ไม่ได้มีผู้ใดคาดคิดถึง กระบี่ที่โหดเหี้ยมมาจากฝ่ายของตน คนที่ซุ่มโจมตีก็คือเหลียงเสี้ยวเซียว
เจ๋อซิ่วมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนที่เยือกเย็น เฉินฉางเซิงเพราะว่าสาเหตุของการพบเจอและสภาวะแวดล้อม แต่ไหนแต่ไรมาการจัดการเรื่องราวก็ระมัดระวังรอบคอบ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าหญิงสาวเผ่ามารสองคนนั้นจะน่าสงสารเพียงใด ล้วนแต่ไม่อาจหลอกพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม แม้แต่พวกเขาทั้งสองคนก็คิดไม่ถึงว่าเหลียงเสี้ยวเซียวอยู่ๆ ก็ทำเรื่องเช่นนี้ได้
จากสุสานเทียนซูถึงสวนโจว เฉินฉางเซิงเฝ้าสังเกตเห็นความเป็นศัตรูที่เหลียงเสี้ยวเซียวมีให้ตนมาตลอด แต่เขารับรู้ว่าในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ โก่วหานสือเป็นคุณชายที่มีจิตใจดีงาม กวนเฟยไป๋เป็นมือกระบี่ที่รุนแรง หรืออาจจะเป็นคู่ต่อสู้ เป็นศัตรู แต่เขาเดิมทีไม่เคยคิดว่าลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซานจะเป็นคนเลวโหดเหี้ยม ยิ่งคิดไม่ถึงว่าเหลียงเสี้ยวเซียวจะคบคิดกับเผ่ามาร!
การต่อสู้ระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่ามารเป็นเวลาต่อเนื่องกันเกือบพันปี ไม่ว่าต้าโจวแห่งทิศเหนือหรือว่าพรรคฉางเซิงแห่งทิศใต้ มีบรรพบุรุษกับศิษย์ร่วมสำนักผลัดกันล้มตายไปจำนวนเท่าใด ในเมื่อเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร ก็คงจะเข้าใจในการต่อสู้ล้างเผ่าพันธุ์สนามนี้ เพราะเหตุใดเหลียงเสี้ยวเซียวถึงทรยศให้เผ่ามารบงการได้เล่า?
คนที่ตกตะลึงที่สุด แน่นอนว่าเป็นชีเจียน หน้าท้องของเขาถูกกระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียวแทงทะลุจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สิ่งที่บาดเจ็บยิ่งกว่าก็คือจิตใจ เขาจ้องเขม็งเหลียงเสี้ยวเซียว สีหน้าขาวซีด ท่าทางห่อเหี่ยวสิ้นหวัง จนกระทั่งเวลานี้ ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัย ดูแลเขาร่วมกันศิษย์พี่ทั้งสามมาตลอด เหตุใดถึงลงมือได้ถึงเพียงนี้!
เหลียงเสี้ยวเซียวมิได้เอ่ยสิ่งใด สีหน้าของเขาขาวซีดเช่นเดียวกัน ในดวงตาลึกๆ มีความรู้สึกสับสนคัดค้านอยู่เลือนราง แต่ยิ่งลึกเข้าไปคล้ายกับว่ามีความรู้สึกสุขใจ
นั่นคือความเจ็บปวด และเป็นความสุข
เฉินฉางเซิงทั้งสามคนคิดเรื่องราวมากมาย คิดไปจนถึงหลากหลายวิธีที่มีความเป็นไปได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ใช้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นในการคิดเหล่านี้
แต่ไหนแต่ไรมาเผ่ามารเลือดเย็นไร้ความรู้สึก เห็นสถานการณ์สำเร็จลุล่วง เหลียงเสี้ยวเซียวเป็นมือซุ่มโจมตี แล้วจะให้โอกาสพวกเขาหายใจกล่าวเหตุผลได้อย่างไร
ใบหน้าของเถิงเสี่ยวหมิงไร้ความรู้สึกยกหาบขึ้นอีกครามุ่งหมายไปยังเบื้องหน้าคนทั้งสาม มือทั้งคู่จับด้านหน้าและด้านหลังไว้ โยนขึ้นไปโดยไร้ความสงสารอีกครา!
สายลมริมทะเลสาบพลันพัดเหล่าเศษเล็กเศษน้อยให้ฟุ้งขึ้นมา ต้นไม้ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงต่างก็ถูกพัดจนล้มลง หาบที่น่าหวาดกลัวราวกับเทือกเขาที่ได้ทับลงมา
ถึงแม้เฉินฉางเซิงทั้งสามคนไม่ได้รับบาดเจ็บ ก็ยังยากที่จะยับยั้งพลังการโจมตีโหดร้ายที่โด่งดังของขุนพลเผ่ามารลำดับที่ยี่สิบสี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ที่ย่ำแย่อย่างยิ่ง
ไหล่ทั้งสองของเจ๋อซิ่วมีเนื้อและโลหิตปรากฏออกมา ขนหมาป่ายุ่งเหยิง คล้ายกับว่ามองเห็นกระดูกสีขาวรางเลือน ที่ยิ่งน่ากลัวก็คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดพลังบาดเจ็บเหล่านี้ เป็นขนนกยูงที่หญิงสาวเผ่ามารซุกซ่อนไว้ในเล็บ ขณะนี้สามารถมองเห็นประกายสีเขียวเล็กละเอียดดวงหนึ่งในส่วนลึกนัยน์ตาของหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าได้
ขนนกยูงในตำนาน พิษที่สามารถทำให้อสูรแข็งแกร่งเสียชีวิตได้ ขณะนี้ได้เริ่มทำร้ายในร่างกายเขาแล้ว
ชีเจียนยิ่งน่าเวทนา บริเวณหน้าท้องมีโลหิตสดไหลริน แล้วจะขับพลังสุดท้ายออกมาได้อย่างไร เพียงแค่กุมกระบี่ก็ยากลำบากแล้ว แม้แต่ยืนขึ้นก็ไม่อาจยืนได้ แล้วจะสามารถต่อสู้ได้อย่างไร?
เฉินฉางเซิงปราดสายตามองแวบหนึ่ง เขาที่กุมกระบี่รีบวิ่งออกมาจากก้นหลุม ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่นละออง มองแล้วจนตรอกอย่างยิ่ง ภายนอกร่างกายมิได้มีบาดแผล บนเสื้อผ้ามิได้มีคราบโลหิต
ในความเป็นจริง มองแล้วก็ดูดีเพียงเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาต้านทานหาบครั้งแรกของเถิงเสี่ยวหมิงที่ก้นหลุม ถึงแม้ร่างกายจะได้อาบโลหิตมังกรมาแล้ว ก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ กระดูกตรงหัวไหล่ซ้ายได้ปรากฏร่องรอยออกมาแล้ว มีเส้นเอ็นกล้ามเนื้อหลายเส้นได้ขาดไป สิ่งที่ยิ่งยุ่งยากก็คือ ห้วงแห่งจิตของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างมาก ยากที่จะรับไว้ได้ รู้สึกจุกแน่นหน้าอก สามารถกระอักโลหิตออกมาได้ทุกเมื่อ
หนุ่มน้อยที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บทั้งสามคน แล้วจะเผชิญกับหาบดุจดังเทือกเขานั่นได้อย่างไร?
หลังจากเหลียงเสี้ยวเซียวซุ่มจู่โจมได้สำเร็จก่อนหน้านี้ ก็ลอยห่างออกไปหลายสิบจั้ง มองเห็นภาพฉากนี้ พลันเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด
หญิงงามเผ่ามารผู้นั้น ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับดอกไม้
หญิงสาวที่เป็นดังบุตรสาวของผู้มีอำนาจบารมี ท่าทางสงบนิ่ง
หลิวเสี่ยวหวั่นเห็นใจ หลังจากนั้นจึงรอคอย
รอคอยเฉินฉางเซิงทั้งสามคน เสียชีวิตอย่างมิได้มีสิ่งที่เหนือความคาดหมาย
……
……
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงไม่อยากเสียชีวิต
กล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย ตั้งแต่อายุสิบปี เขาเป็นคนที่ไม่อยากเสียชีวิตที่สุดบนโลกใบนี้
เพราะว่าไม่อยากเสียชีวิต เขาจึงทำทุ่มเทพยายามมากมาย อีกทั้งยังเตรียมตัวไว้จำนวนมาก
เมื่อทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาจะต้องเสียชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงชีเจียน ขนาดเจ๋อซิ่วที่พานพบกับวินาทีแห่งความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนก็ได้คิดเงียบๆ ว่าคงเป็นเช่นนี้แหละ เขาพลันเริ่มพยายามอีกครา หยิบสิ่งของที่ได้เตรียมไว้ดีแล้วขึ้นมา
นั่นคือลูกโลหะลูกหนึ่ง ผิวภายนอกเป็นเส้นราวกับเกล็ดก็มิปาน
เฉินฉางเซิงนำพลังปราณแท้ของตนใส่เข้าไปในลูกโลหะ ผิวโลหะพลันเปล่งแสงขึ้น จากนั้นจึงสั่นสะท้านอย่างรวดเร็ว เกล็ดเหล่านั้นพลันแตกออกอย่างต่อเนื่อง
เสียงไขลานที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กับเสียงเสียดสีของโลหะดังขึ้นหนาแน่น
ลูกโลหะแตกกระจายออก พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ก่อเกิดเป็นพื้นผิวของร่มบางๆ จากนั้นจึงเห็นโครงร่ม คันร่ม
เวลาในการเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วอย่างยิ่ง พละกำลังมหาศาลที่โอบรัดหาบของขุนพลเผ่ามารยังคงไม่ร่วงลง
ร่มกระดาษที่คร่ำครึก็ปรากฏอยู่ในมือของเฉินฉางเซิง
ร่มคันนี้มองแล้วปกติธรรมดามิได้มีสิ่งใดเป็นพิเศษ คล้ายกับเขา
เสียงโครมสนั่นหวั่นไหวดังขึ้น!
บนพื้นทรายริมแม่น้ำ มิได้มีหลุมขนาดใหญ่ออกมา แต่ว่ามีรอยแยกลึกหลายนิ้วสิบกว่าสายปรากฏขึ้นแทน!
พลังแสงเปล่งทั่วทิศทาง โจมตีหินกรวดที่แข็งแกร่ง มีรอยเด่นชัดหลงเหลืออยู่บนพื้น
ไอพลังการโจมตีที่น่าหวาดกลัวปรากฏออกมา มีบางครั้งที่เข้าไปในป่าส่วนลึก หลงเหลือร่องรอยลายพร้อยอยู่บนเปลือกไม้เหล่านั้น ไม่รู้ว่ามีนกมากน้อยเพียงใดที่หนีไม่ทัน ถูกสายพลังโจมตีจนร่วงลงพื้นอย่างน่าเวทนา
ฝุ่นละอองค่อยๆ หยุดลง เสียงสะท้อนจากหน้าผาริมทะเลสาบค่อยๆ ห่างไกลออกไป
เฉินฉางเซิงไม่ได้เสียชีวิต
เพราะว่ากระบวนท่าหาบนั้น ถูกร่มธรรมดาไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษในมือของเขา ต้านทานไว้
ขอบของร่ม มีแสงสีเหลืองเบาบางส่องลง ปกคลุมเฉินฉางเซิงไว้ข้างใน มองแล้วราวกับเป็นผ้าม่านก็มิปาน
เขายืนอยู่ข้างหน้าของเจ๋อซิ่วกับชีเจียน
เห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าภาพนี้ หญิงงามเผ่ามารผู้นั้นใช้มือปิดปาก ตกใจจนไร้คำเอื้อนเอ่ย
เหลียงเสี้ยวเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเผยความหนักใจออกมา
หลิวเสี่ยวหวั่นขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางครุ่นคิด คล้ายกับว่าคิดบางสิ่งออก
มีเพียงแค่เถิงเสี่ยวหมิงที่ท่าทางยังคงไม่ค่อยพูด เท้าขวากลับเหยียบไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือทั้งสองยกหาบขึ้น หวังโจมตีอีกครา!
สายลมละอองเมฆบนทะเลสาบ ถูกหาบอันนั้นนำมาด้วย!
เสียงโครมสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นอีกครา!
ร่มกระดาษทองได้ต้านทานไว้อีกครั้ง
แต่สีหน้าของเฉินฉางเซิงพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด
ครั้นเมื่ออยู่ที่เมืองเวิ่นสุ่ย ผู้อาวุโสตระกูลถังได้นำศาสตราวิเศษในตำนานชิ้นนี้มอบให้แก่เขา อีกทั้งเจ๋อซิ่วยังเคยกล่าวไว้ ร่มคันนี้ สามารถต้านทานพลังการโจมตีทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวได้
และเจ๋อซิ่วยังคงได้กล่าวไว้ ถึงแม้เผ่ามารจะใช้วิธีการบางอย่างทำให้ขุนพลเผ่ามารขั้นรวบรวมดวงดาวทั้งสองเข้ามายังสวนโจว เช่นนั้นแล้วเถิงเสี่ยวหมิงกับหลิวเสี่ยวหวั่นขณะนี้อย่างมากที่สุดก็คงจะเป็นขั้นทะลวงอเวจีระดับสูงสุด
หากกล่าวตามเหตุผล ร่มในมือของเขาคันนี้ แน่นอนว่าสามารถต้านทานพลังการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้
ปัญหาอยู่ที่จะสามารถต้านทานพลังการโจมตีของขุนพลเผ่ามารได้ทั้งหมดกี่กระบวนท่า
การใช้ศาสตราวิเศษ ก็จะต้องใช้พลังปราณแท้เข้าช่วย พลังปราณแท้ของเขาเดิมทีก็มีปริมาณน้อยกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรโดยทั่วไป
ปัญหาที่สำคัญที่สุดก็คือขนาดพื้นที่ของร่มกระดาษทองคันนี้ก็ไม่ใหญ่ หากกลุ่มของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารรวมกันโจมตี เขาจะสามารถปกป้องเจ๋อซิ่วกับชีเจียนได้อย่างไร?
ไร้หนทาง
เขาไร้หนทางที่จะปกป้องสหายไว้ได้ ไม่อาจกางร่มไว้ได้ ยังคงอธิบายได้ยากอย่างยิ่ง เช่นนั้น เขาทำได้เพียงแค่ส่งสหายออกไป
เมื่อร่มกระดาษทองกำลังป้องกันหาบกระบวนท่าหาบท่านั้น มือขวาของเขาราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นออกมา นำยาสองสามเม็ด ยัดเข้าใส่ปากของเจ๋อซิ่ว เวลาเดียวกันนำของสิ่งหนึ่งยัดเข้าใส่มือของเขา
ยาเหล่านั้นเป็นนักบวชพระราชวังหลีได้ปรุงยาแก้พิษตามคำบอกของเขา วิชาการแพทย์ของเขาได้รับสืบทอดมาจากนักพรตจี้ นักพรตจี้เป็นผู้เก่งกาจทางด้านวิชาการแพทย์มากที่สุด ดังนั้นสามารถจินตนาการผลการใช้ของยาเหล่านี้ได้ หรืออาจจะไม่อาจแก้พิษขนนกยูงได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เจ๋อซิ่วควบคุมไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่งได้
ส่วนของเล็กๆ ชิ้นนี้ ก็คือกระดุมเม็ดหนึ่ง
เมื่อออกจากจิงตู เขานำติดตัวมาเพียงหนึ่งเม็ด เดิมทีคิดว่าเมื่อพบเจอสิ่งภยันตรายในสวนโจว จะสามารถช่วยชีวิตตนได้
แต่ว่าตอนนี้ คล้ายกับว่าให้คนอื่นใช้แล้ว
เมื่อแรกเริ่มอยู่ที่สำนักฝึกหลวง ลั่วลั่วมอบกระดุมให้เขา กล่าวให้ชัดเจน อย่างมากที่สุดกระดุมนี้สามารถทำให้คนสองคนออกจากที่นี่ไป
เฉินฉางเซิงยกร่มขึ้น มองผู้แข็งแกร่งเผ่ามารหลายคนที่บินลอยเข้ามาด้วยความเร็ว มิได้หันหลัง เอ่ยกับเจ๋อซิ่วที่อยู่ข้างหลังด้วยความสงบนิ่ง “พาเขาออกไป”
เผ่ามารก่อการในสวนโจว แน่นอนว่าไม่อาจหยุดยั้งอยู่เช่นนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องที่ริมทะเลสาบ เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขายืนยันได้ ในพวกเขาสามคน จุดประสงค์อันดับแรกของเผ่ามารก็คือชีเจียน มิเช่นนั้น เผ่ามารคงจะรวบรวมพลังทั้งหมดสังหารเขากับเจ๋อซิ่วก่อน ไม่เหมือนดังเช่นในตอนนี้ ที่รอจนกระทั่งชีเจียนเข้าไปสู่สถานการณ์แห่งความตาย หลิวเสี่ยวหวั่นถึงจะเอ่ยสามคำนั้นออกมา เหลียงเสี้ยวเซียวในที่สุดจึงออกกระบี่
เจ๋อซิ่วเข้าใจในจุดนี้ ถึงแม้เขาไม่เข้าใจว่าชีเจียนแม้จะเป็นลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน แล้วอาศัยสิ่งใดที่ทำให้เผ่ามารให้ความสำคัญเช่นนี้
เขาก็เข้าใจ เฉินฉางเซิงนำกระดุมเม็ดนั้นให้ตน ก็เท่ากับมอบความหวังของชีวิตให้แก่ตน แต่เฉินฉางเซิงยังคงอยู่ ก็จะต้องเผชิญหน้ากับความตาย
เขาเข้าใจดี เฉินฉางเซิงมิอาจพาชีเจียนออกไปด้วยตนเอง และไม่อาจทิ้งชีเจียนไว้ เช่นนั้นจากการเรียบเรียงตามเหตุผลแล้ว ก็มีเพียงแค่ความเป็นไปได้อย่างเดียว
เวลาเดียวกันเขาเข้าใจ ตนเวลานี้ได้รับพิษ ไม่อาจช่วยเหลือเฉินฉางเซิงได้ สู้พาชีเจียนออกไปไม่ดีกว่าหรือ?
สิ่งที่เขาเข้าใจที่สุดก็คือ เฉินฉางเซิงในเมื่อตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นไม่ว่าตนจะทำอย่างไร ล้วนแต่ไร้ความหมาย สักแต่จะทำให้สิ้นเปลืองเวลา
เจ๋อซิ่วมิได้ลังเลแม้แต่น้อย จึงอุ้มชีเจียนขึ้น เวลาเดียวกันในก็ปลุกพลังของกระดุม
อยู่ในอ้อมกอดของเขา ใบหน้าเล็กของชีเจียนซีดขาวเป็นพิเศษ ขมวดคิ้วคมเข้ม มองแล้วน่าเวทนาอย่างยิ่ง เดิมทีกลับไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
กลุ่มควันเบาบาง เกิดขึ้นภายใต้ร่มกระดาษทอง
เมื่อเวลาช่วยสุดท้ายนั้น เจ๋อซิ่วมองภาพเบื้องหลังของเฉินฉางเซิง ใบหน้าไร้ความรู้สึกครุ่นคิด สุดท้ายแล้วใครเป็นผู้คุ้มกันใครกันแน่ วันนี้ถ้าหากตนสามารถมีชีวิตรอด คล้ายกับว่าได้เป็นหนี้ชีวิตคนบางคนแล้ว
เกือบจะเวลาเดียวกัน กระบวนท่าหาบของขุนพลมารก็ร่วงหล่นลงมา
บนพื้นสนั่นหวั่นไหว มีฝุ่นละอองกระเซ็นทั่วสารทิศ กลบควันนั้นไว้
ปรากฏเป็นรอยแตกจำนวนนับไม่ถ้วน ดินใหม่ได้พลิกออกมา ราวกับว่าเป็นคันนาในยามฤดูใบไม้ผลิ
ฝุ่นละอองได้สงบลง
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ยังที่เดิมเพียงลำพัง
มือซ้ายของเขากุมร่มไว้
มือขวาของเขากุมกระบี่สั้น
ท่าทางของเขาจริงจังยิ่งนัก เตรียมที่จะต่อสู้ครั้งสุดท้าย