ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 261-1 ปีกที่อำพราง

หลังจากเฉินฉางเซิงกับมังกรดำได้รู้จักกัน ตั้งแต่ครั้งแรกมังกรดำก็คุยเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ จึงได้ยินยอมช่วยเขา เพราะว่าเผ่ามารทำให้นางคิดไปถึงเรื่องที่ไม่ให้ยินดีเสียเท่าไหร่ โดยเฉพาะกระทะใบใหญ่ ทำให้รู้สึกเกลียดชังเมื่อเห็น อีกทั้งภรรยาเผ่ามารที่เอ่ยถึงมนุษย์ที่กินเนื้อมังกร ยิ่งทำให้นางรำคาญใจ

มังกรดำออกจากมือของเฉินฉางเซิง กลายเป็นเงาที่สายตาไม่อาจมองเห็นได้ ล่องลอยไปยังกลางทะเลสาบ จากนั้นร่วงหล่นราวกับใบไม้ร่วง จมหายไปในก้นบึ้งทะเลสาบอย่างไร้เสียง ทะลุผ่านไปยังเส้นทางฟ้าดิน กลับมายังสระน้ำเย็นตรงริมหน้าผา แล้วดำออกมาจากน้ำ ล่องลอยไปยังผืนป่า

ระดับพลังของนางตอนนี้ ไม่อาจมีผลกระทบต่อการต่อสู้ครั้งนี้แต่อย่างใด สิ่งที่เฉินฉางเซิงมอบหมายให้นางทำก็คือไปเตือนภัย ตามหาผู้ช่วย ตามความคิดของเฉินฉางเซิง ถ้าหากตามหาผู้อาวุโสที่มีระดับวิทยายุทธ์อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีพบก็คงจะดีไม่น้อย ทว่านางกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ นางชัดเจนยิ่งนักว่าคนที่แข็งแกร่งที่สุดในป่าแห่งนี้คือผู้ใด โลกของสวนโจวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล แต่ดวงของนางก็มิได้เลวนัก เพียงเวลาไม่นาน อยู่ตรงหน้าผาก็เห็นหญิงสาวที่สวมชุดขาวเดินอยู่ลำพัง เห็นธนูโค้งคอที่พาดอยู่บนร่างกายของหญิงสาวชุดขาว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกหนาวสั่นและหวาดกลัว

……

……

เวลานี้เอง เถิงเสี่ยวหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังที่ไกลออกไป เป็นขุนพลมารอันดับที่ยี่สิบสี่ ระดับวรยุทธ์ของเขานั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ถึงแม้มังกรดำจะจากไปดุจดังสายฟ้าที่ไร้สุ้มเสียง กลับทำให้เขารับรู้ถึงสิ่งที่เคลื่อนไหว เพียงแค่การเคลื่อนไหวของมังกรดำนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง เร็วจนเขามองไม่เห็นสิ่งใด

“ในเมื่อเหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนก็เป็นคนที่พวกเจ้าต้องการจะสังหาร เช่นนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว” เฉินฉางเซิงจ้องมองหลิวเสี่ยวหวั่นพลางเอ่ยออกมา ก่อนหน้านี้เมื่อเขาปล่อยสัญญาณเมฆ ฝ่ายตรงข้ามมิได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เขารู้สึกว่ามีสิ่งใดแอบแฝงอยู่ ทว่าขณะนี้คิดดูแล้ว สองสามีภรรยาเผ่ามารจงใจให้ตนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แล้วให้เรียกเหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนมา เพื่อเตรียมจะสังหารทั้งหมดในเวลาเดียว

หลิวเสี่ยวหวั่นมองเขาแสยะยิ้ม กล่าวตอบ “ถ้าหากสามารถจัดการปัญหาทั้งหมดภายในเวลาสั้นๆ แน่นอนว่าดีที่สุด”

เฉินฉางเซิงมองหญิงงามเผ่ามารหายใจริบหรี่ คอหอยถูกเจ๋อซิ่วจับอยู่ ยังคงมีความรู้สึกสงสัยยากที่จะอธิบายได้

“ข้าไม่เข้าใจพวกเจ้ามีความมั่นใจมาจากไหนกัน ถึงจะต่อสู้ด้วยสองต่อสี่”

เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “ถ้าหากอยู่ด้านนอกสวนโจว เป็นขุนพลยี่สิบสามยี่สิบสี่แห่งเผ่ามารที่มีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยม เวลานี้ข้าก็คงจะหนีไปแล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้าใช้วิธีนี้เพื่อเข้ามาในสวนโจว เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ใช้ได้เพียงแค่ระดับขั้นนี้ต่อสู้ ถึงแม้พวกเจ้าจะแข็งแกร่งที่สุดก็คงเป็นได้แค่ระดับทะลวงอเวจี”

หลิวเสี่ยวหวั่นมองเขา เอ่ยด้วยความราบเรียบ “ความมั่นใจ เป็นสิ่งพื้นฐานของผู้แข็งแกร่ง”

“แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ เฉินฉางเซิงกับข้าเหมือนกัน ล้วนแต่เป็นคนไม่ชอบพูด” เจ๋อซิ่วอยู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นกับนาง

หลิวเสี่ยวหวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกฉงน โพล่งขึ้นมา “มองไม่ออกเลย”

เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “เขาคุยกับพวกเจ้ามากมาย รวมถึงข้าที่คุยกับเจ้าตอนนี้ ที่จริงแล้วมีจุดประสงค์ตรงกัน…ก็คือถ่วงเวลา”

หลิวเสี่ยวหวั่นขมวดคิ้วให้สูงขึ้นไปอีก เอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”

“เจ้าพูดได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ความมั่นใจ เป็นสิ่งพื้นฐานของผู้แข็งแกร่ง”

เจ๋อซิ่วยังคงกล่าวต่อ “เฉินฉางเซิงมั่นใจยิ่งนัก เขาแข็งแกร่งกว่าเฉินฉางเซิงในจินตนาการของพวกเจ้ามากนัก สิ่งที่บังเอิญก็คือ ข้าก็เป็นเช่นนี้ด้วย”

เวลานี้เอง ในป่ามีเสียงที่ดังชัดเจนและทะนงตนดังขึ้น

“มิผิด ข้าก็คิดเช่นนี้”

เมื่อน้ำเสียงได้หายไป คนหนุ่มสองคนที่สวมชุดลายกระบี่สีขาว เดินออกมาจากในป่า

ลูกศิษย์ของเขาหลีซาน ในที่สุดก็มาถึงแล้ว

พวกเขาได้เตรียมการต่อสู้ไว้แล้ว เกร็งพลังกระบี่ไว้กับตัว

พวกเขาจ้องมองไปยังสองสามีภรรยาเผ่ามาร พลังกระบี่ที่ผ่อนคลาย แววตาเปล่งประกาย

ในป่าลึกออกไปเล็กน้อย มีเงาของเสื้อผ้าปรากฏเลือนราง คงจะเป็นจวงห้วนอวี่ที่ใกล้จะถึงเช่นกัน

เวลานี้ สถานการณ์ในสนามได้เปลี่ยนไปมากอย่างยิ่ง

ผู้มีพรสวรรค์คนหนุ่มเผ่ามนุษย์ห้าคน ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารสองคน ไม่ว่าจะมองอย่างไร ล้วนสามารถต่อสู้ได้ อีกทั้งโอกาสชนะยังมีไม่น้อย

หากเป็นเหมือนกับที่เจ๋อซิ่วได้เอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ เมื่ออยู่ด้านนอกสวนโจวไม่ว่าพละกำลังของคู่สามีภรรยาเผ่ามารจะรุนแรงเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ในสวนโจว ความรุนแรงมากที่สุดของพวกเขาก็เพียงแค่ระดับขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้น

แต่เฉินฉางเซิงกลับไม่อาจอธิบายความฉงนทั้งหมดนี้ได้ เวลานี้ เหตุใดพวกเขายังคงมั่นใจเช่นนี้?

ท่าทางหลิวเสี่ยวหวั่นยังคงอบอุ่น ไม่เหมือนเหลียงเสี้ยวเซียวและชีเจียนที่ราวกับเตรียมเผชิญศึกใหญ่ มองเฉินฉางเซิงแล้วเอ่ยว่า “ถึงแม้จะต้องต่อสู้ อย่างไรก็จะต้องแลกคนก่อน”

นางกุมความเป็นความตายของลูกศิษย์พรรคอินซื่อแห่งทิศตะวันออก

ความเป็นความตายของหญิงงามเผ่ามาร ก็อยู่ในเล็บมือของเจ๋อซิ่ว

“เจ้าคือเจ้าสำนักแห่งสำนักฝึกหลวง ถึงแม้จะเล็กเช่นนี้ แม้แต่ข้าก็คิดว่าสังฆราชกำลังทำเรื่องวุ่นวาย…”

หลิวเสี่ยวหวั่นมองเขายิ้ม แล้วเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อเป็นคนของพระราชวังหลี ก็คงจะไม่มองเพื่อนมนุษย์เสียชีวิตไป พรรคฉางเซิงเป็นพรรคหลัก เขาหลีซานถึงจะง่ายต่อการสังหาร แต่ก็ไม่อาจมองเห็นเพื่อนมนุษย์เสียชีวิตไป วั่วฟูเจ๋อซิ่วเป็นลูกหมาป่า เพียงแค่กินเนื้อก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ทว่าพวกเจ้าทำมิได้”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เจ๋อซิ่วมองไปที่เฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง

อยู่ในที่ราบหิมะ เขาเป็นหนุ่มน้อยหมาป่าที่ไม่เคยไว้หน้าผู้ใด พระราชวังลี เขาหลีซานอะไรก็ตาม ล้วนแต่มิได้เกี่ยวข้องกับเขา เขาเพียงแค่มีชีวิตอยู่ จากนั้นก็สังหารศัตรู แต่หลังจากมาจิงตู เขาได้นำตำแหน่งของตนวางไว้อย่างแน่วแน่ อยู่ในสวนโจว เขาเป็นผู้คุ้มกันของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงจ้องมองชีเจียน ชีเจียนมองไปที่เหลียงเสี้ยวเซียว

“แลก” เฉินฉางเซิงกับเหลียงเสี้ยวเซียวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

ชีเจียนพยักหน้า แสดงว่าเป็นเรื่องที่ควรกระทำ เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด

หลิวเสี่ยวหวั่นสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ไม่รู้ว่าทำสิ่งใด เถิงเสี่ยวหมิงยกหญิงสาวมือขวาขาดในตะกร้าขึ้น หญิงสาวที่งดงามสลบไสลก็ลืมตาแล้ว

เมื่อตื่นขึ้นมา สิ่งที่รับรู้เป็นอันดับแรกก็คือความเจ็บปวด

สีหน้าของหญิงสาวผู้นั้นพลันเปลี่ยนเป็นซีดเซียวไร้สิ่งใดเปรียบ น้ำตาเอ่อคลอเต็มขอบตา แต่นางยังกัดฟันทนต่อไป นอกจากเมื่อแรกเริ่ม มีเสียงโอ๊ย หลังจากนั้นก็มิได้เปล่งเสียงใดๆ ออกมาอีก

เมื่อมองภาพฉากนี้ แม้แต่เจ๋อซิ่วยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป คล้ายกับว่าเกิดความรู้สึกสงสารและเคารพชื่นชม

ชีเจียนใช้ความรวดเร็วที่สุดในการปลดเสื้อ สะบัดออกจากไหล่ แล้วนำมาห่อตัวนางไว้

เวลานี้ หญิงสาวผู้นั้นถึงพบรู้ว่าร่างกายของตนนั้นล่อนจ้อน หลังจากตกตะลึง มองหลิวเสี่ยวหวั่นด้วยความเกลียดชัง

หลิวเสี่ยวหวั่นยิ้มเล็กน้อย มิได้สนใจ

“ไม่ต้องทำเกินเลยไป” เหลียงเสี้ยวเซียวใช้น้ำเสียงราบเรียบ ใช้คำพูดแก้ไขสถานการณ์นี้

“ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยเหลือ”

หญิงสาวผู้นั้นคุกเข่าทำความเคารพ ร่างกายที่เปลือยเปล่าห่อหุ้มไปด้วยชุดคลุมที่รัดแน่น เป็นใครก็รู้สึกเขินอาย เท้าทั้งคู่ที่ขาวโพลนเหยียบย่ำบนพื้นที่เต็มไปด้วยทรายและกรวด เป็นผู้ใดก็ไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร แต่ใบหน้าที่งดงามกลับมิได้สับสนอลหม่าน ก็เหมือนกับบุตรธิดาของผู้มีอำนาจบารมีที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่เป็นปกติ

ท่าทางความชื่นชมในดวงตาของเจ๋อซิ่วยิ่งทวีคูณขึ้น

ชีเจียนมองเขาแวบหนึ่ง พึมพำเสียงหึอยู่ในใจ

ลูกศิษย์ของพรรคทางทิศตะวันออกเป็นธิดาของผู้มีอำนาจบารมี เดินเข้าไปหาเฉินฉางเซิงและคนอื่น

หลิวเสี่ยวหวั่นมิได้ขัดขวางใดๆ ทั้งสิ้น

บนพื้นทรายยากที่จะเดิน นางเพิ่งมือขาด โลหิตจึงไหลจำนวนมาก เป็นท่วงท่าที่อ่อนแอ แต่นางเดินได้มั่นคง คงจะไม่อยากนำการเปลี่ยนแปลงมาอีก

หลังจากนั้นชั่วครู่ นางเดินมายังข้างหน้าของเฉินฉางเซิงและคนอื่น

ชีเจียนเดินไปข้างหน้าสองก้าว เตรียมที่จะยื่นมือเข้าไปประคอง

หญิงสาวที่ใบหน้างดงามปรากฏความอับอายและคัดค้านแฝงไว้อยู่

ชีเจียนจึงนึกขึ้นได้ จึงชักมือกลับเก้ๆ กังๆ แล้ววางไว้ข้างกาย

เฉินฉางเซิงพยักหน้าให้กับเจ๋อซิ่ว

เจ๋อซิ่วชักเล็บที่แหลมคมกลับ จับอยู่ตรงไหล่ของหญิงงามเผ่ามาร เตรียมที่จะโยนให้กับหลิวเสี่ยวหวั่น

การเปลี่ยนแปลง

จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างแน่นอน

มีคนที่รอคอยการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ เป็นเวลานาน

ในที่สุด เวลานี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

……

……

ก่อนการเปลี่ยนแปลง เมื่อเจ๋อซิ่วโยนหญิงงามเผ่ามารที่มองแล้วหายใจริบหรี่ไปในกลางอากาศ นางที่สามารถเสียชีวิตได้ตลอดเวลาพลันเบิกตาโพล่ง

เท้าที่ขาวโพลนสองข้าง ราวกับแสงกระบี่ มุ่งสับเข้าไปในคอหอยของเจ๋อซิ่ว

รอยแผลบนคอหอยนางยังมีโลหิตไหลอยู่ บนข้อมือของนาง ยังมีโลหิตรินไหล

ในตอนที่ถูกจับ นางมิได้เอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว ทุกคนล้วนแต่คิดว่านางไม่มีแรงที่จะต่อสู้ไปอีก

ผู้ใดจะคาดคิด นางรอคอยเพียงเสี้ยวเวลาที่เล็บมือของเจ๋อซิ่วออกห่างจากคอหอย

การเปลี่ยนแปลงต่อมา เกิดด้านหน้าของชีเจียน

เมื่อเขาหันกายกลับเชื่องช้า ความอับอายบนใบหน้าของหญิงสาวพรรคอินซื่อพลันหายไป หลงเหลือเพียงแค่ความเฉยเมย

คมกระบี่ที่เยียบเย็นทะลวงออกจากชุดคลุม นำไอความโกรธแค้น แทงไปยังคอหอยของชีเจียน

ชุดคลุมนี้ เดิมทีเป็นของชีเจียน

นางใช้ประโยชน์จากความดีงามและความให้เกียรติของชีเจียน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset