เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมสระเงียบนิ่งเป็นเวลานาน พลังกระบี่ที่อยู่ในดวงตายังคงวนเวียนมิได้ไปไหน ความเจ็บปวดยากที่จะลบเลือนออกไป ทำให้น้ำตาของเขาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย
เขาเวลานี้ มองแล้วดุจดังหนุ่มน้อยโง่เขลาที่น่าสงสารจ้องมองเงาของสระ
พลังกระบี่ที่อยู่ในส่วนลึกของสระ ทำให้เขาสั่นสะเทือน ตกตะลึงยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกห่อเหี่ยวสิ้นหวัง
หรือว่าน้ำตกและสระน้ำที่มองดูธรรมดาแห่งนี้ก็คือสระกระบี่ในตำนาน มิเช่นนั้นแล้วในสระส่วนลึกจะมีพลังกระบี่ส่งทอดออกมาได้อย่างไร?
แต่ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เพราะเหตุใดหลายร้อยปีผ่านมาถึงไม่มีผู้ใดพบเจอมาก่อน? แม้รับรู้ได้ว่าพลังกระบี่นั้นเบาบางยากจะคาดคะเน แต่กลับชัดเจนอย่างยิ่ง
ความผิดหวังห่อเหี่ยวใจของเขามาจากความโง่เขลา โง่เขลาต่อตนเอง
พลังกระบี่ที่มาจากส่วนลึกของสระแท้จริงแล้วเบาบางยากที่จะรับรู้ได้ ถึงแม้เป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย ก็ไม่อาจตามจับหาร่องรอยมันได้
อีกทั้งมีเพียงแค่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจี ถึงจะสามารถเข้าไปในสวนโจวได้
ด้วยเหตุนี้หลายปีมานี้ พลังกระบี่ตั้งแต่แรกเริ่มจึงมิได้ถูกผู้คนค้นพบ จนกระทั่งในวันหนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่ง มีผู้มีพรสวรรค์ไม่เหมือนดังคนปกติ และเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มีความใกล้ชิดกับกระบี่มาตั้งแต่เกิด ยืนอยู่ริมสระ สายตากระทบเข้ากับพลังของกระบี่ พลันตื่นตระหนกในจิตใจ ตอนนั้นเองจึงได้เปิดเผยฉากแรกของตำนานสระกระบี่
คนผู้นั้นก็คือท่านซูอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน
เพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงถึงรับรู้พลังกระบี่สายนี้? เพราะว่าร่างกายจิตใจของเขาสะอาดบริสุทธิ์ ความแข็งแกร่งของดวงจิตไม่อาจกล่าวว่าได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ความนิ่งเงียบนุ่มนวลมั่นคงผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรธรรมดาไม่อาจเปรียบเทียบได้อย่างแน่นอน เมื่อแรกเริ่มคืนนั้นที่จุดดาวโชคชะตาอยู่ในหอตำราของสำนักฝึกหลวง แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนแท่นกานลู่ก็เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด
ด้วยเหตุนี้ในบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนที่เข้ามาในสวนโจว เขาเป็นคนที่สองที่รับรู้ถึงพลังกระบี่ที่อยู่ก้นสระแห่งนี้
เพียงแต่พลังกระบี่สายนี้มาจากที่ใดกัน?
เฉินฉางเซิงบังคับดวงจิตให้แหวกว่ายในก้นสระต่อเนื่อง กลับพบว่าน้ำในสระแห่งนี้แปลกประหลาดโบราณยิ่ง ก้นสระราวกับว่ามีพลังบริสุทธิ์กดทับอยู่ สุดท้ายแล้วจึงมิได้ให้จิตสัมผัสมุ่งไปเบื้องหน้าต่อ
ยืนอยู่ริมสระ เขาจับด้ามกระบี่ มองมังกรดำตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าฟุบอยู่บนไหล่ของตนตั้งแต่เมื่อไหร่ พลางเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น…”
มังกรดำจ้องมองเขา นัยน์ตาล้วนแต่เต็มไปด้วยความเมินเฉยและเยาะหยัน มีความหมายที่ชัดเจนแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้ามิใช่ลูกน้องของเจ้า เหตุใดจะต้องช่วยเจ้าทำสิ่งใดด้วยเล่า?
เฉินฉางเซิงอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยออกมา “เหตุใดเจ้าถึงเหมือนกับเจ๋อซิ่วเช่นนี้ ทำสิ่งใดล้วนแต่มิเคยลืมผลประโยชน์”
มังกรดำเมื่อได้ยินประโยคนี้จึงโมโหยิ่ง หางเล็กกวัดแกว่งเบาๆ เตรียมที่จะกลับไป ในใจครุ่นคิดเหตุใดถึงบังอาจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะนำตนไปเทียบกับเจ้าหมาป่าตัวนั้น
“เอาเถอะๆ ข้าตอบรับคำขอร้องของเจ้าอีกหนึ่งอย่าง” เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมาอย่างจนปัญญา
เช่นนี้มังกรดำถึงพึงพอใจ หางเล็กๆ จึงกวัดแกว่งอีกครา กลายเป็นภาพเงาสีดำละเอียดเล็ก เสียงพรึบดังขึ้นคราหนึ่ง พลันหายไปในสระที่ค่อนข้างเย็นเยียบ
หลังจากนั้นชั่วครู่ มังกรดำก็โผล่พ้นน้ำขึ้นมา ทำให้มีน้ำเป็นระลอกคลื่นตามมาด้วย อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สว่างรุ่งโรจน์ดุจดังผลึกแก้วที่แตกกระจาย
เฉินฉางเซิงยกไหล่ขวาขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้มันหยุดพักอยู่ข้างบน
มังกรดำตัวน้อยหุ้มเกล็ดได้ร่อนขึ้นมาจากสระ ทำให้แขนเสื้อของเขาเปียกชุ่ม เย็นสบาย และรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
ด้วยคำบอกเล่าของมังกรดำ เฉินฉางเซิงได้ทราบว่า เดิมทีก้นสระมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง คงจะเป็นทางทะลุผ่านไปยังทางข้างหน้าอีกสักแห่งหนึ่ง เพียงแค่สระน้ำเย็นแห่งนี้รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ยิ่งลึกยิ่งมีแรงดันมาก อีกทั้งไม่สอดคล้องกับพลังแรงกดดันมหาศาลของสภาพแวดล้อมที่แท้จริงในโลกมนุษย์ ขณะนี้มังกรดำอยู่ในสถานะดวงจิตออกจากร่างกาย มีพละกำลังมิเท่ากับหนึ่งในร้อยส่วนของพลังที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อาจข้ามผ่านถ้ำแห่งนี้ไปได้
มังกรดำสามารถเสาะหาถ้ำแห่งนี้พบก็นับว่ามิได้ง่ายดาย หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีแล้วนั้น โดยธรรมดาแล้วก็ไม่อาจหาเจอได้ เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมสระ รับรู้ถึงพลังกระบี่ที่เบาบางสายนั้นยังคงอยู่ ครุ่นคิดเป็นเวลายาวนาน จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองน้ำตกที่อยู่เบื้องบน คำนวณระยะห่าง ภายในใจได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว
เขาให้มังกรดำไปพักผ่อน เดินมาถึงยังริมน้ำตก จึงเริ่มปีนป่ายขึ้นไปข้างบน การกระทำมิได้เหมือนเจ๋อซิ่วที่ตามอำเภอใจหลงระเริง ทว่าสงบนิ่ง แม่นยำยิ่งนัก เผยให้เห็นพละกำลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งออกมา
ทะลุผ่านละอองน้ำของน้ำตกมายังข้างบนหน้าผา เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหยดน้ำให้แห้งสะอาด พบว่าเบื้องหน้าสายตานั้นเป็นสระน้ำที่ใสแจ๋ว ก้นสระน้ำเป็นก้อนหินสีเหลืองปูราบเรียบอยู่บนผิวน้ำทอดไปยังข้างหน้า คงจะตกลงมาจากหน้าผาอีกฟากที่สูงหลายร้อยจั้ง บนผิวน้ำคล้ายกับว่ามีน้ำผุดขึ้นมา คงจะเป็นน้ำพุของเทือกเขา ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าช่างงดงามอย่างยิ่ง
เวลานี้เจ๋อซิ่วไปสำรวจยังที่ไกลๆ เรียบร้อยแล้ว เดินกลับมาพลางสั่นศีรษะ แสดงว่ามิได้พบสิ่งใดทั้งสิ้น
“ส่วนลึกของสระมีถ้ำแห่งหนึ่ง คงจะทะลุออกไปยังเทือกเขาสักแห่งหนึ่ง ข้าคิดว่า…สระกระบี่ก็คงอยู่ที่นี่”
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมน้ำตก มองไปข้างล่างเห็นสระมีขนาดเพียงแค่กำมือเท่านั้น
เจ๋อซิ่วเดินไปอยู่ข้างกายเขา มองไปยังสระน้ำข้างล่าง กล่าวว่า “ข้าสงสัยในสิ่งนี้”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “เช่นนั้นแล้ว เจ้าว่าที่แห่งนั้นจะมีสิ่งใด?”
เจ๋อซิ่วกล่าวตอบ “ตามตำนาน เมื่อพบเจอกับทางตัน ก็จะต้องหาหนทางธรรมดา โดยปกติแล้วเมื่อเข้าไปในโลกแห่งใหม่ภาพแรกที่เห็นก็คือหญิงงามกำลังอาบน้ำ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เฉินฉางเซิงไร้วาจาจะเอื้อนเอ่ย จึงเปลี่ยนเรื่องพูด “เพียงแค่สระมีความแปลกประหลาดบางประการ คงจะไม่อาจว่ายดำลงไปได้ จะต้องคิดวิธี”
เจ๋อซิ่วจึงมองไปยังสระน้ำที่อยู่เบื้องล่างไกลออกไป เอ่ยว่า “มองแล้ว เจ้าคงคิดวิธีได้แล้ว”
“หากกระโดดไปจากตรงนี้ หยิบยืมแรงโน้มถ่วง ไม่แน่ว่าอาจจะเข้าไปถึงตำแหน่งของถ้ำได้”
เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด ภายใต้การช่วยเหลือของมังกรดำ เขารู้ระยะห่างของสระกับถ้ำ จากที่คำนวณไว้ก็คงจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เจ๋อซิ่วจ้องมองน้ำในสระ ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “จะต้องทุ่มสุดตัวหรือไม่?”
หน้าผาลูกนี้สูงยิ่ง ถึงแม้จะเป็นตัวเขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะถูกน้ำในสระตีจนสลบหรือไม่
เฉินฉางเซิงกล่าวออกมา “ข้าคงต้านทานได้ ไม่รู้ว่าเจ้าไหวหรือไม่”
เขาไม่รู้ว่าตนได้อาบโลหิตของมังกรดำ แต่เขาทราบระดับความแข็งแกร่งของร่างกายดีจนถึงขนาดว่าเหนือกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ชำระล้างกระดูกอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวล
สายเลือดของเจ๋อซิ่วมีความพิเศษมาแต่กำเนิด การชำระล้างกระดูกประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต่อสู้ในดินแดนหิมะที่โหดเหี้ยมมาแต่เยาว์วัย กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีกล้ามเนื้อและกระดูกดุจหินผา แต่ระดับความสูงเช่นนี้ที่จริงแล้วมิได้มั่นใจมากมายแต่อย่างใด เอ่ยว่า “ถ้าหากเหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนไปถึงที่นั่นจากสระแห่งนี้ พวกเขาผ่านไปอย่างไร?”
เฉินฉางเซิงมิได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้จริงๆ จึงเกาศีรษะแล้วเอ่ยว่า “พรรคกระบี่เขาหลีซานอาจจะมีวิธีที่มหัศจรรย์ก็เป็นได้”
“เช่นนั้นจวงห้วนอวี่เล่า?” เจ๋อซิ่วยังคงถามต่อ
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน กล่าวตอบ “สำนักเทียนเต้าก็มีเคล็ดวิชาลับ”
เจ๋อซิ่วจ้องมองเขาใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมา “จากตำแหน่งและฐานะในนิกายหลวงของเจ้าขณะนี้ เจ้าคิดว่าสำนักเทียนเต้ามีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสระกระบี่ เหมาชิวอวี่จะบอกเจ้าหรือไม่?”
เฉินฉางเซิงถูกเขาถามจนจนมุม จนถึงขนาดร้อนใจเล็กน้อย กล่าวถาม “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าสามารถข้ามไปได้ เจ้าบอกมาว่าเจ้าไหวหรือไม่?”
ในเมื่อเป็นบุรุษ ถึงแม้ยังมิได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ก็ไม่อาจกล่าวคำว่าไม่ไหวสองคำนี้ได้
เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมา “ไปเจอกันที่นั่น”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาเดินไปยังริมน้ำตก มิได้ลังเลที่จะกระโดดลงไปแม้แต่น้อย
ในระหว่างหน้าผา เงาร่างกายของเขาร่วงดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว น้ำตกถูกแรงกระแทกกระทบ น้ำพุ่งแตกกระเซ็นขึ้นมา
เฉินฉางเซิงมองภาพนี้ อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ครุ่นคิดเงียบๆ ช่างตรงไปตรงมาจนทำให้รู้สึกตั้งรับไม่ทัน
ได้ยินเพียงแค่เสียงตูมดังขึ้น!
พื้นผิวของสระมีฟองน้ำกระเซ็นฟองใหญ่ออกมา ตรงกลางวงน้ำด้านล่างเปลี่ยนเป็นหนทางเส้นหนึ่ง เจ๋อซิ่วจึงดำลงสู่เบื้องล่าง
เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ ปลดเสื้อคลุมแล้วเก็บให้เรียบร้อย มั่นใจว่าเวลาก็คงจะได้แล้ว จึงกระโดดจากหน้าผาลงไป
สายลมของเทือกเขาปะทะเข้ามาที่ใบหน้า ถูกตีกระทบกันจนแตกกระเซ็น มีเสียงอื้ออึงดังเข้ามาในหู หลังจากนั้นจึงถูกกลบไว้ข้างหลัง
ระดับความเร็วของเขายิ่งนานยิ่งเพิ่มระดับขึ้น เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่ง ก็เห็นสระน้ำเย็นอยู่ด้านหน้าสายตา
มิได้มีเสียงใดๆ ดังขึ้น มีเพียงแค่ความรู้สึกกระแทกลงกับพื้นน้ำที่ไม่ชัดเจน จากนั้นรู้สึกว่าใบหน้าและลำคอชาเล็กน้อย
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เขาถึงรับรู้ได้ถึงแรงดันและความเปียกชุ่มของน้ำในสระ
อาศัยแรงโน้มถ่วงของระดับความสูงบนหน้าผาแห่งนี้ ร่างกายเขาจึงมุ่งลงสู่เบื้องล่าง พุ่งชนเข้ากับสิ่งกีดขวางที่อยู่ในน้ำส่วนลึกทีละชั้นๆ
แรงดันของน้ำในสระยิ่งนานยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับระดับความลึกแล้ว มีมากจนยากที่จะคาดคะเนได้ แต่ว่ายังอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถรับได้
จนกระทั่งเวลานี้ เขาเพิ่งจะลืมตาขึ้นมองเบื้องหน้าหรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นภาพเงาร่างกายของเจ๋อซิ่วที่อยู่ในส่วนลึก
เจ๋อซิ่วกวัดแกว่งน่องเบาๆ มองแล้วก็คงจะไม่ได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น
จากนั้นเขามองไปยังทิศทางเบื้องหน้าของเจ๋อซิ่ว เห็นลำแสงปรากฏขึ้นมาเลือนราง
เวลาผ่านไปไม่นาน เขากับเจ๋อซิ่วมาถึงยังที่ที่มีแสงสว่างแห่งนั้น แต่มิได้เจอถ้ำที่มังกรดำได้กล่าวเอาไว้
ทว่าเวลานี้ พวกเขามิได้ครุ่นคิดสิ่งใด อาศัยเพียงแค่แรงโน้มถ่วงที่เหลืออยู่ แล้วดำดิ่งลงเบื้องล่าง จนกระทั่งแรงโน้มถ่วงหมดลง พวกเขาจึงเริ่มใช้มือว่ายดำลงไป
ไม่รู้ว่าว่ายลงไปนานเพียงใด อยู่ๆ พวกเขารู้สึกว่าแรงดันของน้ำที่อยู่รอบๆ กายค่อยๆ ลดลง
จากนั้นพวกเขาพบว่าแสงสว่างค่อยๆ กลายเป็นสว่างขึ้น ยิ่งนานยิ่งสว่างจ้า เต็มอยู่ในสองตาพวกเขาเชื่องช้า
จนกระทั่งถึงเวลานี้ พวกเขาถึงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
พวกเขามิได้ดำลงไปข้างล่าง ทว่าว่ายขึ้นข้างบน
เสียงน้ำดังซู่ซ่า
ในที่สุดพวกเขาก็ว่ายขึ้นมา
ยังคงอยู่ในน้ำ
พวกเขาว่ายโผล่พ้นน้ำออกมา
ที่นี่คือทะเลสาบที่สงบ ขนาดทะเลสาบใหญ่อย่างยิ่ง บริเวณรอบๆ ป่าไม้อุดมสมบูรณ์เขียวขจี ก้อนหินที่อยู่ริมฝั่งไม่รู้ว่าเป็นดอกไม้ชนิดใดงอกอยู่ตรงนั้น
ขณะนี้พวกเขากำลังอยู่ตรงกลางทะเลสาบ
เดิมทีส่วนลึกของสระ ที่แท้ก็คือทะเลสาบแห่งหนึ่ง
สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ ก้นทะเลสาบกับก้นสระเชื่อมต่อกัน
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วตกตะลึงอย่างยิ่ง
เวลาต่อมา พวกเขาเห็นภาพภาพหนึ่ง ยิ่งทวีความตกตะลึง จนถึงขนาดอ้าปากค้าง ไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกมาได้ทั้งสิ้น
กลางทะเลสาบแห่งนี้ มีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่ง
อยู่ตรงหน้าพวกเขา
บนก้อนหินมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่
สตรีผู้นั้นใบหน้างดงาม คงจะเพิ่งโผล่ออกมาจากน้ำในทะเลสาบ ร่างกายท่วมตัวเปียกชื้น เสื้อผ้าบางๆ ได้เปียกชุ่มแนบติดลำตัว มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เผยให้เห็นร่างกายที่เจริญเติบโตอีกทั้งยังดึงดูดผู้คน
หญิงสาวที่งดงามผู้นี้ กำลังหวีเส้นผมสีดำที่เปียกชุ่ม
การกระทำของนางช่างอ่อนน้อม ร่างกายของนางยิ่งอ่อนช้อย ใบหน้าของนางนั้นอ่อนหวาน ดวงตาใสแป๋วของนางดูอ่อนโยน
นางดุจดังผลไม้ที่สุกงอม ราวกับวิญญาณภูเขาที่เผ่าแม่มดทางทิศใต้กราบไหว้ ราวกับสตรีผู้งดงามที่อยู่บนภาพวาดกำแพงเมืองจิงตู
สำหรับหนุ่มน้อยแล้ว นางมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างยิ่ง นี่เป็นภาพที่มีเสน่ห์ที่สุด
เฉินฉางเซิงคิดไปถึงคำพูดของเจ๋อซิ่วก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
หน้าผาทางฝั่งนั้น คาดไม่ถึงว่าจะมีทะเลสาบจริงๆ
ในทะเลสาบคิดไม่ถึงว่าจะมีหญิงงามเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
นี่นับเป็นอะไร?