ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 265 หมาป่าโผทะยาน

เพราะว่าร่างกายสูญเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก ชีเจียนจึงเลอะเลือนไปบ้าง เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเจ๋อซิ่ว ผ่านไปชั่วครู่ถึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบ เพียงชั่วพริบตาจึงได้สติ สีหน้ายิ่งขาวซีดขึ้นไปอีก ยากที่จะเอียงหน้ามองไปยังเจ๋อซิ่ว มองใบหน้าที่ยังคงแน่นิ่งของเขา ดวงตาคู่นั้นได้สูญเสียการมองเห็น ร่างกายของเขาพลันแข็งทื่อขึ้นมา

“เจ้า…มองไม่เห็นแล้วรึ?” ชีเจียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา จากนั้นพยายามดิ้นรนลงมาจากหลังเขา

เจ๋อซิ่วไม่ยินยอมให้เขาลงมา เล็บมือจับที่ข้อพับของเขาราวกับเหล็กกล้า ทำให้เขาไม่อาจดิ้นไปไหนได้

ชีเจียนสัมผัสได้ถึงความร้อนและพลังที่มาจากขา ทั้งอับอายทั้งโมโห ใช้แรงทั้งหมดอยากจะละออกจากเขา เจ๋อซิ่วกับมิได้ตอบโต้ใดๆ ทั้งสิ้น ยืนนิ่งเฉยราวกับว่าเป็นรูปปั้น พลังของชีเจียนยิ่งนานยิ่งเหลือน้อยลง การต่อสู้ดิ้นรนก็เหลือเพียงเล็กน้อย สุดท้ายจึงยินยอม มุดหน้าลงเข้ากับไหล่ของเขาอีกคราด้วยความอ่อนแรง

เวลานี้จึงมองไปยังเจ๋อซิ่วอีกครา ใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึกเหมือนวันปกติ ทำให้เขาทวีความไม่ชื่นชอบเข้าไปอีก เพียงแค่อยากหนีไปให้ไกลๆ กับใบหน้าตายด้านเช่นนี้ ทันใดนั้น ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้พลันเพิ่มขึ้นมา

ถูกต้องแล้ว เป็นเหมือนกับรูปปั้นจริงๆ ราวกับว่าเป็นหมาป่าหรือไม่ก็หนุ่มน้อยที่ยืนอยู่บนหน้าผากำลังมองออกไปในที่ห่างไกล

โดยที่ไม่รู้สึกตัว ก้นบึ้งหัวใจของชีเจียนก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนไปมาก สายตาก็อ่อนโยนลง ขณะที่มองใบหน้าของเจ๋อซิ่ว หน้าเรียวเล็กที่ขาวซีดเผยความรู้สึกเคารพและเลื่อมใส แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกโศกเศร้าเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่ดวงตาของเจ๋อซิ่ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงร้องไห้ขึ้นมา ร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง

ท่าทางของเจ๋อซิ่วยังคงเมินเฉยดังเดิม คล้ายกับว่าไม่ได้รับการกระทบต่อการไม่อาจมองเห็นนี้ พลางเอ่ยว่า “ถ้าหากการร้องไห้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ข้าคงจะเป็นคนที่ชำนาญในการร้องไห้ที่สุดในโลกเป็นแน่”

ในที่ราบหิมะ ท่ามกลางต่อสู้กับเผ่ามาร มีปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายที่จะต้องแก้ไขเป็นจำนวนมาก

ชีเจียนรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก ยกแขนเสื้อขึ้นไปเช็ดหยดน้ำตาบนใบหน้า ทว่ากลับเช็ดไม่หมดเสียที เพราะว่าหยดน้ำตายังคงรินไหลออกมาไม่ขาดสาย

น้ำเสียงของเจ๋อซิ่วเปลี่ยนเป็นลังเล “หรือว่า…เจ้า…”

จากนั้นเขาเงียบนิ่ง จึงเอ่ยขึ้นมาต่อ “ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่เป็นไร”

ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาไม่ถนัดที่จะปลอบโยนผู้คน ยิ่งไม่ถนัดหยอกล้อ ด้วยเหตุนี้น้ำเสียงจึงแข็งทื่อ เนื่องด้วยเหตุนี้จึงทำให้สัมผัสได้ถึงความจริงใจมากยิ่งขึ้น

ชีเจียนสูดจมูก เอ่ยอืมออกมาด้วยความเสียใจ และไม่รู้ว่าความเสียใจนี้มีต่อผู้ใด จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น…พวกเราไปกันเถอะ”

เจ๋อซิ่วมองไปยังหนทางมืดมนเบื้องหน้า หลังจากตั้งสติและสงบจิตใจ จึงเอ่ยว่า “มุ่งไปยังทิศทางของป่าวจีเขตบรรพต”

ชีเจียนยึดไหล่ของเขา แหงนหน้าขึ้นมาด้วยความยากลำบาก มองไปยังทางเดินตามเทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง แล้วเอ่ยออกมา “เดินตรงไปข้างหน้า สี่ร้อยจั้งให้เลี้ยวขวา จากนั้นข้าจะบอกอีกที”

เจ๋อซิ่วมิได้ลังเลแม้แต่น้อย รัดข้อพับเขาแน่นขนัด แล้วเดินไปยังเบื้องหน้า มิได้มีข้อสงสัยใดๆ ในคำพูดของเขา

เช่นนี้จึงทำให้ชีเจียนรู้สึกซาบซึ้ง และไม่เข้าใจอยู่บ้าง

สายลมของเทือกเขาพัดมายังใบหน้าของเจ๋อซิ่ว เขาจึงปิดดวงตาเสีย

หลังจากนั้น สายลมของเทือกเขาจึงพัดไปยังใบหน้าเรียวเล็กของชีเจียน

สายลมเหล่านั้น คล้ายกับว่าเป็นความอบอุ่นอย่างหนึ่ง

ชีเจียนรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ

ในป่าของสวนโจว มีเสียงฝีเท้ากับเสียงบอกทางที่อ่อนล้าของชีเจียนต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีเสียงขานรับที่เยือกเย็นเมินเฉยของเจ๋อซิ่ว

“ช้าหน่อย ข้าหน้ามีหลุม”

“มีลำธารสายหนึ่ง สองจั้ง ตรงข้ามเป็นพื้นทราย”

“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”

“เร็วกว่านี้อีกหน่อย”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ว่า”

“ระวัง อย่าชนกับต้นไม้เข้าละ”

……

……

ตามความคิดของเจ๋อซิ่ว พวกเขาจะต้องตามหาผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามนุษย์ในสวนโจวเหล่านั้นให้เร็วที่สุด แต่วิ่งห้อมาแล้วหลายสิบลี้ สุดท้ายแล้วแม้แต่คนเดียวก็ไม่เจอ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จำนวนมากรวมอยู่ในสวนป่าไม่กี่แห่งด้วยกัน ตามการจัดการของเฉินฉางเซิงและหญิงสาวชุดขาวผู้นั้นตั้งแต่คืนเมื่อวาน

ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เรื่องนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่กุนซือของเผ่ามารผู้นั้นได้คำนวณไว้แล้ว

สวนโจวได้ตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่ามนุษย์เสาะหาศาสตราวิเศษกับสิ่งของตกทอดเหล่านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีการขัดแย้งภายในเกิดขึ้น ถึงแม้มีคนได้ยับยั้งความโกลาหลสำเร็จ เช่นนั้นแล้วผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในสวนโจวก็คงจะถูกรวมตัวกันอยู่ไม่กี่แห่ง อีกทั้งเป้าหมายที่เผ่ามารต้องการสังหารดังเช่นเจ๋อซิ่วกับลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน กลับกระทำและตัดสินใจด้วยตนเองด้วยซ้ำไป

เจ๋อซิ่วกับชีเจียนหยุดอยู่ตรงบริเวณหนึ่งของหน้าผา มีระยะห่างจากป่าวจีเขตบรรพตที่มีบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรรวมตัวกันอยู่หลายสิบลี้

เนินเขาที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาลูกนั้น เนื่องจากแสงอาทิตย์กระทบ จึงสามารถมองเห็นเงาร่างกายที่ยาวเหยียด

สามีภรรยาเผ่ามารคู่นั้นได้ไล่เข้ามา ยังคงแบกหาบและถือกระทะใบใหญ่ มองแล้วคล้ายกับว่ากำลังย้ายบ้าน ในความเป็นจริงความเร็วระดับนี้ล้วนทำให้คนสะดุ้งตกใจ

ชีเจียนเปล่งเสียงโอ๊ยด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเล็กเปลี่ยนเป็นขาวซีด เอ่ยออกมา “ตะวันออกเฉียงใต้ ตำแหน่งดาวกุ้ยเจิน ประมาณ…หกลี้ ไม่ ห้าลี้”

สำหรับพวกเขาแล้ว ภาพเงาของสองสามีภรรยาเผ่ามารบนเนินเขาลูกนั้นก็เหมือนกับเงาแห่งความตาย จะต้องหาวิธีสลัดทิ้งให้ได้

“พวกเขาหยุดแล้ว” ชีเจียนรู้สึกตื่นตระหนก

เจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “พวกเขากำลังมองพวกเราอยู่ว่าจะเดินไปทิศทางไหน”

ถึงแม้ขณะนี้เขามองไม่เห็นวิวทิวทัศน์ใดๆ แต่สองวันก่อนเขาได้เดินตามเฉินฉางเซิงในสวนโจวมาหลายรอบแล้ว จึงได้จดจำสภาพแวดล้อมไว้ในใจ ถ้าหากพวกเขายังคงยึดตามแผนการเดิม ไปรวมตัวกับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่ป่าวจีเขตบรรพต สองสามีภรรยาคู่นั้นเพียงแค่ลัดเลาะก็สามารถผ่านทะลุเข้าไปในป่าขวางหน้าพวกเขาไว้ได้

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ ได้คำนวณตำแหน่งระยะทางของคนทั้งสอง รู้ว่าคงไม่อาจไปถึงป่าวจีเขตบรรพตได้ทันท่วงทีเป็นแน่

เมื่อตอนอยู่ริมทะเลสาบเขาคลับคล้ายคลับคลาจะได้ยินว่าเผ่ามารสามารถรู้ตำแหน่งของพวกเขาได้

ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีตำแหน่งของตน ตอนนี้มองแล้ว สองสามีภรรยาคู่นั้นคู่ควรที่จะเป็นขุนพลเผ่ามาร ชัดเจนว่าคนสองคนได้ไล่สังหารคนทั้งสอง โดยใช้ศาสตราวิเศษกับยุทธวิธีการรบ การไล่ล่าและการหลบหนีกินเวลาไปหลายนาที สุดท้ายแล้วพวกเขาไม่อาจเข้าไปใกล้ป่าวจีเขตบรรพตได้แม้แต่ก้าวเดียว ซ้ำกลับถูกไล่ต้อนให้ไปไกลกว่าเดิม

เจ๋อซิ่วกำลังแบกชีเจียน บนใบหน้ารับรู้ได้ถึงแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน หลังจากเงียบนิ่งเพียงชั่วครู่ จึงหันกายไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้

เขามองไม่เห็น ทว่าเขาอยากเห็นขุนพลเผ่ามารที่ปรารถนาจะสังหารเขา

เนินเขาที่ไกลออกไป ถูกแสงอัสดงกำลังแผดเผาปกคลุมไว้

หลิวเสี่ยวหวั่นกับเถิงเสี่ยวหมิงยืนอยู่บนลุ่มพื้นหญ้าที่กำลังเผาไหม้ จ้องมองพวกเขา

ต่างคนต่างจ้องมองกันอยู่ทางไกลลิบ

“ข้าจะเริ่มวิ่งแล้ว”

เจ๋อซิ่วอยู่ๆ จึงเอ่ยขึ้น สงบนิ่งแต่มั่นคง

มองไม่เห็นหนทาง กลับจะวิ่งรึ?

ชีเจียนตกตะลึงอย่างยิ่ง มือที่จับตรงหัวไหล่ของเขา จับแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ

เจ๋อซิ่วจึงเอ่ยว่า “เจ้าบอกตำแหน่งพวกเขา เวลาเดียวกันก็บอกทางให้ข้าด้วย เวลานี้…เจ้าบอกข้าก่อน หน้าผาที่อยู่ตรงหน้า มีทางลาดชันเท่าใด”

เสียงของชีเจียนอ่อนล้า เวลานี้ยิ่งสั่นเทา เพราะว่าตึงเครียด หลังจากมองเพียงชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ความชันสามในสี่ส่วน…เจ้าไหวจริงๆ รึ?”

“คงหกล้มบ่อยครั้งเป็นแน่ เพียงแค่ต้องปีนป่ายขึ้นมาวิ่งอีกครั้ง”

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยออกมา “ก็คงชนเข้าทำให้เจ็บอย่างยิ่ง เจ้าไม่ต้องร้องไห้”

ชีเจียนขานรับเสียงเบา

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งอีกครั้ง เพียงชั่วครู่จึงกล่าวว่า “กอดให้แน่นๆ หน่อย”

ชีเจียนได้ขานรับเบาๆ อีกครา หลังจากนั้นมือทั้งคู่ได้กอดรัดบริเวณต้นคอของเขาแน่นขนัด ศีรษะโน้มลงมาใกล้ไหล่ของเขา

เตรียมการทั้งหมดไว้พร้อมแล้ว เจ๋อซิ่วถอนลมหายใจออกเฮือกใหญ่ พลังปราณแท้ในร่างกายได้พรั่งพรูออกมา พยายามระงับพิษขนนกยูงที่อยู่นัยน์ตา จากนั้นย่อหัวเข่าลง

ตามการกระทำของเขา หัวเข่าทั้งสอง โค้งงอแปลกประหลาดเหนือรูปแบบที่มนุษย์จะจินตนาการได้

หัวรองเท้าของเขาได้ฉีกขาดออก เล็บแหลมคมผุดออกมาจากขนสีเข้ม แทงเข้าไปในก้อนหินแข็ง ก่อให้เกิดเสียงฉึกขึ้นมา

เวลาเดียวกัน บริเวณข้างแก้มและลำคอของเขา มีคนเส้นขนที่แข็งและหยาบงอกขึ้นมา

เนื่องจากแปลงร่างอสูร นัยน์ตาของเขาจึงกลายเป็นสีแดงก่ำ ผสมผสานเข้าไปสีเขียวในดวงตา เปลี่ยนเป็นสีที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

มองแล้วเหมือนกับเป็นลูกมะนาวที่เพิ่งจะออกผล มีพลังอย่างยิ่ง ปลุกเร้าอารมณ์ขึ้นมาได้หลากหลาย

“กลัวหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม

ชีเจียนไม่ได้ตอบคำถาม มือที่โอบกอดแน่นขึ้น ยิ่งเข้าใกล้เขาไปอีก

เจ๋อซิ่วคล้ายกับว่าประหลาดใจ หลังจากนั้นเงียบนิ่ง ริมฝีปากค่อยๆ ยกขึ้น คงจะยิ้มแล้ว

ถ้าหากเฉินฉางเซิงมองเห็นภาพนี้ก็คงจะตกตะลึงยิ่งนักเป็นแน่ เพราะว่าเขาจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเจ๋อซิ่วยิ้มออกมาเมื่อใด

สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ใบหน้าของชีเจียนเวลานี้งุดอยู่บนบริเวณลำคอของเขา จึงมองไม่เห็น

เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก กอดรัดขาของชีเจียนให้แน่น จากนั้นจึงวิ่งถลาไปตามทางลาดชันตามหน้าผา

……

……

ทรายและก้อนหินฟุ้งกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง เศษหินหน้าผาสาดกระเซ็น

เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนวิ่งตะบึงไปในป่า ทุกย่างก้าวที่ร่วงหล่นลงล้วนแต่ทิ่มแทงเข้าไปในสวนลึกของหน้าผาที่แข็งแกร่ง แรงในการจับกุมก็ดีอย่างยิ่ง

พิษของขนนกยูงทำให้เขาสูญเสียการมองเห็น แต่กลับไม่อาจกระทบใดๆ ต่อพละกำลังของเขา

หนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าหลังจากแปลงร่างอสูร มีระดับความเร็วและพลังที่เกือบจะสมบูรณ์ ใช้ประโยชน์จากพละกำลังในการวิ่ง รวมถึงสภาวะแวดล้อมที่เคยชิน ทำให้มีระดับความแข็งแกร่งจนยากที่จะจินตนาการได้

เพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่ง เขาก็แบกชีเจียนทะยานมาถึงด้านล่างของหน้าผาหิน

สองสามีภรรยาเผ่ามารบนเนินเขาห่างออกไปหลายสิบลี้ ชัดเจนว่าคิดไม่ถึงพวกเขาจะเลือกวิธีนี้ตีฝ่าวงล้อม หยุดพักเพียงชั่วครู่จึงเริ่มจู่โจมต่อไป

ตามเสียงโครมๆ ที่ดังขึ้น หน้าผาสั่นสะเทือนเล็กน้อย มังกรธุลีสองสายพุ่งออกมาตามแรง

……

……

“ดาวหนานเยี่ย ดาวเจิน สี่ลี้”

ชีเจียนชักสายตากลับ น้ำเสียงอ่อนแรงทว่ากลับสามารถเอ่ยออกมาได้ชัดเจน พลางกล่าวออกมา “สามร้อย สองร้อยสี่สิบ สองร้อย หนึ่งร้องเจ็ดสิบ ขั้นบันไดหิน เอียงออกไปหนึ่งในสี่ส่วน เตรียม…กระโดด!”

เจ๋อซิ่วราวกับว่าเป็นองค์ชายหมาป่าวัยหนุ่ม แบกเขาวิ่งห้อในป่า เปลี่ยนเป็นเงาสีเทาสายหนึ่ง กระโดดไปข้างหน้าสิบกว่าจั้ง จากนั้นกระโดดไปยังบนบันไดหินเบื้องหน้า

ชีเจียนรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือน ท้องน้อยยังคงเจ็บ กลับอดทนจนไม่ได้มีเสียงใดๆ เอ่ยเสียงอ่อนแรง “เดินออกไปข้างหน้าสี่ร้อยจั้ง เข้าป่า?”

เวลานี้จิตใจทั้งหมดของเจ๋อซิ่วอยู่ในการวิ่ง มิได้เอ่ยตอบ ทำได้เพียงแค่พยักหน้า

ชีเจียนโน้มศีรษะอยู่ตรงไหล่ของเขาอีกครา รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ไม่หยุดนิ่ง มองไปในป่าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มือทั้งสองจับแน่น จิตใจยิ่งทวีความตึงเครียด

……

……

มองไม่เห็นหนทาง แบกคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับยังคงวิ่งด้วยความรวดเร็วที่สุด

อีกทั้งยังอยู่กลางป่า

นี่เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นอย่างยิ่ง

เจ๋อซิ่วทำเรื่องบ้าบิ่นเช่นนี้

ความบ้าบิ่นย่อมมีสิ่งแลกเปลี่ยน

ไม่ว่าเขาจะแปลงร่างอสูร และชีเจียนได้พยายามคำนวณทั้งหมด บอกทางให้เขาอย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่อาจหลบหลีกการหกล้ม อีกทั้งยังหกล้มด้วยความแรง

แต่ก็เหมือนอยู่บนหน้าผา ที่เขาเคยเอ่ยไว้ ทุกครั้งที่หกล้ม เขาก็ล้วนไม่หยุดที่จะตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา จากนั้นวิ่งต่อไปอีก

เพราะว่ามีเพียงการวิ่งที่ไม่คิดชีวิต ถึงจะมีชีวิตรอด

เมื่อแรกเริ่มที่หกล้ม ชีเจียนมักจะปิดตาแน่น แต่ภายหลังเขาไม่ได้ปิดตา เพราะว่าทุกครั้งเมื่อหกล้ม เจ๋อซิ่วมักจะล้มคะมำอยู่ข้างหน้า ใช้ร่างกายที่แข็งแกร่งปรับท่าทางเพื่อมั่นใจว่าคนที่ได้รับแรงกระแทกมากที่สุดเป็นตนเอง พยายามไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บใดๆ มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ไม่ว่าสถานที่ที่เขาหกล้มจะเป็นพื้นดินหรือว่าพื้นทราย ลำธารที่อ่อนโยน หรือว่าหน้าผาที่แข็งแกร่งจนถึงขนาดว่าแหลมคมยิ่ง

ชีเจียนก็ไม่ได้ปิดตาอีกต่อไป มิใช่เป็นเพราะว่าเจ๋อซิ่วปกป้องเขาไม่ให้หวาดกลัว แต่เขาอยากจะมองเห็นเส้นทางให้ชัดเจนขึ้นอีกครา คาดหวังว่าเขาจะล้มให้น้อยครั้งกว่าเดิม

บนร่างกายของเจ๋อซิ่วเต็มไปด้วยรอยบาดแผล โลหิตสดไหลรินไม่หยุด

เขาปิดตาแน่น ก้มหน้าลง เงียบนิ่ง แล้ววิ่งตะบึงต่อ

ชีเจียนกอดรัดเขาแน่นขึ้น บริเวณขอบตาแดงรื้อขึ้นนานแล้ว

นางอยากจะร้อง

แต่เขาบอกว่าไม่ต้องร้อง

นางเชื่อฟัง

ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ร้อง

……

……

หลีกหนีความตายมาตลอดทาง

มองไปยังหุบเขาอัสดง กลับไม่อาจเข้าใกล้ เป็นเพียงแค่เส้นขนานอยู่เบื้องหน้า

สุดท้ายแล้ว ไม่อาจมีเส้นทางที่สามารถเดินไปได้

เจ๋อซิ่วแบกชีเจียนมายังบริเวณด้านนอกทุ่งหญ้า สุดท้ายจึงหยุดย่างก้าวลง

หลิวเสี่ยวหวั่นกับเถิงเสี่ยวหมิงก็หยุดย่างก้าวในการไล่โจมตี

คู่สามีภรรยาเผ่ามาร มองไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังร่วงหล่นลง กับร่างกายของหนุ่มน้อยที่อยู่ครึ่งหนึ่งของพระอาทิตย์ นัยน์ตาเผยให้เห็นความเลื่อมใส

เจ๋อซิ่วก้มหน้าลง ถอนหายใจออกมาไม่หยุด

บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อกับหยดโลหิต ทำให้ขนที่สีเข็มเหล่านั้นรวมเข้าหากันเป็นพิเศษ

ชีเจียนพิงอยู่บนไหล่ของเขา แนบชิดกับขนแข็งที่แทงออกมา ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่สบายตัว แต่นางกลับรู้สึกอ่อนโยน

“ขอโทษ” เขาเอ่ยขออภัยออกมา “ข้าบอกทางไม่ดี”

เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยออกมา “เป็นเพราะข้าว่าวิ่งไม่เร็วพอ”

พระอาทิตย์ที่ร่วงหลงมาจากที่ห่างไกล สุดท้ายแล้วยังคงล่องลอยอยู่ตรงขอบฟ้า ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงไม่ถูกเส้นตรงกลืนลงไปหมด

ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไร้ขอบเขต อยู่ภายใต้แสงสีทองของพระอาทิตย์ยามอัสดง คล้ายกับว่าเป็นลานกว้างของแดนสวรรค์

ที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางของสวนโจว เป็นสิ่งเร้นลับ และก็เป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุด เล่าขานกันว่าในดินแดนทุ่งหญ้านี้พระอาทิตย์จะไม่ลับขอบฟ้า

หลายร้อยปีมาแล้ว เคยมีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรพยายามที่จะเข้าไปในทุ่งหญ้า แต่ว่าคนที่เข้าไป ก็ไม่อาจมีชีวิตออกมา ทิ้งไว้เพียงแค่เรื่องเล่าขาน

เอ่ยออกมาก็เป็นเรื่องแปลกประหลาด ถ้าหากไม่มีผู้ใดสามารถมีชีวิตออกมาจากทุ่งหญ้านี้จริง เช่นนั้นเรื่องเล่าขานจะยังคงอยู่ได้อย่างไรเล่า

“แล้วพวกเราไปที่ไหนต่อ?” ชีเจียนเอ่ยถามเสียงเบา

มุ่งไปด้านหน้าก็คือทุ่งหญ้าผืนนี้ เป็นความตาย

หันหลังกลับ เป็นการต่อสู้ ก็คือความตาย

ก็เหมือนอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย ที่ถังซานสือลิ่วกับเฉินฉางเซิงเคยกล่าวไว้ ชีเจียนเป็นเด็กน้อยที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง

แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ของเขาหลีซาน เอวของเขาได้แขวนเคล็ดวิชาของเขาหลีซานไว้

สำหรับเขาแล้ว ถ้าหากจะต้องเสียชีวิต เช่นนั้นหันหลังเข้าสู่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายเป็นแน่

เจ๋อซิ่วไม่ได้หันกลับ และก็ไม่ได้ถามความคิดเห็นของเขา แบกเขา มุ่งเข้าไปในทุ่งหญ้าที่สูงเท่าคนเข้าไป

“ไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตออกมาจากทุ่งหญ้าแห่งนี้” ชีเจียนเอ่ยออกมาอย่างตึงเครียด

“ข้าไม่ใช่มนุษย์ ข้าเป็นหมาป่า”

เจ๋อซิ่วเอ่ยออกมา “ทุ่งหญ้าเป็นบ้านของข้า ข้าไม่เชื่อว่าจะมีทุ่งหญ้าที่ไหนกักขังข้าไว้ได้”

ชีเจียนมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก กอดเขาไว้แน่น รู้สึกสบายเมื่อพาดศีรษะอยู่บนไหล่ของเขา

ในทุ่งหญ้าล้วนแต่เป็นลานหญ้าเหมือนกัน จึงไม่ต้องบอกทาง

เช่นนั้น ก็เดินตามสบาย ไม่ว่าจะเดินไกลเพียงใดก็ได้ เดินนานเพียงใดก็ได้

ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางแห่งความตาย ก็มีคนเคียงข้าง ก็คงต้องเดินไปยังสุดปลายทางดูเสียหน่อย

กอหญ้าเสียดสีเข้ากับเสื้อผ้าของพวกเขา ก่อให้เกิดเสียงสวบๆ ดังขึ้น

พระอาทิตย์ที่อยู่ไกลออกไป ยังคงไม่ลับขอบฟ้า

ก็คงดื้อรั้นเหมือนกับพวกเขา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset