คล้ายกับว่าผ่านไปเป็นระยะเวลายาวนาน ที่จริงแล้วเป็นพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่ง
เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วทั้งสองคนโผล่ขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบ เห็นหญิงสาวนั่งหวีผมบนก้อนหินกลางแม่น้ำ พลันจ้องมองอย่างโง่งม
ทว่าในสายตาของหญิงสาว อยู่ๆ บนทะเลสาบก็มีศีรษะโผล่ขึ้นมาสองหัว เป็นภาพที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก
มีเสียงร้องแหลมตกใจดังขึ้น หญิงสาวผู้นั้นตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก หล่นจากก้อนหินลงไปในทะเลสาบจนสำลักน้ำ ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความตกใจหวาดกลัว
น้ำทะเลสาบได้อำพรางเสื้อผ้าที่เบาบางไว้ คล้ายกับว่าเห็นเป็นสีหยกอ่อนเลือนราง
เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่าไม่ทันได้คิดรอบคอบ แกว่งแขนว่ายน้ำไปยังจุดที่หญิงสาวตกลงไป
เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด พลันตามติดเขาไป
ว่ายมายังจุดที่หญิงสาวร่วงหล่น เฉินฉางเซิงจึงดำน้ำลงไป เวลานี้ไม่อาจปิดตาได้ เห็นเพียงแค่น้ำที่ใสสะอาด เสื้อผ้าบนร่างกายของหญิงสาวปลิวสะบัดเกี่ยวพันกันตามการดิ้นรนของนาง ทำให้มองเห็นลำคอที่ขาวผ่อง จนถึงขนาดว่าสามารถมองเห็นส่วนที่ดึงดูดผู้คน
เฉินฉางเซิงมิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ยื่นมือเข้าไปจับนาง
หญิงสาวผู้นั้นพลันได้รับการช่วยเหลือ ตามสัญชาตญาณจึงได้กอดรัดเข้ามา กอดเขาไว้แน่นดุจดังลูกหมีกอดต้นไม้ไว้มิปาน
เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ชัดเจน ใบหน้าของตนแนบชิดกับสิ่งที่เนียนนุ่ม เอวถูกขาทั้งสองหนีบไว้แน่น
ท่วงท่านี้เศร้ารันทดอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าเป็นเวลาที่คับขันเช่นนี้
ถ้าหากเป็นคนธรรมดา เกรงว่าเดิมทีไร้หนทางที่ช่วยเหลือคน ตนก็คงจะจมน้ำลงไปด้วย
เฉินฉางเซิงมิได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากฝ่ามือขวาของเขาจับไว้แน่น เตรียมที่จะลงมือได้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเตรียมจะตีหญิงสาวที่วุ่นวายให้สลบ หรือว่าอยากจะทำสิ่งใดกันแน่
เขาอุ้มหญิงสาวว่ายไปทางทะเลสาบอีกฟากหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นจึงสะลึมสะลือได้สติขึ้น ความหวาดกลัวพลันหายไป และรู้ดีว่าเฉินฉางเซิงมิได้มีเจตนาชั่วร้าย แต่มาช่วยเหลือตน เพราะความอับอายจึงได้ปรับเปลี่ยนท่วงท่า
แขนทั้งคู่ของนางโอบกอดคอของเขา กำลังเอียงหน้า
ดังนั้นใบหน้าของคนทั้งสองจึงแนบติดกัน
ถึงแม้ว่าอยู่ในน้ำที่เย็นเล็กน้อย เฉินฉางเซิงรับรู้ถึงไออุ่นของริมฝีปากของนาง รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนาง
เจ๋อซิ่วว่ายน้ำอยู่ด้านหลังเฉินฉางเซิง จ้องมองหญิงสาวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ขณะขึ้นมาจากทะเลสาบเพียงแวบหนึ่งก่อนหน้านี้ เขาเห็นชัดเจนยิ่งนัก สัญลักษณ์ที่รัดเอวของหญิงสาว คงจะเป็นลูกศิษย์พรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก
ทว่านี่ก็อธิบายสิ่งใดมิได้ เข้าจ้องเขม็งไปที่ดวงตาของนาง ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วปรารถนาจะมองเห็นสิ่งใด
ในที่สุดก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบ ลอยคออยู่บนพื้นผิว หญิงสาวผู้นั้นโอบกอดคอของเฉินฉางเซิง จ้องมองเจ๋อซิ่วที่อยู่เบื้องหลัง นัยน์ตามิได้มีความลุกลี้ลุกลน และมิได้มีความประหลาดใจ
แต่ว่าความสงบนิ่งเช่นนี้ก็คือปัญหา
เวลาต่อมา ในดวงตาส่วนลึกของนาง เจ๋อซิ่วมองเห็นการหัวเราะเยาะชนิดหนึ่ง
แม่นาง เพราะเหตุใดเจ้าถึงยิ้มเล่า?
เจ๋อซิ่วอยากจะถามนาง แต่มิได้ถามออกไป อีกทั้งยังไม่ทันได้ถาม
แขนของหญิงสาวที่โอบรัดคอของเฉินฉางเซิง นิ้วมือได้เตะลงติ่งหูด้านล่างของเขา
ที่นั่นมีเส้นเลือดที่สำคัญที่สุด และเป็นเส้นปราณที่เชื่อมต่อโดยตรงกับดวงจิต
เพียงแค่ที่แห่งนั้นถูกตัดขาด ถึงแม้จะเป็นใต้เท้าสังฆราชมาด้วยตนเอง ก็ไม่อาจจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้
ในระหว่างที่เงียบเชียบ เล็บของหญิงสาวผู้นั้นปรากฏไอสีมรกตเปี่ยมเสน่ห์ร้ายกาจออกมา
แม่น้ำที่มีสีเขียวกระจ่าง ก็ไม่อาจอำพรางไอมรกตสายนั้นไปได้
ป่าเขาสีเขียวขจีริมแม่น้ำ เมื่ออยู่ต่อหน้าไอมรกต เพียงชั่วครู่สีสันที่มีทั้งหมดพลันซีดจาง
เล็บของหญิงสาวผู้นั้นแทงเข้าไปแผ่วเบา
……
……
มิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้น
สีเขียวที่ยื่นออกมาจากเล็บของหญิงสาว มิได้แทงเข้าไปในลำคอของเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงราวกับว่ามิได้รู้สึกใดๆ ว่ายน้ำไปถึงยังก้อนหินที่อยู่กลางทะเลสาบ ดูเหมือนว่ากำลังเตรียมที่จะขึ้นไปบนนั้น
ดวงตากลมโตใสแป๋วของนางเคลื่อนไหวเล็กน้อย ราวกับว่ารู้สึกประหลาดใจและตกตะลึง นิ้วมือของนางออกแรงเล็กน้อย แทงลงไปอีกครา
…ยังคง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ในจิตใจของหญิงสาวผู้นั้นเกิดความตกตะลึงยิ่งนัก เพราะว่านางคิดอย่างไรก็ไม่ตก นี่เป็นเพราะเหตุใด
ในเล็บของนางซุกซ่อนไอมรกตไว้ เป็นหนึ่งในศาสตราวิเศษที่แหลมคมที่สุด ขอแค่ยังรวบรวมดวงดาวไม่สำเร็จเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ชำระล้างกระดูกสมบูรณ์เพียงใด เพียงแทงเข้าไปผิวหนังก็จะต้องขาดสะบั้น
อีกทั้งไอมรกตเดิมทียังซุกซ่อนพิษที่น่าหวาดกลัวที่สุดไว้ ถึงแม้จะเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงได้รับพิษนี้เข้าไป ก็ไม่อาจต้านทางได้เป็นเวลานาน
ทว่า…เหตุใดกลับแทงไม่เข้าผิวหนังของเฉินฉางเซิงเล่า?
ตอนนี้เอง สุดท้ายแล้วเฉินฉางเซิงจึงหันหน้ากลับมา
เขากับหญิงสาวผู้นั้นใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง จนถึงขนาดว่าได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน มองเห็นตนเองที่สะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของฝ่ายตรงข้าม
ดวงตาของเขาสุกสว่างยิ่งนัก
สุกสว่างจนทำให้คนรู้สึกสับสน
หญิงสาวผู้นั้นจ้องมองดวงตาของเขา มองดวงตาที่สุกสว่างราวกับกระจกก็มิปาน มองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของตนอยู่ในนั้น เห็นความสับสนที่พบเจอได้น้อยอย่างยิ่ง
อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่า นางนำขุนพลเผ่ามารมาเล่นสนุกอยู่บนฝ่ามือมานักต่อนัก ไม่เคยเจอผู้ใดที่จะทำให้จิตใจสับสน
ทว่าเวลานี้นางสับสนอย่างยิ่ง
ดวงตาของเฉินฉางเซิงสงบนิ่ง มิได้มีความหยอกเย้าแต่อย่างใด
นางกับรู้สึกว่าเขากำลังเยาะหยันตน ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยการฉีกหน้า
นางโมโห ไม่ยินยอมอย่างยิ่ง ถึงแม้ดวงตากลมโตใสแป๋วจะกลอกไปมา แต่เพียงชั่วขณะก็เปลี่ยนเป็นน่าสงสารเวทนาขึ้นมา
ใบหน้าที่งดงาม ท่าทางที่ราวกับว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ร่างกายโค้งเว้า บวกกับวิชามนต์เสน่ห์ร้ายกาจที่มีมาแต่กำเนิด รวมเข้าด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งยั่วยวนที่แข็งแกร่งจนหาสิ่งใดเปรียบมิได้
ไม่ว่าจะเป็นบุรุษที่จิตใจแข็งแกร่งดุจดังเหล็กศิลา คิดแล้วก็คงเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็คงจะไม่ลงมือในทันที ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหนุ่มน้อยอายุสิบห้าปี
ขอเพียงอาศัยจังหวะช่วงชิงโอกาสกลับมาเท่านั้น เช่นนั้นก็ยังคงมีโอกาส นางคิดเช่นนี้
ที่น่าเสียดายก็คือ เรื่องราวบนโลกใบนี้มิได้สอดคล้องกับความคิดของเราทั้งหมด อีกทั้งไม่อาจเป็นไปตามเจตนาชั่วร้ายนี้ได้
เฉินฉางเซิงเดิมทีมิได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ราวกับว่ามิได้มองเห็นใบหน้าของนาง มิได้มีผลกระทบต่อวิชามารแม้แต่น้อย
เขากอดแขนของนางไว้แน่น แข็งแกร่งราวกับท่อนเหล็ก
หญิงสาวผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย มีเสียงคำรามร้ายกาจแผดออกมาจากริมฝีปากแดง เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างกายฉีกขาดออกราวกับใยแมงมุม กลิ่นอายอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพลันปรากฏออกมา!
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นระดับวิทยายุทธ์ของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ กลิ่นอายที่นางแผ่ออกมาก็คงจะอยู่เหนือระดับทะลวงอเวจีขึ้นไป! เช่นเดียวกันกับเฉินฉางเซิง แต่ปริมาณพลังปราณแท้ยังเต็มเปี่ยมมากกว่านับสิบเท่า!
ร่างกายของเฉินฉางเซิงสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ว่าเขามิได้ปล่อยมือ
เขากอดนางไว้แน่น โผล่ขึ้นมาจากทะเลสาบ กระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าสีฟ้าสดใส!
ความสูงในการกระโดดครั้งนี้ก็หลายสิบจั้ง!
จากนั้นก็ร่วงหล่นลงสู่ก้อนหินที่อยู่กลางทะเลสาบ
ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ใช้วิชาย่างก้าวหยั่งเทวา ทำให้แรงการโน้มถ่วงร่วงลงรวดเร็วยิ่งขึ้น!
เขากำลังกอดนาง เหมือนกับก้อนหิน กระแทกลงไปทางโขดหินก้อนนั้น!
เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว!
โขดหินที่แข็งแกร่งกลางทะเลสาบพลันแตกออก อย่างน้อยมีหนึ่งในสามส่วนที่พังทลายร่วงลงสู่ในน้ำ
พละกำลังที่แข็งแกร่งหนักแน่นเช่นนี้ เฉินฉางเซิงไม่อาจโอบกอดไว้ได้อีกต่อไป บินทะยานลงสู่น้ำทะเลสาบอีกครา
หญิงสาวผู้นั้นยิ่งน่าเวทนา ร่างกายเผ่ามารที่ได้ขนานนามว่าสมบูรณ์ ภายใต้การโจมตีที่น่าหวาดกลัว ไม่รู้ว่ากระดูกได้แตกหักไปกี่ส่วน สีหน้าขาวซีด ริมฝีปากมีโลหิตไหลซึมออกมา
เวลานี้เอง เงามืดพลันเข้ามาจู่โจม
นั่นก็คือเจ๋อซิ่ว
เสียงพึ่บพั่บดังขึ้น ช่องว่างระหว่างโขดหินกลางทะเลสาบมีแสงสว่างขึ้น
จากนั้นเสียงโกรธแค้นและเจ็บปวดผสมผสานกันก็ดังขึ้น
แม้ระดับวิทยายุทธ์ของหญิงสาวจะสูงส่งกว่านี้หรือพลังปราณแท้จะแข็งแกร่งอีกเพียงใด เมื่อถูกเฉินฉางเซิงกระทบถึงห้วงแห่งจิต ภายใต้สถานการณ์กะทันหันไม่ทันได้เตรียมตัว จึงไม่อาจยับยั้งการจู่โจมจากเจ๋อซิ่วได้
แสงสว่างที่มาจากนิ้วมือของเจ๋อซิ่ว
ปลายเล็บของเขา มีสีเงินแหลมคมยื่นออกมา ทิ้งร่องรอยบาดแผลไว้บนร่างกายที่ล่อนจ้อนของหญิงสาวผู้นั้น
เจ๋อซิ่วเดินทางไปทั่วทั้งใต้หล้า ซุ่มโจมตีสังหารเผ่ามาร แต่ไหนแต่ไรมิได้ต้องการอาวุธ อาวุธของเขาก็คือมือทั้งสองคู่นี้ เขาเข้าใจมากกว่าผู้ใดว่าจุดใดบนร่างกายของเผ่ามารที่อ่อนแอที่สุด
ไอพลังที่อยู่บนโขดหินกลางทะเลสาบแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง หญิงสาวผู้นั้นแผดเสียงด้วยความโกรธแค้น หมุนมือซ้ายออก ผลักเจ๋อซิ่วลงเบื้องล่าง ทว่าช่วงเวลานั้น นิ้วก้อยของนางกลับถูกเล็บของเจ๋อซิ่วตัดขาด!
เวลานี้เอง เฉินฉางเซิงก็กลับมา!
ทะเลสาบสีเขียวกระจ่าง พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานทั่วทั้งผืน ประหนึ่งช่วงเวลาอาทิตย์อัสดง
หมู่เมฆยามสายัณห์ ปกคลุมโขดหินที่อยู่กลางทะเลสาบ
แขวนดวงสุริยันแห่งกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า!
อาศัยพลังกระบี่ เพียงชั่วครู่เฉินฉางเซิงก็ลอยขึ้นจากน้ำมายังโขดหิน เท้าทั้งสองร่วงลง พลังกระบี่เตรียมพร้อม เสียงเคร้งดังขึ้นเสียงหนึ่ง กระบี่สั้นปรากฏออกมาจากฝัก!
กระบี่สั้นที่อยู่ตรงเอวของเขาเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมาจากฝักจริงๆ!
เสียงฉับดังขึ้น!
แสงสุริยันเต็มท้องฟ้า โขดหินใจกลางทะเลสาบทั่วทั้งผืนเป็นสีแดง
หญิงสาวผู้นั้นขับเคลื่อนวิชามาร มือของนางห่างจากคอหอยของเฉินฉางเซิงเพียงแค่ครึ่งฉื่อ ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้
เพราะว่ามือขวาของนางขาดแล้ว กระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ!
หญิงสาวผู้นั้นกู่ร้องด้วยความทรมาน ร่างกายพลันอ่อนแอลง เหยียบย่ำลงผิวน้ำ ถอยกลับไปข้างหลัง เพียงชั่วครู่ก็มาถึงริมทะเลสาบ
ผู้ใดจะคิดว่าเจ๋อซิ่วได้เตรียมการอยู่บนน้ำไว้ก่อนแล้ว
เห็นเพียงแค่คลื่นน้ำกระเพื่อมทุกทิศทุกทาง เจ๋อซิ่วแกว่งแขนออกมา แสงสว่างพลันกะพริบวาบ ข้อเท้าของหญิงสาวเพิ่มรอยโลหิตขึ้นมาอีกหนึ่งสาย พร้อมกับรินไหลลงบนพื้นทราย
กระบี่ของเฉินฉางเซิงพุ่งทะลวงอากาศออกไป หญิงสาวผู้นั้นหลบหลีกไปด้านข้างด้วยความยากลำบาก กลับถูกเจ๋อซิ่วคร่อมตัวอยู่เหนือกาย
เล็บของเจ๋อซิ่วกดลงไปตรงคอหอย เล็บแหลมคมจ่ออยู่ตรงกระดูกอ่อนที่หาได้ไม่ง่ายตรงคอหอยนาง
เพียงแค่เขาออกแรงอีกเล็กน้อย ลำคอของนางก็จะถูกแทงทะลุ
นัยน์ตาของหญิงสาวผู้นั้นหดเล็กลง ไม่กล้าขยับอีกต่อไป
จนกระทั่งถึงเวลานี้ มือที่ขาดของนางข้างนั้นถึงร่วงหล่นลงไปในทะเลสาบ
เส้นเลือดของนางเมื่อล่องลอยถอยไปข้างหน้า ก็ไหลรินลงสู่กลางทะเลสาบ
น้ำทะเลสาบที่ใสแจ๋ว ถูกโลหิตผสมยิ่งทำให้เป็นสีเขียวเข้มขึ้น
รอยโลหิตที่หยดเป็นสายบนพื้นทราย มองแล้วราวกับตะไคร่น้ำ
โลหิตของนาง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสีเขียว
……
……
เฉินฉางเซิงเดินออกมาจากทะเลสาบ ยกกระบี่สั้นขึ้น เดินมายังข้างกายของคนทั้งสอง
หญิงสาวผู้นั้นถูกเจ๋อซิ่วคร่อมอยู่บนตัวมิได้ขยับแม้แต่สักชุ่นเดียว คล้ายกับว่าเป็นภาพที่น่ามอง ที่จริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะเล็บของเจ๋อซิ่ว ยังคงจ่ออยู่ที่คอหอยของนาง
เห็นข้อมือของนางที่มีโลหิตสีเขียวไหลริน เฉินฉางเซิงตะลึงงันเล็กน้อย เขาจำไม่ได้ว่าโลหิตของสมาชิกเผ่านามเยี่ยซื่อเมื่ออยู่สำนักฝึกหลวงเป็นสีอะไร
นี่มิใช่การต่อสู้ครั้งแรกของเขา แต่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสถานการณ์ที่น่าเวทนาเช่นนี้ เป็นการต่อสู้ที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายจริงๆ
เขาเคยพบเห็นโลหิตมาแล้ว แต่เคยเห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้น้อยอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ของเขา ภาพเหล่านี้มีเขาเป็นต้นเหตุ
ที่จริงแล้วเขาเป็นเพียงแค่หนุ่มน้อย เมื่อเห็นภาพนี้จึงรู้สึกไม่เคยชิน ด้วยเหตุนี้จึงเงียบนิ่งมิได้เอ่ยอะไรออกมา
เจ๋อซิ่วเคยชินอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงเงียบนิ่ง
สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นขาวซีดยิ่งนัก ท่าทางอ่อนโรย บวกเข้ากับใบหน้าที่งดงาม ยิ่งทำให้ผู้คนสงสารเวทนา
บนใบหน้าของเจ๋อซิ่วกลับมิได้มีความรู้สึกแต่อย่างใด
หญิงสาวมั่นใจว่าตนไม่อาจใช้มนต์เสน่ห์ยั่วยวนหนุ่มน้อยเผ่ามนุษย์สองคนนี้ได้ สุดท้ายจึงปล่อยวาง มองไปยังท้องฟ้าสีสดใส หน้าอกขยายใหญ่ขึ้น สีหน้าที่งดงามกลับซีดขาว
แสงสุริยันบนผิวทะเลสาบได้หายไปนานแล้ว พระอาทิตย์ยังคงอยู่ตรงกลางฟากฟ้า ลมทะเลสาบพัดมา สัมผัสได้ถึงความเย็นเล็กน้อย ป่าไม้ที่อยู่บนฝั่งสั่นไหวเล็กน้อย ก่อเกิดเป็นคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน