เมื่อเหมยลีชาเอ่ยประโยคนั้น จ้องมองไปยังผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนที่เตรียมจะเข้าไปในสวนโจว ผู้ฝึกบำเพ็ญเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ในความหมายทั่วไปแล้วก็นับว่าเป็นผู้แกร่งกล้า ต่างก็มีอายุไม่มาก สามารถเอ่ยได้ว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีเหล่านี้เป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ในภายภาคหน้า
เฉินฉางเซิงก็อยู่ในหลายร้อยคน เขารู้ว่าประโยคนั้นของใต้เท้ามุขนายกได้เอ่ยกับตน จึงผงกศีรษะเพื่อแสดงว่าเข้าใจ ตามกลุ่มผู้คนเดินเข้าไปในป่า
ป่ายามเช้าตรู่เงียบสงัดยิ่งนัก อาจเป็นเพราะสวนโจวที่เห็นรางๆ ในหมอกที่อยู่ไกลออกไป แม้แต่เสียงนกก็ยังไม่มี เพียงแค่เสียงผู้คนเหยียบย่ำใบไม้เก่าดังกรอบแกรบ
เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนก็มาถึงยังเมฆหมอกหนาแน่น สวนที่เงียบสงัดที่เห็นเลือนรางในหมอกแห่งนั้นก็กลายเป็นชัดเจนขึ้น ราวกับว่าอยู่ด้านหน้า คลับคล้ายคลับคลาว่าอยู่ไกลสุดขอบฟ้า
มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมากที่รับรู้ได้อย่างชัดเจน ในหมอกผืนนี้มีพลังปราณที่เต็มเปี่ยมหนาแน่น นั่นเป็นชนิดเดียวกับละอองดาว ยิ่งเหมือนกับพลังในหินผลึก ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่อาจรับได้ แต่ทว่ากลับมีข้อดีมหาศาลในการช่วยให้จิตใจสงบ
แต่ในหมอกส่วนลึกกลับมีอันตรายแอบแฝงอยู่ ผู้แข็งแกร่งบางคนที่มีสายตาแม่นยำ จนถึงขนาดว่ามองเห็นด้านของสวนเงียบสงัดน่าอัศจรรย์แห่งนี้ ในม่านหมอกมีอสนีบาตส่องแสงแลบออกมาในระยะสั้นๆ ไม่หยุด จากนั้นก็หายไป
นักบวชนิกายหลวงรวมถึงผู้อาวุโสของสำนักพรรคต่างๆ ที่เป็นผู้ดูแลการเปิดสวนโจว ต่างก็อยู่ด้านนอก มิได้ก้าวเข้าไปข้างในแม้แต่ก้าวเดียว หรือสายอสนีบาตในหมอกเหล่านั้น สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่เหนือกว่าขั้นทะลวงอเวจีจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่าง ทำให้เกิดผลที่น่าหวาดกลัว
ที่นี่คือด้านนอกสวนโจว
ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนหลายร้อยคนยืนอยู่ทางทิศใต้กับทิศเหนือ บวกกับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายสิบคนที่พลังจิตไม่อาจกลับเข้าร่วมรวมถึงผู้ฝึกบำเพ็ญในป่ารกร้าง ในป่าหมอกจึงเงียบสงัดยิ่งนัก มิได้มีพูดใดเอ่ยสิ่งใดออกมา
ทุกคนต่างก็กำลังรอคอยการเปิดสวนโจว
สวนโจวทุกสิบปีจะปรากฏในต้าลู่หนึ่งครั้ง ทุกครั้งก็จะเปิดเป็นเวลาหนึ่งร้อยวันเต็มๆ แต่ทุกครั้งก็ใช่ว่าจะถูกผู้คนค้นพบเสมอไป หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ก็มิได้ปรากฏออกมาสักครั้งเดียว
ปีนี้สวนโจวจะปรากฏอยู่ด้านนอกเมืองฮั่นชิว ก็มิใช่เผ่ามนุษย์เป็นผู้คนพบ แต่เป็นกุนซือเผ่ามารชุดดำที่ลึกลับคาดเดาออกมา สิ่งที่โชคดีก็คือ ลูกน้องของเผ่ามารชุดดำผู้นั้นวางแผนลักลอบสังหารลั่วลั่วล้มเหลวในสำนักฝึกหลวง เพราะว่ายังปรารถนาจะมีชีวิตรอดและมิได้สังหารตัวตายในที่เกิดเหตุ จึงถูกเซวียสิ่งชวนจับกุม สุดท้ายแล้วโจวหย่งใช้วิธีบีบบังคับทรมานที่สุดยอด ในที่สุดจึงเสาะหากลุ่มลับของเผ่ามารที่แฝงอยู่ในโลกมนุษย์เจอ ใช้เบาะแสนี้พบกับข่าวคราวและตำแหน่งของการเปิดสวนโจว
หากต้องการควบคุมสวนโจว การเปิดนั้นมิใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการครอบครองกุญแจ อยู่สถานที่ที่คนบนโลกใบนี้ไม่ล่วงรู้เวลา เผ่ามารได้ส่งผู้แข็งแกร่งขั้นทะลวงอเวจีมาจำนวนหนึ่งตั้งใจที่จะช่วงชิงกุญแจ ก่อนที่จะมาถึงสวนโจวเมืองฮั่นชิว เผ่ามนุษย์ที่ได้รับข่าวคราวที่เกี่ยวข้อง ภายนอกนั้นแสร้งทำเป็นไม่รู้ ในความเป็นจริงก็ส่งคนเข้ามาในสวนนอกสวนโจวอย่างเงียบๆ แล้วอำพรางสายตาของเผ่ามาร ช่วงชิงลงมือก่อนอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ด้วยเหตุนี้จึงส่งเข้าไปแค่หนึ่งคน
การตัดสินใจที่สำคัญนี้เป็นของห้านักปราชญ์ พวกเขาส่งเข้าไปก็คือชิวซานจวิน ไม่ว่าเป็นเผ่ามนุษย์ เผ่ามาร หรือว่าเผ่าปีศาจ ในระดับขั้นทะลวงอเวจี ศิษย์พี่ใหญ่เขาหลีซานผู้นี้ไร้คู่ต่อกร
ชิวซานจวินคล้ายกับว่าตื่นกลัว ในความเป็นจริงประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย เขาใช้อาการบาดเจ็บสาหัสเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน แต่ก็ใช้วิกฤตนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวที่เยาว์วัยที่สุดในโลก
โลกใบนี้เริ่มยอมรับว่าเฉินฉางเซิงมีคุณสมบัติที่จะเทียบกับชิวซานจวินได้ อย่างไรก็ตามเฉินฉางเซิงเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ที่จัดขึ้นปีละครั้ง ชิวซานจวินเอากุญแจของสวนโจวที่สิบปีมีหนึ่งครั้ง ไม่ต้องเอ่ยถึงความห่างไกลระหว่างขั้นรวบรวมดวงดาว สิ่งสำคัญกว่าก็คือ ชิวซานจวินได้รับเกียรติยศในการต่อสู้กับเผ่ามาร เฉินฉางเซิงจะแสดงให้โลกตกตะลึงในการสอบใหญ่เพียงใด สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องของแค่เผ่ามนุษย์ ความหมายของทั้งสองนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงได้เข้าไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ และยังได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง เกรงว่าภาพลักษณ์ของเขาก็คงจะมืดสลัวไปบ้าง
ในช่วงเวลาที่กำลังรอคอยให้สวนโจวเปิดขึ้น มีคนจำนวนมากมองไปทางเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงมิได้สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ เขายังคงกำลังคิดเรื่องของสวีโหย่วหรง มั่นใจว่าสวีโหย่วหรงไม่ได้อยู่ในคนหลายร้อยคนนี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงผ่อนคลายลงไปมาก ตามการบันทึกของคัมภีร์เต๋า หลายปีมานี้มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในสวนโจวล่าช้าเป็นเวลาหลายวัน สวีโหย่วหรงก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพียงแค่เพราะเหตุใดนางถึงตั้งใจมาล่าช้าด้วยเล่า? หรือว่าไม่อยากเห็นสายตาที่อิจฉาของผู้คน? หรือว่าไม่อยากจะพบกับตน?
แล้วสวนโจวจะเปิดอย่างไร?
ชิวซานจวินเอากุญแจสวนโจวมาได้ ก็คงจะเอาให้แก่เขาหลีซาน แต่วันนี้ผู้อาวุโสที่มาสวนโจวมีเพียงแค่ผู้อาวุโสพรรคฉางเซิง กลับมิได้มีคนของหลีซาน
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ด้านหน้าของกลุ่มผู้คน มองไปยังแสงอสนีบาตและอากาศที่ก่อตัวเป็นสายน้ำที่ไหลเชียวกราก มองสวนที่เงียบสงัดที่ประเดี๋ยวอยู่ใกล้ประเดี๋ยวไกลแห่งนั้น ในใจครุ่นคิดนี่เป็นเรื่องราวอันใดกัน?
เวลานี้เอง ก็มีสายรุ้งพาดผ่านลงมา
สายรุ้งเส้นนี้ไม่รู้ว่ามาจากแห่งใด ทอดยาวมาจากท้องฟ้าที่สูงชะลูด ทะลุผ่านมายังหมอกหนาแน่น ร่วงหล่นมายังตรงหน้าของกลุ่มผู้คน
อสนีบาตและอากาศที่ขาดจากกันแล้วก่อเป็นสายน้ำที่ไหลเชียวกรากในหมอกหนาแน่น เพียงชั่วพริบตาเมื่อสัมผัสกับสายรุ้งเส้นนี้ จึงค่อยๆ ละลาย จากนั้นก็หายไปไม่พบเห็น
หมอกก็กลายเป็นเบาบางยิ่ง ทิวทัศน์หลังหมอกก็เปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น
สายน้ำที่รินไหลใต้สะพานเล็ก ด้านหน้าดอกไม้ต้นหญ้าของระเบียงสะพาน คล้ายกับว่ามีกำแพงสีขาวปรากฏเลือนราง
ระหว่างกำแพงสีขาว ก็ได้ปรากฏประตูโค้งมนอยู่ด้านหน้าของผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนหลายร้อยคน
แผ่นป้ายที่อยู่เหนือประตูโค้งมนได้เขียนคำว่า
ทะลวงอเวจี
เอาไว้
ด้านหลังประตูโค้งเป็นทางเดินที่ก่อขึ้นด้วยหิน บนนั้นมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่บางๆ ด้านหน้าลึกเข้าไปเป็นหมอกที่คดเคี้ยว ในนั้นมีชายคาโค้งแบบจีนเชื่อมต่อกัน มีทิวทัศน์มากมาย
ยืนอยู่กลางป่าไม้ ไร้หนทางที่จะมองทิวทัศน์ทั้งหมดเพียงชั่วพริบตา
ทิวทัศน์อยู่ด้านหลังกำแพง
เส้นทางเล็กๆ คดเคี้ยวอันเงียบสงัด ผู้ใดเป็นคนคอยดูแลสวนโจวกัน?
หมอกค่อยๆ กระจัดกระจาย ทิวทัศน์ค่อยๆ กลายเป็นจริง ไอน้ำค่อยๆ เกาะตัวกัน จากนั้นก็กลั่นเป็นสายฝน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดพาสายฝน ทำให้ใบหน้าของเฉินฉางเซิงเปียกชุ่ม
เขายืนอยู่ที่เดิมเงียบนิ่งเพียงครู่ จากนั้นเดินไปยังประตูโค้งทะลวงอเวจี
ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคน เดินตามเขาไปในสวนโจว
……
……
สายฝนฤดูใบไม้ผลิ ก็ตกลงมาจากด้านนอกป่าเช่นกัน
ฝนตกโปรยปราย ราวกับเป็นเส้นไหมเส้นด้ายก็มิปาน
สตรีที่สวมชุดสีขาวหลายคน อยู่ในสายฝนปรอย เดินออกมาจากทางเมืองฮั่นชิว
อยู่ทางด้านหน้าป่า นักบวชนิกายหลวงยืนยันฐานะของพวกนางที่มาจากสำนักกระทรวงสิบสามชิงเหย้าแล้ว
พื้นที่ทางทิศใต้บางแห่งมีโรคห่า พวกนางได้รับคำสั่งจากใต้เท้าสังฆราช นำแพทย์หลวงของราชสำนักไปช่วยชีวิตผู้คนที่แห่งนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมาล่าช้าไปเล็กน้อย
มองเห็นสตรีไม่กี่คนที่เดินมาจากกลางป่า จูลั่วจึงเผยสีหน้าว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง
สตรีหนึ่งในนั้นสวมชุดพิธีการสีขาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า รูปร่างหน้าตางดงาม ลักษณะเป็นปกติ
รู้สึกถึงสายตาของจูลั่ว สตรีผู้นั้นจึงโค้งตัวคำนับ จากนั้นจึงเดินไปยังเบื้องหน้า
จู่ลั่วยิ้มออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใด