ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 274 ต้นอู๋ถง

ดาวตกสิบกว่าสายตกลงมาจากบนฟากฟ้า ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกส่องจนสว่างสดใส สามารถมองเห็นหัวลูกธนูที่ราวกับกำลังแผดเผาที่อยู่ข้างหน้าสุดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

ใบหน้าของหนานเค่อยังคงนิ่งสงบเงียบขรึม รูม่านตากลับหดตัวอย่างรวดเร็ว มือสองข้างกำด้ามจับกระบี่แน่น ไม่ทันเอากระบี่จ้วงไปยังสวีโหย่วหรง กลับแทงขึ้นไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

แทงขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นการกระทำท่าหนึ่ง ถ้าหยุด เป็นภาพฉากหนึ่ง แต่การแทงนี้ของนาง กลับเหมือนกับสลักร่องรอยจำนวนมากในท้องฟ้าราตรี ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการรวมกันของภาพนิ่งจำนวนมากเช่นกัน

หนานเค่อยกกระบี่สูง ตรงขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือศีรษะ ดวงตาจ้องสวีโหย่วหรงที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง กลับมีแสงกระบี่จำนวนมาก ส่องสว่างอยู่รอบกายนาง กลายเป็นลูกบอลแสงที่สวยงาม

ภายนอกลูกบอลแสงมีรอยเล็กละเอียดจำนวนมาก เหล่านั้นล้วนเป็นกระบี่

ลูกธนูสิบกว่าสายกลายเป็นดาวตก หลอมรวมอยู่บนกลุ่มก้อนแสงระหว่างกระบี่สายนั้น!

เสียงดังลั่นที่ราวกับฟ้าผ่าระเบิดออกมาที่ยอดเขาอัสดงอย่างไม่หยุดหย่อน!

ผิวนอกของหน้าผาหินที่แข็งแกร่งใต้รองเท้าหนังมังกรวารีคู่นั้นของหนานเค่อ รอยร้าวเกิดขึ้นจำนวนมากอีกครั้ง และยังลึกกว่าก่อนหน้านี้

ลูกธนูเหล่านั้นถูกกระบี่บังไว้เกือบทั้งหมด บินหนีไป แต่ครั้งนี้กลับไม่ได้หายไปในแสงท้องฟ้าค่ำคืนอีกครั้ง แต่กลับราวกับมีชีวิต ตามเสียงร้องของที่ชัดเจน ลูกธนูโจมตีมาอีกครั้ง!

ลูกธนูสิบกว่าสายกลายเป็นฝนธนูเต็มท้องฟ้า กรีดไปที่หนานเค่ออย่างต่อเนื่อง!

ปึง ปึง ปึง ปึง เสียงขนัดแน่นอย่างไร้ใดเปรียบดังขึ้นมาที่ยอดเขา

เสียงเหล่านั้นร้องดังชัดเจนดั่งโลหะกระทบกัน เป็นเสียงดังแปลกประหลาดอันเกิดจากการขีดมั่วๆ โดยสิ่งของที่แหลมคมและแข็งแกร่งซึ่งทำให้คนปวดหู

มีสะเก็ดดาวจำนวนมากปรากฏที่ยอดหน้าผา กระทั่งเป็นเส้นสายพลุไฟ เหล่านั้นล้วนเป็นผลลัพธ์จากการปะทะกันของลูกธนูและกระบี่

แต่ไม่มีลูกธนูสักเล่มที่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของหนานเค่อ ขนาดพลุไฟที่หดสั้นใกล้ปลาสนาการ หรือล่องลอยไม่แน่ไม่นอนเหล่านั้นก็ไม่สามารถฝ่าเข้าไปในลูกบอลแสงที่รวมตัวจากกระบี่ของนางได้

บนพื้นดินของยอดเขา เต็มไปด้วยร่องรอยที่สลักจากลูกธนูทั่วทุกแห่ง บ้างลึกบ้างตื้น ทั้งมากทั้งถี่ ราวกับร่องรอยบนพื้นทรายที่หลงเหลือจากฝนตกกระหน่ำ

นางจ้องสวีโหย่วหรงที่อยู่นอกแสงกระบี่ ยกกระบี่ยาวขึ้นสูง ราวกับไม่ได้ขยับโดยสิ้นเชิง

แต่ทุกขณะ นางออกกระบวนท่ากระบี่จำนวนมาก

มองจากตำแหน่งของสวีโหย่วหรงออกไป เงากระบี่ที่เรียวยาวเหล่านั้น อยู่ด้านหลังของหนานเค่อ กลายเป็นรูปพัด

ราวกับนกยูงรำแพน

……

……

มองพลุไฟที่กระเซ็นรอบสี่ทิศของยอดเขาอัสดง ฟังเสียงที่เล็กละเอียดเหล่านั้น ผู้เฒ่าดีดพิณไร้คำพูดในบัดดล

ตอนนี้สมาธิของหนานเค่อล้วนอยู่บนกระบี่ยาว จิตวิญญาณของสวีโหย่วหรงจะเข้มแข็งแค่ไหน นอกจากการควบคุมของฝนธนูเต็มท้องฟ้า ก็ยากที่จะออกโจมตีอีกครั้ง สถานการณ์เหมือนจะตึงเครียดอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าดีดพิณสีหน้าเปลี่ยนอย่างแท้จริง คือม่านกั้นที่ปรากฏออกมาจากกระบี่ยาวของหนานเค่อ

จนกระทั่งตอนนี้ เขาเพิ่งกระจ่าง คาดไม่ถึงว่าจริงๆ แล้วองค์หญิงจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ สมกับที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของรุ่นใหม่ผู้เยาว์วัยของตระกูลราชวงศ์อย่างที่คาดไว้

ผู้บำเพ็ญเพียรที่บำเพ็ญถึงขั้นรวบรวมดวงดาว มีจุดที่แตกต่างกันมากที่สุด ก็คือพวกเขามีอาณาเขตที่เป็นของพวกเขาเอง…นั่นเป็นโลกของพวกเขาเอง ชื่อว่าอาณาเขตดวงดาว

ในอาณาเขตดวงดาว ไม่มีใครสามารถทำร้ายถึงตัวพวกเขาได้ นอกจากว่าคู่ต่อสู้มีพลังอำนาจในการกดทับหรือมีพลังทะลุลวงอันแข็งแกร่ง

เผ่ามารมีคำเล่าลือที่คล้ายคลึงกัน แต่ผู้แข็งแกร่งของตระกูลราชวงศ์ที่มีอาณาเขตเป็นของตัวเองไม่เรียกว่าอาณาเขตดวงดาว แต่ถูกเรียกว่าวงแหวนจันทรา

หนานเค่อเป็นเพราะอายุยังน้อย ระดับขั้นความสามารถจึงยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถอัญเชิญวงแหวนจันทราที่สมบูรณ์ได้ แต่นางกลับใช้ท่ากระบี่ที่สมบูรณ์แบบอย่างยิ่งและไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เติมเต็มความไม่สมบูรณ์ของระดับขั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ม่านกระบี่ที่เบ่งบานบนยอดเขาอัสดงผืนนั้น ก็คือวงแหวนจันทราของนาง!

ถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าดีดพิณในที่สุดก็ไม่ห่วงสนามต่อสู้นี้อีกต่อไป

เพราะว่าถึงแม้สายเลือดพรสวรรค์ของสวีโหย่วหรงจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็ยังคงถูกจำกัดไว้ด้วยระดับขั้นของตัวเอง ฉะนั้นถ้านางยังหยุดอยู่ในระดับขั้นทะลวงอเวจี นางก็จะไม่มีวันทำร้ายถึงตัวหนานเค่อได้

นี่หมายความว่า หากการต่อสู้ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นในสวนโจว หนานเค่อจะอยู่ในสภาพที่ไม่พ่ายแพ้เป็นแน่!

