ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 254 แพทย์สองที่ (ตอนปลาย)

“ใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ห้ามโลหิตแล้วสร้างเนื้ออ่อน แล้วใช้ละอองทิพย์ทำจิตใจให้สงบ เช่นนี้ก็เพียงพอแล้วรึ? ในพลังปราณของคนทั้งคู่ยังมีกลุ่มพลังปราณแท้ที่วุ่นวายสับสนจำนวนมาก ถ้าหากไม่เสาะหาวิธีจัดการให้เรียบร้อย คิดว่าเพียงแค่ตื่นขึ้นมา เกรงว่าระดับขั้นจะลดลงไปอีกสามระดับ มีบางคนคิดว่าการศึกษาร่ำเรียนศาสตร์นี้แล้วจะสามารถรักษาช่วยชีวิตผู้คนได้ ที่จริงแล้วมิได้ดีเช่นนั้น”

เฉินฉางเซิงด้านหนึ่งใช้เข็มประหนึ่งสายลม อีกด้านหนึ่งได้พึมพำกับตนเอง

เจ๋อซิ่งจ้องมองเขาลงมาจากที่สูงกว่า เอ่ยว่า “เจ้าสามารถเปลี่ยนคำว่าบางคนเป็นนางได้”

เฉินฉางเซิงจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว จึงยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองเขากล่าวอธิบายอย่างจริงจัง “ข้ามิได้เปรียบเทียบสิ่งใดกับนาง”

เจ๋อซิ่วก็กล่าวจริงจังเช่นกัน “ข้าไม่เชื่อ”

เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าวขึ้นมา มิได้เอ่ยสิ่งใดต่ออีก เตรียมปลุกผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทางทิศใต้ให้ตื่นขึ้น แล้วให้พวกเขาไปรวมตัวกับคนอื่นที่อยู่ริมแม่น้ำ

เวลานี้เอง เขาเห็นบนพื้นข้างคบเพลิงวาดภาพอะไรบางอย่างเอาไว้ จึงมองอย่างถี่ถ้วน ถึงเข้าใจว่าเป็นเส้นบอกทาง และยังมีคำว่าไปง่ายๆ กำกับอยู่ด้วย

ตัวอักษรเขียนได้ไม่เลวนัก

เขาครุ่นคิดจากนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ

“นางให้พวกเขาไปยังป่าวจีเขตบรรพต ดูแล้วคงจะมีคนรวมตัวอยู่ที่นั่นจำนวนมาก”

เจ๋อซิ่วจ้องมองเขาพลางเอ่ยถาม “พวกเราจะไปที่นั่นหรือไม่?”

เฉินฉางเซิงมิได้ครุ่นคิดแม้แต่น้อย กล่าวออกมารวดเร็ว “ไม่ต้อง”

เจ๋อซิ่วยังคงถามต่อ “เพราะเหตุใด?”

“ข้า…ยังมีเรื่องที่จะต้องจัดการ…ยังมีคนอีกจำนวนมาก…รอคอยให้ข้าไปรักษา…ก็ได้”

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น เงียบนิ่งเป็นเวลานาน เอ่ยอย่างละอายใจ “ข้ายังไม่ได้เตรียมตัว”

……

……

ชุดนักบุญสีขาวโดดเด่นอยู่ในความมืดยามราตรีเป็นพิเศษ ถ้าหากอยู่ตรงตรอกทางเดินของบ้านเรือนผู้คน อาจจะทำให้คนตกตะลึง แต่ในสายตาของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร ชุดนักบุญสีขาวนี้เป็นประหนึ่งดอกไม้ไฟซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวแทนของความหวังในการมีชีวิตอยู่และการสิ้นสุดความทุกข์ทรมาน

ตลอดทางที่ผ่านมา หญิงสาวได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีแล้วสองครา ตามมาด้วยหยาดน้ำตานองหน้า ด้วยเหตุนี้เมื่อนางเห็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทั้งสองที่อยู่ตรงเนินหญ้าข้างคบเพลิงแสดงอากัปกิริยาเงียบสงบเช่นนี้ เพียงชั่วครู่จึงรู้สึกว่าผิดปกติ หลังจากนั้นนางจึงเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ที่แท้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรกำลังอยู่ในสมาธิ

นางเดินมาถึงเบื้องหน้า พบว่าบาดแผลของเขาได้ถูกพันไว้แล้ว มองจากอาการบาดเจ็บและวิธีการพันแผลก็คงจะมิใช่ตนเป็นผู้รักษา เดิมนางเตรียมที่จะหมุนกายจากไป ทว่าคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ จึงคุกเข่าลง ยื่นมือไปเปิดผ้าที่พันเอาไว้ ตรวจสอบบาดแผลข้างใน

บาดแผลของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรผู้นี้คงจะถูกศาสตราวิเศษของหอจงซื่อโจมตี บริเวณกล้ามเนื้อรอบๆ บาดแผลยังคงหลงเหลือร่องรอยของเศษดาราซึ่งเป็นอาวุธของหอจงซื่อ แต่เศษดาราเหล่านี้ถูกผู้รักษาทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง บาดแผลก็จัดการได้ดีเยี่ยม สุดท้ายจึงใช้เส้นด้ายเย็บติดกัน

หญิงสาวครุ่นคิดว่าผู้ที่รักษาช่างเสียกล้าหาญเสียจริง ในคัมภีร์เต๋าและสารานุกรมยาล้วนแต่บันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเหล่านี้เอาไว้ ทว่าเป็นระยะเวลาหลายปีมาแล้วที่มิได้มีผู้ใดกระทำเช่นนี้

บาดแผลด้านนอกก็คงจะมิเป็นไร สิ่งที่นางเป็นกังวลก็คือปัญหาของพลังลมปราณ อาการบาดเจ็บที่ถูกศาสตราวิเศษกับกระบี่นั้นแตกต่างกันลิบลับ อาการบาดเจ็บจากกระบี่นั้นคือภายนอก ส่วนศาสตราวิเศษนั้นคือภายใน ศาสตราวิเศษในโลกของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรนั้นมิได้คมกริบดังเช่นกระบี่ที่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสร้างอันตรายทางด้านกล้ามเนื้อให้กับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร

หลังจากผู้ฝึกบำเพ็ญเพียงได้รับการรักษา ก็ตกอยู่ในการตั้งจิตสมาธิมาตลอด ไม่แน่ว่าแม้แต่ห้วงแห่งจิตอาจจะเกิดปัญหา

มือของนางแตะอยู่บนจุดพลังปราณของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร ค่อยๆ สัมผัสไปยังพลังปราณแท้ที่บริสุทธิ์

รับรู้ถึงการตอบสนองของพลังปราณแท้ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรสะดุ้งตื่นจากห้วงแห่งจิต มองเห็นหญิงสาวที่อยู่ใกล้จึงสะดุ้งตกใจ จึงจะลงมือตามสัญชาตญาณ

สวนโจวที่ถูกบรรดานักปราชญ์ตั้งกฎเกณฑ์โหดร้าย ที่จริงแล้วผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ใช้เพื่อมาขัดเกลาจิตใจ และพัฒนาความสามารถในการต่อสู้

หญิงสาวผู้นั้นมิได้สนใจแม้แต่น้อย เอ่ยว่า “อย่าขยับ อย่าเอ่ยสิ่งใด หลับตา”

ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรท่านนั้นไม่รู้จักนาง อย่างน้อยก็ไม่รู้จักนางในเวลานี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินเสียงใสแจ๋วของนาง กลับทำให้รู้สึกเชื่อใจไร้ที่เปรียบ ในจิตใต้สำนึกจึงผ่อนคลายลงตามคำพูดที่ได้ยิน และปิดตาลงอีกครา

หลังจากนี้เพียงชั่วครู่ หญิงสาวยืดตัวลุกขึ้น

นางมิได้หยุดพักแต่อย่างใด หายเข้าไปในความมืดยามราตรี มุ่งไปยังทิศที่อยู่ไกลออกไป

คบเพลิงทำให้เงาของนางยาวกว่าเดิมเล็กน้อย

ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรท่านนั้นพลันตื่นขึ้นมอง เห็นภาพเบื้องหลังของนาง เกิดความรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยว

ก่อนหน้านี้ที่ชำเลืองมองลักษณะงดงามอ่อนช้อย เขามองเห็นใบหน้าที่สะอาดสะอ้านทว่างดงาม เป็นสิ่งที่จะถูกคนลืมเลือนได้ง่ายดาย

เพราะเหตุใดเวลานี้ เขามองเห็นภาพเบื้องหลังของหญิงสาว กลับรู้สึกว่างดงามจนทำให้ใจหายใจคว่ำ

ความรู้สึกของหญิงสาวเวลานี้ห่อเหี่ยวผิดหวัง

พลังลมปราณของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรผู้นั้นผ่านเข้าออกทะลุปรุโปร่ง ศาสตราวิเศษของหอจงซื่อทำให้สั่นสะเทือนและอุดตัน สุดท้ายแล้วทั้งหมดถูกคนทำให้สลายไป

ในบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของสวนโจว ผู้ใดถนัดวิชาการแพทย์ที่สุด?

ผู้ใดถนัดวิธีนี้ที่สุด? ผู้ใดที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีสามารถแก้ไขซ่อมแซมพลังลมปราณที่เล็กๆ น้อยๆ ได้?

นางกับเฉินฉางเซิงไม่เหมือนกัน พลันคิดถึงใครคนนั้นได้ทันที

ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง

นางครุ่นคิดในจิตใจเงียบๆ

……

……

ได้ยินเสียงน้ำ นางมาถึงยังริมแม่น้ำ ได้เห็นคบเพลิง พบว่าเป็นคนสองคนที่ตนรู้จัก

เมื่อมองเห็นนาง หญิงสาวทั้งสองรู้สึกแปลกประหลาดใจ

ในสายตาของเยี่ยเสี่ยวเหลียนเผยท่าทางเคารพยำเกรง ศิษย์พี่ถงยิ้มเล็กน้อยสบายใจ

สิ่งใดก็ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงได้ เพียงแค่สายตาไม่อาจเปลี่ยนได้ อีกทั้งเวลานี้นางก็มิได้จงใจจะเปลี่ยน ด้วยเหตุนี้ศิษย์สำนักเดียวกันทั้งสองจึงมองออก

นางส่ายหน้า เยี่ยเสี่ยวเหลียนกับศิษย์พี่ถงต่างเข้าใจ มิได้เอ่ยสิ่งใด

นางเดินไปข้างๆ เจ้าสำนักอารามชิงซวี เปิดผ้าพันแผลของเขาออก มองแวบหนึ่ง คิ้วทั้งสองขมวดขึ้น

“เขารักษาหรือ?”

นางจ้องมองศิษย์พี่ถงพลางเอ่ยถาม

ศิษย์พี่ถงกับนางฝึกฝนอยู่ที่สถานศึกษาหนานซีด้วยกัน เป็นธรรมดาที่จะรู้เรื่องราวของนางกับเฉินฉางเซิง เพียงชั่วครู่ก็เข้าใจความหมายของนาง

“เดิมทีคิดว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นการรักษาที่สับสนวุ่นวาย เพียงแค่รักษาอาการบาดเจ็บจากกระบี่ ภายในยังคงมีโลหิตไหล เขาก็มิได้สนใจแล้วหรือ?”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งโมโห

เจ้าอารามของอารามชิงซวีเวลานี้อ่อนแออย่างยิ่ง เดิมทีไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร ลูกศิษย์ของเขาซื่อๆ เพียงแค่มองเห็นท่าทางของลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็รู้ว่าคนที่มานั้นไม่ธรรมดา

หญิงสาวยื่นมือขวาออกไป โบกเบาๆ ตรงช่องว่างระหว่างหน้าอกของเขา พบเพียงแค่ลำแสงสะอาดศักดิ์สิทธิ์ ร่วงหล่นจากฝ่ามือของนางลงไป

อารามชิงซวีไม่ว่าจะอยู่ห่างไกลเพียงใดก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลวง เจ้าอารามจะจำวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รึ?

เพียงชั่วพริบตาเขาก็แสดงออกทันที ยิ่งมั่นใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นยอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่จากนิกายหลวง รีบลุกขึ้นหมายจะทำความเคารพ

หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วทำให้เขาสลบไป

ลูกศิษย์ของเจ้าอารามชิงซวี ยืนอยู่ด้านข้างพูดจาตะกุกตะกัก เดิมทีไม่กล้าพูดคุย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าจะทำสิ่งใด

ศึกษาวิชาการแพทย์กับนักพรตจี้ ก็คิดว่าจะรักษาผู้คนในโลกหล้าได้รึ? มิได้คิดเสียเลย ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรกับคนธรรมดาก็เป็นเรื่องเดียวกันหรือ? อาการบาดเจ็บจากกระบี่กับอากาศและลมเย็นเป็นเรื่องเดียวกันรึ?

หญิงสาวครุ่นคิดเรื่องนี้เป็นทุกข์เล็กน้อย จ้องมองศิษย์พี่ถงพลางเอ่ยว่า “เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”

ศิษย์พี่ถงคำนวณเวลา ห่างจากเวลาที่เฉินฉางเซิงเอ่ยไว้ไม่ไกล กล่าวว่า “คงจะใกล้แล้ว”

หญิงสาวตะลึงงัน ยืดตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปในความมืดยามราตรี

ศิษย์พี่ถงเอ่ยถาม “เจ้าไม่รอเขาหรือ?”

หญิงสาวมิได้เอ่ยตอบ พลันจากไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิหคราตรีกลางป่าสะดุ้งตกใจ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset