ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 261-2 ปีกที่อำพราง

การเปลี่ยนแปลงในเมื่อในเริ่มขึ้น เป็นธรรมดาว่าจะไม่หยุดเพียงแค่นี้

ชีเจียนไม่ได้หันกาย คล้ายกับว่ามิได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย อยู่ภายใต้การซุ่มโจมตี ในสายตาเห็นหญิงสาวที่คล้ายกับว่ากำลังจะเสียชีวิตอยู่ แต่กลับมีแสงกระบี่ที่สว่างวาบออกมา

เพลงกระบี่เขาหลีซาน!

ความยุติธรรม ทว่ามิได้ยุติธรรม เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงสังหาร!

ชีเจียนที่ผอมบาง กระบี่ของเขากลับมีพลังมหาศาล!

กระบี่ที่จู่โจมเข้ามานั่น จะเอาชนะกระบี่ที่เตรียมพร้อมมาเนิ่นนานจนแน่วแน่ของเขาได้อย่างไร!

ได้ยินเพียงแค่พรึบดังขึ้น วิชากระบี่เขาหลีซานในมือของชีเจียนล่องลอยไปหากระบี่ในมือของหญิงสาว เสียงขวับดังขึ้น ลำคอด้านซ้ายของนางมีรอยแผลโลหิตซึมออกมา!

ถ้าหากมิใช่เพราะท่าร่างที่แปลกประหลาดของหญิงสาว ถ้าหากมิใช่เพราะการว่าชีเจียนมีประสบการณ์การต่อสู้ไม่มากนัก เกรงว่ากระบี่นี้จะหั่นคอของหญิงสาวผู้นั้นสะบั้นเสีย!

ชีเจียนได้เตรียมการในการลอบจู่โจมเอาไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ๋อซิ่ว

เมื่อเท้าทั้งคู่ของสาวงามเผ่ามารเหยียดตรงราวกับกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา มือของเจ๋อซิ่วก็ได้รออยู่กลางอากาศแล้ว

คล้ายกับคมมีดที่ทิ่มแทงลงบนไม้เน่าเปื่อย มีเสียงฉึกดังขึ้น

นิ้วมือทั้งสิบของเจ๋อซิ่ว ทิ่มแทงลึกเข้าไปในข้อเท้าของสาวงามเผ่ามาร พลันมีโลหิตสดรินไหลออกมา

สาวงามเผ่ามารผู้นั้นแผดเสียงร้องด้วยความโกรธแค้น!

ท่าทางของเจ๋อซิ่วเฉยเมย ดึงนิ้วมือออกมา ร่างกายพลันเลือนราง มือทั้งคู่ทะลวงออกไปกลางอากาศ เตรียมที่จะฉีกทึ้งหญิงสาวออกเป็นชิ้นๆ

เวลานี้เอง ท่าทางของเถิงเสี่ยวหมิงที่ยกหาบลงด้วยความเมินเฉย ถือเชือกเส้นใหญ่สองเส้นที่รัดตะกร้าออกมากวัดแกว่ง

เชือกเส้นใหญ่ทั้งสอง ราวกับว่ามีชีวิต แยกหญิงสาวทั้งสองคนออกมา

เสียงพึ่บพั่บดังขึ้น หญิงสาวทั้งหลุดพ้นการโจมตีจากชีเจียนและเจ๋อซิ่วหวุดหวิด

หญิงสาวที่ปลอมตัวเป็นลูกศิษย์พรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก ท่าทางยังคงสวยงามเพียบพร้อม ราวกับว่าเป็นบุตรสาวของผู้มีบารมีอำนาจ เพียงแค่มีโลหิตสดอาบย้อมอยู่ตรงครึ่งหน้าอก ทำให้นางดูจนตรอกอยู่บ้าง

หญิงงามเผ่ามารผู้นั้นยิ่งน่าเวทนา ตั้งแต่หวีผมอยู่ตรงโขดหินกลางทะเลสาบ ได้รับบาดเจ็บต่อเนื่อง กลับไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป จึงนั่งลงกลางพื้นเสียดื้อๆ

เสียงกึกดังขึ้น เฉินฉางเซิงเก็บกระบี่สั้นลงฝัก

กระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียวยังคงอยู่นอกฝัก กุมอยู่ในมือ

ภาพการซุ่มโจมตีกับการโต้กลับก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นรวดเร็วอย่างยิ่ง พวกเขาถึงแม้จะมิได้เตรียมตัว แต่ยังไม่ทันได้ออกกระบี่

จะไม่กล่าวถึงมิได้ เถิงเสี่ยวหมิงคู่ควรที่จะเป็นขุนพลมารอันดับที่ยี่สิบสี่ สายตาพบเห็นประสบการณ์มากมาย พละกำลังระดับวิทยายุทธ์จึงเหนือกว่าคนเหล่านี้ไปขุมหนึ่ง

ริมทะเลสาบจึงเงียบเชียบอีกครา

หญิงสาวเผ่ามารที่นั่งอยู่ตรงพื้น กระหืดกระหอบต่อเนื่อง มิได้สนใจว่าตนนั้นมิได้เสื้อผ้าเลยแม้แต่น้อย จ้องมองเฉินฉางเซิงกับคนอื่นด้วยความโกรธแค้น พลางเอ่ยออกมา “ข้าไม่ยอม!”

หญิงสาวที่สวมชุดคลุมของชีเจียนขมวดคิ้วเล็กน้อย บนใบหน้าเผยความไม่ยินดีออกมา พลางกล่าวถาม “นางโง่เง่าเช่นนั้นก็ช่างเถิด พวกเจ้าใช้สิ่งใดถึงมองข้าออกเล่า?”

หญิงงามเผ่ามารเอ่ยด้วยความโมโห “เรียกข้าว่าคนโง่เง่าหมายความว่าอย่างไร?”

หญิงสาวผู้นั้นส่ายศีรษะ คล้ายกับว่ามิได้ใส่ใจนาง มองไปที่ชีเจียนเอ่ยถามต่อ “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าข้าจะโจมตีเจ้า?”

ชีเจียนมองไปยังเจ๋อซิ่ว พลางเอ่ย “ข้าไม่รู้ เขาบอกข้า”

หญิงสาวผู้นั้นมองไปยังเจ๋อซิ่ว ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามเขา “เช่นนั้นเจ้ามองออกได้อย่างไรว่าข้าคือหนานเค่อ?”

เมื่อได้ยินชื่อของหนานเค่อ ท่าทางของเจ๋อซิ่วเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย มองนางแล้วเงียบนิ่งชั่วครู่ จากนั้นจึงได้มั่นใจ ส่ายหน้า แล้วเอ่ยตอบ “เจ้ามิใช่หนานเค่อ…ข้าเคยบอกแล้ว ถ้าหากเป็นหนานเค่อ เดิมทีก็คงจะไม่ทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ คงจะออกมาแล้วสังหารพวกเราเสีย จะทำเรื่องน่ารำคาญเช่นนี้ได้อย่างไร ช่างยุ่งยากเสียจริงๆ”

หญิงสาวผู้นั้นคิ้วขมวดเข้าหากัน ยังคงถามต่อ “เช่นนั้นเจ้ามองออกได้อย่างไร? ข้ามิได้มีเขามาร อีกทั้งโลหิตยังเป็นสีแดง”

พลังการฟื้นฟูของหญิงงามเผ่ามารช่างน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่านั่งเพียงชั่วครู่ ก็สามารถยืนขึ้นอีกครา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห “ถูกต้อง! โลหิตของข้าเป็นสีเขียวก็แล้วไป หลายวันก่อนข้าตัดผมมาใหม่ ตัดมากไปหน่อย จึงไม่อาจปิดบังเขามารทำให้พวกเจ้ามองออก เช่นนั้นเจ้าเด็กคนนั้นเล่า? ชัดเจนยิ่งนักว่าโลหิตของนางเป็นสีแดง เขามารก็ไม่มี เหตุใดเจ้าถึงมองออกว่านางเป็นพวกข้า?”

เฉินฉางเซิงกับคนอื่นก็มองไปที่เจ๋อซิ่ว ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วเขามองออกได้อย่างไร

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งเป็นเวลานานจากนั้นจึงเอ่ยออกมา “พวกเจ้าจงใจทำเกินไป ราวกับว่าตั้งใจให้พวกข้าเห็นว่าโลหิตของนางเป็นสีแดง”

ที่กล่าวมาก็คือเรื่องที่สามีภรรยาเผ่ามารมิได้เอ่ยสิ่งใด จู่ๆ ก็ตัดแขนของหญิงสาวผู้นั้น

หลิวเสี่ยวหวั่นเหลือบมองหญิงสาวผู้นั้น ยิ้มออกมา “ดูเถิด ข้าว่าแล้วไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้”

หญิงสาวผู้นั้นมองเจ๋อซิ่ว ไม่เข้าใจยิ่งนัก “เหตุผลเพียงแค่นี้รึ? มิได้มีหลักฐานอื่นแล้วรึ?”

“ระหว่างความเป็นความตาย หนึ่งเหตุผลก็เพียงพอแล้ว” เจ๋อซิ่วเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

หญิงสาวผู้นั้นได้ยินก็ไม่ยินดี ในใจครุ่นคิดตนนั้นคิดแผนการด้วยความยากลำบาก เหตุใดสำหรับเผ่ามนุษย์เหล่านี้กับใช้ไม่ได้ผลเล่า

หญิงงามเผ่ามารมองนางด้วยความเยาะหยัน “ดูเถิด ข้าบอกแล้วว่าสมองเจ้าไม่ค่อยมีไหวพริบ ทุกวันกลับชอบด่าข้าว่าโง่เง่า”

ใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “ถ้าหากเจ้ามิใช่คนโง่เง่า ก็คงไม่คิดแอบหนีไปเพียงคนเดียว แล้ววางแผนอย่างบ้าระห่ำหมายสังหารคนทั้งสองเพียงลำพัง”

……

……

เฉินฉางเซิงกับคนอื่นรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา

หญิงงามเผ่ามารผู้นั้นมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน รูปร่างสะโอดสะองท่าทางอ่อนช้อย รูปหน้างดงาม ราวกับว่าถูกเลี้ยงมาอย่างเคร่งครัดจากตระกูลที่มีอำนาจบารมีตั้งแต่เยาว์วัย แต่เมื่อมองทั้งสองคนเย้าหยอกและโต้เถียงกันเอง กลับรู้สึกว่าสองคนนี้เหมือนกันอย่างยิ่ง จนคล้ายกับว่าเป็นคนเดียวกัน

ความรู้สึกของชีเจียนยิ่งแปลกประหลาด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเผ่ามารอย่างจริงๆ จังๆ อีกทั้งยังได้ต่อสู้กับเผ่ามาร กลับพบว่าเผ่ามารเดิมทีก็ทะเลาะโต้เถียงกัน เหมือนกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในพรรคเหล่านั้น แต่ในเวลาต่อมา เขาก็รู้สึกตัว รู้ว่าการคิดเช่นนี้ของตนอันตรายอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตัว ก็คือร่างกายที่เปลี่ยนแปลงของหญิงสาวเผ่ามารทั้งสองคน

ก่อนหน้านี้ชัดเจนว่ามือของพวกนางถูกตัดขาด คาดไม่ถึงจะฟื้นคืนในระดับความเร็วที่สายตามองเห็น

มิได้เป็นบาดแผลหายสนิท หรือเป็นภาพที่เกิดเป็นกล้ามเนื้อกระดูกรวมกันอย่างน่ากลัว แต่สิ่งที่เป็นก็คือข้อมือของพวกนางโปร่งแสงเล็กน้อยและเป็นสีรางๆ

อย่างไรก็ตามมือนั้นราวกับว่ามีชีวิต กำลังค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืออย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงตกตะลึงอย่างยิ่ง ร่างกายเนื้อหนังของเผ่ามารเดิมทีมีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่นอกจากสายเลือดกษัตริย์ที่มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งแล้ว ก็คงจะไม่มีผู้ใดจะงอกแขนขาที่ขาดได้

ยิ่งไปกว่านั้น นี่ชัดเจนว่ามิใช่วิชามารประเภทที่งอกแขนขาขึ้นมาใหม่ได้เช่นนั้น

เจ๋อซิ่วในที่สุดคิดสิ่งใดบางอย่างได้ สีหน้าพลันกลายเป็นขาวซีดขึ้นมา

หญิงสาวเผ่ามารทั้งสองคนนี้ ที่จริงมิใช่หนานเค่อ พวกนางคือ…ปีกคู่ของหนานเค่อ

“พวกเจ้าเล่นสนุกพอหรือยัง?” หลิวเสี่ยวหวั่นมองหญิงสาวทั้งสอง เอ่ยออกมาด้วยรู้สึกจนปัญญา “ถ้าหากไม่เป็นเพราะพวกเจ้าแย่งก่อเรื่องราวชิงจัดการก่อน เรื่องราววันนี้เกรงว่าจะจบไปนานแล้ว หลังจากนายท่านสังหารหงส์ตัวนั้นแล้วรู้เรื่องราวเหล่านี้เข้า จากนั้นลงโทษพวกเจ้านานไปอีกสามปี ดูสิว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ บนใบหน้าของหญิงสาวเผ่ามารทั้งสองปรากฏความรู้สึกหวาดกลัวออกมา มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก

หลิวเสี่ยวหวั่นมองไปยังเฉินฉางเซิง แย้มยิ้มแฝงความรู้สึกขออภัย จากนั้นเอ่ยว่า “ลงมือเถอะ”

ผมสีดำสยายพลิ้ว แขนเสื้อปลิวสะบัด

นี่มิใช่การลอบจู่โจม เป็นการต่อสู้โดยอาศัยพละกำลัง กลับมีความกดดันให้กับเฉินฉางเซิงและคนอื่นอย่างยิ่ง

ชีเจียนมิได้สะทกสะท้าน กุมกระบี่ตั้งท่า

ใบหน้าเฉยเมยของเจ๋อซิ่วแฝงไว้ด้วยความแหลมคมของโลหะ พลันกางเล็บมือออก มุ่งไปโจมตีหญิงสาวเผ่ามารอีกครา

ริมทะเลสาบพลันอลหม่านขึ้นในอึดใจเดียว พลังกระบี่กับไอมารโจมตีซึ่งกันและกัน

เฉินฉางเซิงมองไปที่หลิวเสี่ยวหวั่นท่าทางหนักอึ้ง

เหลียงเสี้ยวเซียวมองเถิงเสี่ยวหมิงสีหน้าขาวซีด

ตามระดับวิทยายุทธ์แล้วพวกเขาเหนือกว่าชีเจียนและเจ๋อซิ่ว ขุนพลมารทั้งสองต่อสู้กับพวกเขาจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

การต่อสู้นี้ คนหนุ่มเผ่ามนุษย์นี้ยังคงสู้ได้…สู้ได้โดยที่ยังไม่เห็นความพ่ายแพ้

บางที มังกรดำอาจจะพายอดฝีมือเผ่ามนุษย์มาได้ทันท่วงที?

นี่เป็นแผนการของเฉินฉางเซิง แต่เขาทำพลาดไปเรื่องหนึ่งเสียแล้ว

เมื่อครู่หลิวเสี่ยวหวั่นมองเขาแล้วเอ่ยว่าลงมือเถอะ ความจริงแล้วมิได้เอ่ยกับเขา แต่เอ่ยกับคนอื่น

ทรายและก้อนหินปลิวว่อน กระบี่สายหนึ่งมุ่งมาด้านหลังของเจ๋อซิ่ว

กระบี่นี้แข็งแกร่งยิ่ง กระบี่นี้เหี้ยมโหดอย่างยิ่ง

เจ๋อซิ่วไม่ว่าจะระมัดระวังเพียงใด ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีกระบี่แทงเข้ามาจากด้านหลัง

เสียงฉึกดังขึ้นคราหนึ่ง กระบี่สายนี้แทงเข้าไปที่หลังของเขา

โลหิตสดพุ่งกระเซ็นออกมา

เพียงชั่วอึดใจ หญิงสาวเผ่ามารลอยมายังด้านหน้าของเขา

มือทั้งคู่ของนางกะพริบแสงสีเขียว แทงเข้าไปในหัวไหล่ของเขา!

ผมสีดำของนางดุจดังเข็ม แทงเข้าไปในดวงตาของเขา!

เมื่อเข้าสู่เส้นแบ่งความเป็นความตาย เจ๋อซิ่วพลันคำรามเสียงดุร้ายออกมา!

ดวงตาของหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง!

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset