฟ้ายามราตรี เงียบนิ่งเป็นเวลานาน
ทางนั้นมีดาวหนึ่งดวงที่อยู่ไกลโพ้น เคยส่องแสงเพียงแค่ชั่วพริบตา หลังจากนั้นก็หมดหนทางที่จะมองเห็น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยว่า “อาจจะเป็น…ความขัดแย้งของโชคชะตา”
เฉินฉางเซิงได้จุดแสงสว่างให้ดาวโชคชะตาของตนเอง
ทั่วทั้งดินแดนต้าลู่มีเพียงผู้คนจำนวนน้อยนิดที่จะมีโอกาสประจวบเหมาะได้เห็นภาพเหล่านั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา
สาเหตุเพราะว่ากำแพงกั้นไร้รูปร่าง ผู้คนเหล่านั้นคาดเดาระยะห่างระหว่างดาวดวงนั้นกับพื้นผิวโลกออกมาคลาดเคลื่อน แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ระยะห่างระหว่างดาวโชคชะตาของเขากับพื้นผิวโลก ก็เพียงพอที่จะเข้าไปอยู่ในลำดับด้านหน้าสุดของประวัติศาสตร์มนุษย์
เมืองเสวี่ยเหล่าของเผ่ามารทางทิศเหนือ เทือกเขาเทพธิดาทางทิศใต้ พรรคฉางเซิงที่อยู่บนเขาหลีซาน อาณาจักรเผ่าปีศาจที่อยู่ทางส่วนลึกของดินแดนวั่งชวน อาจจะมีผู้คนพบเห็น อาจจะไม่มีผู้คนพบเห็น เพียงแค่พบเห็น จะต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน อยากลองค้นหาว่าเป็นผู้ใดที่จุดแสงสว่างดาวดวงนั้น
เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ท้องฟ้ายามราตรีมีดวงดาวนับร้อยล้านดวง มีความสัมพันธ์กับมนุษย์นับร้อยล้านคน ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีวิธีที่จะสัมผัสกับโลกใบนี้ เส้นแสงเส้นนั้นผู้คนไม่สามารถมองเห็น เพียงแค่เฉินฉางเซิงไม่กล่าว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถล่วงรู้ได้
แต่ก็มีสิ่งที่เกินความคาดหมายเกิดขึ้น อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นข้อยกเว้น
บางทีคนที่ระดับการบำเพ็ญเพียรไม่ได้สูง กล่าวด้วยเหตุผล แม้แต่ภาพแสงสว่างของดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรีก็ไม่อาจมองเห็นได้ ยิ่งไม่สามารถติดตามเส้นทางนั้นไปเพื่อเสาะหาเฉินฉางเซิงจนพบ แต่เหตุบังเอิญที่ประจวบเหมาะก็คือ ในชั่วพริบตาที่เฉินฉางเซิงจุดแสงสว่างดาวโชคชะตา คนผู้นั้นกำลังจ้องมองไปยังท้องฟ้าพอดี ก็เหมือนกันกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ แต่เหตุบังเอิญที่ประจวบเหมาะก็คือ ตอนที่นางกำลังบำเพ็ญเพียร พลังจิตของนางแผ่ไปถึงกำแพงในสวนที่เสื่อมโทรมแห่งหนึ่ง
สาเหตุที่แท้จริงก็คือ ระหว่างนางและแสงดวงดาวมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดมาตั้งแต่กำเนิด มีลางสังหรณ์ในการพบเจอสิ่งต่างๆ มากมาย
นี่คือพรสวรรค์อย่างหนึ่ง สามารถกล่าวได้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ นี่คือพรสวรรค์อย่างหนึ่งของเผ่าพันธุ์นาง
อีกด้านหนึ่งของกำแพงทรุดโทรมในสำนักฝึกหลวงนั้น ก็คือสวนร้อยหญ้า
ค่ำคืนนั้นนางอยู่ที่สวนร้อยหญ้า
นางรับรู้ได้อย่างชัดเจน พลังจิตที่จุดดาวโชคชะตาดวงนั้นสงบและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
นางอยากจะรู้อย่างยิ่งเจ้าของพลังจิตดวงนั้นคือผู้ใด
นางอยากจะเสาะหาเขาให้พบ หลังจากนั้นก็ถามเขาบางคำถาม เพราะเหตุนี้ นางไม่ถือสาหากต้องมอบสิ่งของล้ำค่าสุดพิเศษที่โลกมนุษย์ยากยิ่งจะพบเห็น
เพราะว่านางนามว่าลั่วลั่ว นางใจกว้างอย่างยิ่ง