ผู้เฒ่าดีดพิณคิดอย่างสะท้านสะเทือนจิตใจ แน่นอนว่าใต้เท้ากุนซือต้องรู้เรื่องนี้ ถึงได้มอบภารกิจสังหารสวีโหย่วหรงอันหนักหนาสาหัส ให้องค์หญิงอย่างไม่ลังเล

ใต้เท้าไม่เคยวางแผนกลยุทธ์พลาดอย่างที่คาดไว้

……

……

ผู้เฒ่าดีดพิณไม่กังวลอีก แต่เขาลืมเรื่องหนึ่งไป ไม่แพ้ไม่ได้แปลว่าชนะ

เผชิญหน้ากับหนานเค่อผู้ใช้ท่ากระบี่เลียนแบบวงแหวนจันทรา การแสดงของสวีโหย่วหรงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์แบบในที่นี้หมายถึงสมบูรณ์แบบที่แน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นความถี่ของลูกธนูฝนตกเต็มท้องฟ้า หรือว่าทุกองศาของแสงธนู ล้วนสมบูรณ์แบบมาก

หนานเค่อกางม่านกระบี่ก็ทำได้เพียงต้านทาน แต่ไม่สามารถหาโอกาสใดๆ ในการโต้ตอบ

สำหรับนางที่หยิ่งทะนง นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจยอมรับได้

เป้าหมายที่นางมาที่สวนโจว ก็คือการโจมตีเอาชนะสวีโหย่วหรง ฆ่าสวีโหย่วหรงให้ตาย

เสียงดังร้องไม่หยุด ห่าฝนธนูไม่ยุติ ดอกไม้ไฟที่ยอดหน้าผาส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง ในแสงค่ำคืนรอบนอก แสงไหลเหล่านั้นราวกับรอยบาดแผล ค่อยๆ หายไปตามกาลเวลา จู่ๆ กลับมีร่องรอยมากขึ้นมา

เสียงเสียดสีที่ไม่น่าฟังและเสียงกระทบที่น่ากลัวอย่างยิ่ง สะท้อนไปมาที่ข้างหูของหนานเค่อ

นางจ้องสวีโหย่วหรง สีหน้าแน่วนิ่ง สายตาที่เหม่อลอยค่อยๆ แหลมคมขึ้นมา

จู่ๆ นางหลับตา นำพาความบ้าคลั่งบางส่วน ตะโกนอย่างดังเสียงหนึ่ง!

“ย๊าก!”

คล้อยตามเสียงร้องตะโกน แสงกระบี่รอบข้างนางสว่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น อานุภาพของกระบี่จู่ๆ ก็ขยายขึ้นมาอีกสามส่วน!

ปึง ปึง ปึง ปึง เสียงดังขึ้นมาอย่างไร้รูปแบบ เงาหลังของนางจู่ๆ มองไม่ค่อยชัด จากนั้นชัดอีกครั้ง ทะลุออกมาจากม่านกระบี่ของตัวเอง หนึ่งกระบี่แทงตรงไปที่สวีโหย่วหรง!

คาดไม่ถึงว่านางไม่แยแสฝนลูกธนูเต็มท้องฟ้า เอาการบำเพ็ญทั้งตัวรวมเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม เพียงเพื่อจะฆ่าสวีโหย่วหรงภายในหนึ่งกระบี่!

แม้กระบี่นี้ของนางจะสมใจนึก ลูกธนูที่ราวกับแสงไหลเหล่านั้น ก็แน่นอนว่าจะแทงเข้าไปในตัวนางเช่นกัน การต่อสู้สนามนี้ ไม่คิดว่าเวลาที่อันตรายที่สุดจะมาถึงเร็วขนาดนี้!

สีหน้าผู้เฒ่าดีดพิณเปลี่ยนกะทันหัน จู่ๆ ก็ยืนขึ้นมาจากข้างพิณ

จากเกียรติของเจ้าหญิงเผ่ามาร กระบี่สละชีพลืมตายเล่มนี้ จะทรงพลานุภาพมหาศาลขนาดไหน?

กระบี่เล่มนี้ของหนานเค่อ ปรากฏแสงสดใสสองเส้น

แสงกระบี่สองเส้นเชื่อมกัน แทงไปที่เบื้องหน้าของสวีโหย่วหรง!

ผู้เฒ่าดีดพิณสีหน้าขาวซีดเล็กน้อย ตะโกนอย่างสะเทือนใจว่า “กระบี่ไขว้ทักษิณ!”

……

……

ในโลกของเผ่ามนุษย์มองไม่เห็นพระจันทร์ของเผ่ามาร

ในอาณาเขตเผ่ามาร สามารถมองเห็นท้องฟ้าดวงดาวเหนือศีรษะคนได้ แต่เป็นเพราะว่าตำแหน่งหรือสาเหตุอื่น ท้องฟ้าดวงดาวในสายตาของเผ่ามารนั้นไม่ใช่ดวงดาวมากมายเต็มท้องฟ้า แต่เป็นสายดาวที่ราวกับแม่น้ำสีเงินสองสาย

แม่น้ำดวงดาวสองสายนั้นเชื่อมไขว้กันในท้องฟ้าค่ำคืน เหมือนเป็นตัวอักษรสิบ

เมื่อเทียบกับเมืองเสวี่ยเหล่า ท้องฟ้าดวงดาวอยู่ทางใต้ ฉะนั้นเผ่ามารเรียกมันว่าไขว้ทักษิณ

กระบี่นี้ของหนานเค่อที่แทงไปที่สวีโหย่วหรงในตอนนี้ แยกเป็นแสงดวงดาวสองเส้น ก็คือกระบี่ไขว้ทักษิณที่เลื่องชื่อในอาณาเขตเผ่ามาร

ผู้เฒ่าดีดพิณนั้นยิ่งรู้ว่า กระบี่ยาวเล่มนั้นขององค์หญิงหนานเค่อ ก็คือกระบี่ไขว้ทักษิณที่มีชื่อเสียง

กระบี่หนึ่งเป็นกระบวนท่า อีกกระบี่หนึ่งเป็นกระบวนกาย

หนานเค่อ ใช้กระบี่ไขว้ทักษิณสำแดงวิชากระบี่ไขว้ทักษิณ!

เจตจำนงกระบี่ขยายใหญ่ทะลวงอากาศ ยังมาไม่ถึงข้างหน้าของสวีโหย่วหรง ได้ยินเพียงเสียงแตกสลายแหลกละเอียดจำนวนมากดังขึ้นมาท่ามกลางม่านรัตติกาลอันไกลโพ้น!

บนใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยของผู้เฒ่าดีดพิณแสดงความเจ็บปวดออกมา ร่างกายโอนเอน

นั่นเป็นเสียงแดนมายาแหลกสลาย

ต่อจากนั้น ในส่วนลึกของทุ่งหญ้าอันไกลโพ้นใต้เท้าของเขาอัสดง กลุ่มแสงลึกลับแปลกประหลาดก็เริ่มสว่างไสวขึ้นมา เส้นแสงที่ใส่เข้าไปในนั้นเริ่มเปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าช่องว่างกำลังบิดตัว

กระบี่นี้ของหนานเค่อ…ถึงจุดสูงสุดที่กฎระเบียบของสวนโจวอนุญาตแล้ว กระทั่งใกล้จะข้ามขีดจำกัดเส้นนั้นแล้ว!

……

……

ลูกธนูสิบกว่าเส้นกลายเป็นแสงไหล ทะลุผ่านอย่างรวดเร็วในท้องฟ้ายามค่ำคืน ทำให้มองไปด้วยตาเปล่า เห็นราวกับว่าฝนธนูที่ทรงอานุภาพเต็มไปทั่วบริเวณ

หนานเค่อปลดวงแหวนจันทราออก สลายม่านกระบี่กลายเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม ก็เท่ากับว่าเปิดเผยตัวเองขึ้นท่ามกลางฝนลูกธนูที่น่ากลัวเหล่านี้

ถ้าสวีโหย่วหรงสามารถรับมือกับกระบี่ไขว้ทักษิณที่น่ากลัวสายนี้ได้ ฉะนั้นในเวลาต่อมาก็จะเป็นหนานเค่อที่เป็นฝ่ายเผชิญหน้ากับอันตราย

ปัญหาอยู่ที่ พลังของกระบี่ไขว้ทักษิณสายนี้น่ากลัวขนาดนี้ กระบี่ไขว้ทักษิณในมือของหนานเค่อก็เป็นอาวุธที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอาณาเขตเผ่ามาร ถ้าอยู่ในโลกของเผ่ามนุษย์ มีสิทธิ์ในการจัดเรียงอยู่ในการจัดลำดับร้อยศาสตราแน่นอน

ในมือของสวีโหย่วหรงมีเพียงธนูไม้หนึ่งเล่ม จะต้านไว้ได้อย่างไร?

เสียงพิณเสียงหนึ่ง ที่แท้สายขาด

สายธนูขาดจากส่วนปลาย ม้วนขึ้นมาราวกับเกสรดอกไม้ ตกลงบนข้อมือของสวีโหย่วหรง

นางกำด้ามธนูแทงเข้าไปในหน้าผาหินที่อยู่ข้างหน้า

เสียงดังปึงดังขึ้นคราหนึ่ง หน้าผาหินแตกละเอียดอย่างรวดเร็ว ธนูยาวปักพื้นดิน ไหวเอนไปมาตามลมกลางคืน ราวกับกลายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง

เสียงบึ้มดังกึกก้องคราหนึ่ง!

กระบี่ไขว้ทักษิณที่พลังน่ากลัวอย่างไร้ที่เปรียบ ตัดลงไปบนธนูยาว!

ธนูคันนี้ยาวมาก ฉะนั้นจึงรู้สึกว่าไม่ค่อยแข็งแกร่ง อีกทั้งยังทำจากไม้อย่างเห็นได้ชัด แต่กลับบังกระบี่เล่มนี้ไว้ได้!

มีเพียงยอดเขาของหน้าผาหินเท่านั้นที่เกลี้ยงเกลา ต้นไม้นี้แน่นอนว่าโดดเดี่ยว ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่นางมองเห็นต้นไม้ต้นนั้นที่บนทางเดินภูเขา

เส้นทางบนภูเขาเป็นภาพลวงตา ต้นไม้ต้นนั้นที่นางเห็น เดิมก็เป็นต้นไม้ที่นางอยากเห็นอยู่แล้ว

ต้นไม้ที่นางเห็นที่ทางเดินภูเขาในตอนนั้นเป็นต้นอู๋ถง

ธนูยาวคันนี้ในตอนนี้ เป็นต้นอู๋ถงเช่นเดียวกัน

ธนูคันนี้ เดิมก็เป็นศาสตราเทพบนอันดับร้อยศาสตรา!

ต้นอู๋ถง มหาศาสตราของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ในการจัดลำดับร้อยศาสตรา อยู่ลำดับที่สามสิบเอ็ดและสามสิบสอง!

เหตุใดศาสตราหนึ่งชิ้นถึงมีสองอันดับ? เพราะว่าอู๋ถงไม่ใช่ศาสตราหนึ่งชิ้น แต่เป็นสองชิ้น

ลูกธนูส่งเสียงฟิ้วฟ้าวที่โจมตีอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนเหล่านั้น ก็คือใบไม้ที่ร่วงหล่นล่องลอยของต้นอู๋ถง ชื่อว่าลูกธนูอู๋

ธนูยาวที่นางกำอยู่ในมือในตอนนี้ ก็คือก้านไม้ที่แข็งแรงของต้นอู๋ถง ชื่อว่า กูถง*

ลูกธนูอู๋และกูถง

กระบี่ของอู๋ (ข้า) และ ถงของกู (ข้า สรรพนามแทนตนเองของพระราชา)

นี่เป็นศาสตราแห่งราชาชิ้นหนึ่ง ถ้าไม่ใช่นักปราชญ์หรือกษัตริย์ ไม่สามารถใช้มันได้

แต่สวีโหย่วหรงใช้ได้ กระทั่งมีเพียงนางเท่านั้น ถึงจะมีกำลังในการแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากศาสตราชิ้นนี้

ก็เหมือนกับเหตุผลที่ว่าทำไมตอนอยู่บนทางเดินภูเขา ต้นไม้ที่โดดเดี่ยวที่นางเห็นนั้นเป็นต้นอู๋ถง

นางเป็นพญาหงส์ พักอยู่กับต้นอู๋ถง

นางเป็นกษัตรีมาแต่กำเนิด

แสงสีสดใสกระจายออกดั่งเกลียวคลื่นทะเลซัดใส่หินโสโครก ซ่านกระเซ็นไปทั่วสารทิศ

การปะทะกันของลมหายใจสองสายที่ยิ่งใหญ่ ส่องสว่างยอดเขาอัสดง ส่องสว่างดวงตาของพวกนางทั้งคู่

สวีโหย่วหรงมองหนานเค่อ สีหน้าสงบนิ่ง ไม่พูดแต่มีความยิ่งใหญ่ในตัวเอง

กูถงบังกระบี่ไขว้ทักษิณไว้ได้ ลูกธนูอู๋อยู่ไหน?

เสียงทะลวงชั้นบรรยากาศดังกึกก้องในสีราตรี ฝนธนูจำนวนมากตกลงมายังหนานเค่อ

กระบี่ของหนานเค่อ ต่อสู้กับธนูยาวของสวีโหย่วหรง จะหลบหนีออกจากลูกธนูฝนได้อย่างไร? ก็เหมือนกับที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หากนางไม่อาจใช้หนึ่งกระบี่นี้จบการต่อสู้สนามนี้ ก็เป็นเวลาเผชิญหน้ากับอันตรายของนาง

และในเวลานี้ ภาพฉากหนึ่งที่ทำให้คนคิดไม่ถึงพลันปรากฏขึ้น

มือคู่ที่ไขว้กันจับด้ามกระบี่ของหนานเค่อแยกออกจากกัน กระบี่หนึ่งกันธนูยาวของสวีโหย่วหรง อีกมือหนึ่งควบคุมหมุนกระบี่แล้วแทงออก ม่านกระบี่ปรากฏอีกครั้ง ปัดลูกธนูอู๋สิบกว่าดอกนั้นออก!

กระบี่ไขว้ทักษิณ ที่จริงแล้วเป็นกระบี่สองเล่ม!

ก็เหมือนกับที่อู๋ถงเป็นศาสตราสองชิ้น!

……

……

ยอดเขาอัสดง คืนนี้สว่างไสวเรืองรอง เสียงร้องที่ชัดเจนไม่มีหยุด

นี่เป็นการต่อสู้สนามหนึ่งที่ยากที่จะจินตนาการ ถ้าจะพูดถึงระดับความรุนแรง แน่นอนว่าเทียบกับการสังหารที่ตะลึงฟ้าซึ่งยากพบเจอในรอบร้อยปีนอกสวนโจวในปีนั้นไม่ได้ แต่กลับทำให้คนหลงใหลมากยิ่งขึ้น

ก็เหมือนกับในคำเล่าลือ ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นการบำเพ็ญหรือว่าความตั้งใจแน่วแน่ พวกนางล้วนใกล้เคียงกันมาก ขนาดศาสตราและวิธีการเข้าถึงเส้นทางการบำเพ็ญก็เหมือนกันขนาดนี้ ก็เหมือนกับในจินตนาการแบบนั้น ในที่สุดพวกนางก็ได้พบกัน แล้วการต่อสู้ของหงส์และนกยูง อู๋ถงและกระบี่ไขว้ทักษิณ ใครจะได้รับชัยชนะในที่สุด?

…ถ้ามีโชคชะตา ฉะนั้นพวกนางก็คือศัตรูคู่แข่งแห่งชะตากรรม ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นการต่อสู้สนามนี้ในคืนนี้ ล้วนจะเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าการต่อสู้สนามนี้ไม่มีใครเห็น นั่นก็จะเป็นความน่าเสียดายของทั้งดินแดนต้าลู่

ดีที่การต่อสู้สนามนี้มีผู้ชมคนหนึ่ง

ทุกรอยยับบ่นบนใบหน้าของผู้เฒ่าดีดพิณล้วนแสดงถึงความสะเทือนใจและการชมเชย

ไม่ใช่แค่เพียงต่อหนานเค่อ ยังมีต่อสวีโหย่วหรงด้วย

เขาไม่เคยเห็นความสามารถในการต่อสู้และสายเลือดพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกนางยังเยาว์วัยขนาดนี้

ลูกธนูอู๋พบกับม่านกระบี่ กระบี่ไขว้ทักษิณพบกับกูถง การต่อสู้บนหน้าผาในตอนนี้เข้าสู่สถานการณ์ตึงเครียดอีกครั้ง ต้องดูว่าใครจะสามารถทนอยู่ได้ถึงตอนสุดท้าย

ผู้เฒ่าดีดพิณเข้าใจในจุดนี้ชัดเจนมาก ฉะนั้นเขาจึงชมเชยจนถึงขนาดยืนขึ้นมา

การต่อสู้ที่ยุติธรรม? ก็เหมือนกับเผ่ามารไม่เคยเชื่อน้ำตาของเผ่ามนุษย์ นั่นเป็นคำศัพท์ที่จอมปลอมมาก ไม่มีความหมายใดๆ

และแล้วตอนนี้หนานเค่อมองเขาปราดหนึ่ง แม้จะเพียงแค่แสงกะพริบ ยังคงเยือกเย็นเหนือหิมะ

เผ่ามารไม่เคยเชื่อเรื่องความยุติธรรมความเป็นธรรม แต่นางเชื่อเรื่องความทะนง

ฉะนั้น ผู้เฒ่าดีดพิณจึงชักเท้ากลับไป

ยอดเขาอัสดงสว่างไปทั่วแต่ต้นจนจบ ดอกไม้ไฟที่มาจากการเสียดสีของลูกธนูและกระบี่ แสงไหลที่มาจากการปะทะกันจนเป็นรูปร่างของไอพลังปราณระหว่างกระบี่และธนู

ระหว่างดอกไม้ไฟและแสงไหล บนใบหน้าปกติที่สดใสของสวีโหย่วหรง ความมันเงายิ่งมายิ่งสว่าง ยิ่งมายิ่งสงบ นั่นคือการเชื่อมั่นในตนเอง

ไอพลังปราณสายหนึ่งที่ตรงไปตรงมาไร้เล่ห์เหลี่ยม กระจายออกมาจากชุดบูชาสีขาวของนาง สว่างไสวสุดเปรียบ

สายตาของหนานเค่อยังคงมีความมึนงงเล็กน้อย กลับยิ่งมายิ่งรุนแรง เพราะว่ายิ่งมายิ่งจดจ่อ ยิ่งมายิ่งเยือกเย็น

จู่ๆ ระหว่างฝีปากของนางระเบิดเสียงร้องยาวนานชัดเจน!

เสียงนั้นมีความอ่อนเยาว์เล็กน้อย กลับหยิ่งทะนงอย่างไม่มีที่เทียบ สัญลักษณ์แห่งความไม่แยแสและทระนงสูงส่ง

นั่นเป็นนกยูงตัวหนึ่งที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเองอย่างสงบเงียบที่ส่วนลึกของป่าพรุ มองวิหคที่บินไปยังที่ห่างไกลด้วยความดูถูกปราดหนึ่ง

จู่ๆ เลือดสดสายหนึ่งไหลออกมาจากกลางมือสองข้างของนาง ทาทาบด้ามกระบี่ของกระบี่ไขว้ทักษิณจนทั่ว!

เลือดของนางที่ไหลออกมา ไม่ใช่สีแดง เพราะว่านางไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่เลือดสีเขียวของเผ่ามารธรรมดา เลือดของนางฉูดฉาดแปลกใหม่ งดงามไม่มีที่ติ!

เลือดนี้ไม่น่าขยะแขยง ในทางกลับกันมีความสวยงามที่เย้ายวนชนิดหนึ่ง

เลือดสายนั้นราวกับเย็นอย่างมาก ราวกับน้ำแข็งที่ไหลเคลื่อน ปกคลุมมือของหนานเค่อและด้ามจับอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็เริ่มเผาไหม้ เปลวไฟนั้นกลับคล้ายไฟเย็นเช่นกัน!

ไฟที่เหมือนน้ำแข็ง แผดเผาขึ้นมาบนกระบี่ไขว้ทักษิณอย่างรุนแรง!

เพียงแต่ในระหว่างนั้น บนคันธนูอู๋ถงก็ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นสักพัก คาดไม่ถึงว่าจะมีหนามน้ำแข็งงอกออกมาหลายเส้น!

บริเวณรอบคันธนูที่เชื่อมกันกับพื้นผิวหน้าผา สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง นำมาซึ่งรอยร้าวจำนวนมาก คาดไม่ถึงว่าราวกับกำลังส่งสัญญาณว่ารับไว้ไม่ค่อยอยู่!

นี่ก็คือเลือดที่แท้จริงของมยุราหรือ? สวีโหย่วหรงคิดอย่างเงียบขรึม

จากนั้น ปลายคิ้วของนางขมวดเล็กน้อย

ไม่ใช่ระมัดระวังด้วยความกังวล ยิ่งไม่ใช่หวาดกลัว เพียงแค่กลัวเจ็บล่วงหน้าเท่านั้น

เลือดไหล มันเจ็บเล็กน้อยจริงๆ

นางไม่ชอบความเจ็บปวด เพราะฉะนั้นนางจึงไม่ชอบวิธีการต่อสู้เช่นนี้

แต่ในเมื่อหนานเค่อเชิญชวนนางแล้ว นางไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะว่านางยิ่งไม่ชอบความพ่ายแพ้และการตาย

เนื่องจากความเจ็บปวด ปลายคิ้วของนางยิ่งขมวดยิ่งแน่น มองดูแล้วมีความน่าสงสารเล็กน้อย ดวงตาของนางกลับยิ่งมายิ่งสว่างไสว สีหน้าและอารมณ์ยิ่งมายิ่งสงบ

เลือดสดสายหนึ่งไหลออกมาอย่างเชื่องช้าจากหว่างนิ้วของนาง ไหลหยดบนคันธนูที่นางกำไว้แน่น

เลือดสายนั้นเป็นสีแดง เพราะว่านางเป็นเผ่ามนุษย์ แต่แล้วหลังจากสัมผัสกับลมกลางคืนครู่เดียว เลือดนั้นก็กลายเป็นสีทอง

เลือดนั้นเหมือนกับทองคำ โอ่อ่าอย่างไม่มีที่เทียบ บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไร้ที่เปรียบ ในนั้นราวกับมีพลังและความอบอุ่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดซ่อนอยู่ข้างใน

ธนูยาวอู๋ถง ก็แผดเผาขึ้นมาเช่นนี้

น้ำค้างแข็งและหนามหิมะเหล่านั้น สลายกลายเป็นควันเขียวในทันที

*กูถง หมายถึง ต้นอู๋ถงที่เติบโตอย่างโดดเดี่ยว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset