ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 275 สงครามเลือดให้ถึงที่สุด

นกยูงชื่อหนานเค่อ เรียกชื่อว่ามยุรา เวลาพรรณนาถึงสายเลือดพรสวรรค์จะใช้อย่างหลัง

สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของหนานเค่อ ก็คือเลือดอันเที่ยงแท้ของมยุรา เลือดประเภทนี้เยือกเย็นเข้ากระดูก เจอลมก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง เทียบกับวิทยายุทธ์ของพรรคภูเขาหิมะฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือไม่รู้ว่ายิ่งใหญ่มากกว่ากี่เท่า นอกจากเลือดของมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งแล้ว ก็ยากที่จะหาเจอสิ่งของที่เยือกเย็นอย่างยิ่งเช่นนี้อีกในโลก และจุดที่น่ากลัวกว่าของเลือดมยุราอยู่ที่ เลือดประเภทนี้มีพิษมาก แม้จะเป็นสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานได้

หยาดโลหิตสีสันฉูดฉาดไหลจากข้อมือของหนานเค่อหยดลงบนด้ามกระบี่ เปรอะเปื้อนลงบนธนูยาวอู๋ถง ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตายไปตั้งแต่เค่อก่อนหน้านี้แล้ว

แต่สวีโหย่วหรงไม่ นางไม่ถูกเลือดของหนานเค่อแช่จนเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง และก็ไม่ถูกพิษในเลือดเหล่านั้นแทรกซึม เพราะว่านางเป็นหงส์สวรรค์กลับชาติมาเกิด เลือดที่ไหลเวียนในร่างกายของนางเป็นเลือดแท้ของหงส์สวรรค์ เลือดของนางอุดมไปด้วยแสงเดือดอนันต์ สามารถเผาผลาญทุกสิ่งอย่าง

การต่อสู้บนยอดเขาอัสดงมาถึงขั้นจุดชี้ชะตา ในที่สุดสวีโหย่วหรงและหนานเค่อก็เริ่มเปรียบเทียบแข่งขันกันเกี่ยวกับสายเลือดพรสวรรค์ ในการต่อสู้ที่อยู่ข้างหน้านี้ พวกนางได้พิสูจน์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นการบำเพ็ญ จิตวิญญาณที่แน่วแน่หรือด้านท่าธนูและท่ากระบี่ ระดับความสามารถแทบจะเหมือนกัน ฉะนั้นก็ต้องดูว่าเลือดของใครจะสามารถเผาโลกใบนี้หรือว่าแช่แข็งโลกใบนี้ได้

ในอาณาเขตมาร ในโลกของมนุษย์รวมถึงในเมืองไป๋ตี้ที่ข้างแม่น้ำ ในคำเล่าลือจำนวนมาก หงส์ล้วนเป็นราชินีแห่งนก ตามเหตุผลแล้ว ในการแข่งขันเปรียบเทียบสายเลือดพรสวรรค์สนามนี้สวีโหย่วหรงราวกับต้องได้รับชัยชนะจากการต่อสู้สนามนี้ในท้ายที่สุดอยู่แล้ว แต่อย่าได้ลืมว่า ในคำเล่าลือจำนวนมาก มีนกยูงตัวหนึ่งที่มองแดนวิหคอย่างทะนงตนเย็นชา นกยูงตัวนั้นไม่เคยรับฟังคำบัญชาของหงส์

ถ้าหงส์สามารถชนะนกยูงได้อย่างง่ายดาย นกยูงหรือจะกล้าไม่ฟังคำสั่ง ยังจะมีความหยิ่งยโสและอิสระได้อย่างไร? นี่อธิบายความจริงที่เห็นได้ชัด ระยะห่างที่มากที่สุดระหว่างนกยูงและหงส์คือความแตกต่างของบุคลิกและการมองโลกที่นำมาซึ่งตัวเลือกที่ต่างกัน แต่ระดับความยิ่งใหญ่ของสายเลือดจริงๆ แล้วใกล้เคียงมาก

เลือดของสวีโหย่วหรงและหนานเค่อยังคงหลั่งไหล เปื้อนไปทั่วด้ามกระบี่ ตัวกระบี่และคันธนู จากนั้นตกลงบนพื้นหน้าผาระหว่างทั้งสองคน ก้อนหินที่แข็งแกร่งเหล่านั้นก็แผดเผาขึ้นมาอย่างรุนแรงรวดเร็ว

ทั้งยอดเขาอัสดงล้วนเริ่มเผาไหม้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นอัคคีศักดิ์สิทธิ์สีทองที่สว่างไสว หรือว่าอัคคีน้ำแข็งที่ฉูดฉาดอึมครึมเยือกเย็น ล้วนเป็นอัคคีไฟที่แท้จริง ราวกับแผดเผาดวงวิญญาณให้มอดไหม้ได้

ไอพลังปราณสองสายที่ยิ่งใหญ่ไร้ใดเปรียบ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามการต่อสู้ระหว่างสายเลือดที่สูงส่งแต่เย็นชาสองประเภท ภาพลวงตาที่ผู้เฒ่าดีดพิณกางไว้ไม่สามารถต้านทานได้อีก พร้อมกับเสียงแตกสลายที่แน่นละเอียดจำนวนมาก กลายเป็นแก้วโปร่งใสจำนวนมาก จากนั้นหายวับไปจากกลางท้องฟ้าค่ำคืน

คลื่นแสงสว่างสายหนึ่งกระจายไปยังสี่ทิศแปดทางจากระหว่างกายของสวีโหย่วหรงและหนานเค่อ จู่ๆ ก็กระจายไปถึงด้านนอกร้อยลี้! เขาอัสดงถูกส่องสว่างจนราวกับกลางวัน ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้นที่ข้างหน้าเทือกเขาจู่ๆ ก็สว่างขึ้นมา โดยเฉพาะรอบนอก หญ้าป่าเหล่านั้นราวกับเริ่มเผาขึ้นมาอย่างแท้จริง เสียงที่ละเอียดและอึมครึมน่ากลัวจากส่วนลึกของทุ่งหญ้าจู่ๆ ก็หายไป สัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่จำนวนมากที่หลบซ่อนอยู่ในนั้น รู้สึกถึงไอพลังปราณอันยิ่งใหญ่สูงส่งไร้ที่เปรียบซึ่งแฝงอยู่ในคลื่นแสงที่มาจากยอดเขา ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆ

“เก่งใช้ได้จริงๆ” หลิวเสี่ยวหวั่นมองไปยังทิศของเขาอัสดงพลางพูดด้วยความสะเทือนใจ

คู่สามีภรรยาทหารมารอยู่ที่รอบนอกทุ่งหญ้าป้องกันเจ๋อซิ่วและชีเจียนหนีออกมา ทานอาหารเสร็จกำลังล้างชาม ไม่คิดว่าบริเวณไกลของยอดเขากำลังเกิดสนามสงครามที่น่ากลัว

เถิงเสี่ยวหมิงเอาชามวางไว้ที่ตะแกรง ถามว่า “พวกเราควรไปช่วยหรือไม่?”

จากระดับจิตสัมผัสที่แข็งแกร่งของพวกเขา สามารถรู้สึกถึงระดับความรุนแรงของสนามต่อสู้บนยอดเขาอัสดงได้อย่างชัดเจน เพลิงสีอำพันที่มาจากเลือดแท้ของหงส์สวรรค์ เจิดจ้าเกินไปจริงๆ

“ไม่ทันแล้ว” หลิวเสี่ยวหวั่นส่ายหัวพูดว่า “อีกทั้งองค์หญิงไม่ชอบให้พวกเราสอนหนังสือสังฆราช* ในเมื่อใต้เท้ากุนซือพูดว่าสวีโหย่วหรงตายแน่ๆ ฉะนั้นนางก็ต้องตายแน่ๆ”

ภาพลวงตาระหว่างยอดเขาอัสดงรวมถึงทางเดินภูเขาที่เงียบสงบสันโดษและโลกสวนโจวที่ถูกขวางกั้นแตกกระจายแล้ว มังกรดำที่บินลอยสูงในท้องฟ้าค่ำคืน นี่ถึงจะเป็นครั้งแรกที่มองเห็นทิวทัศน์ด้านล่างอย่างแท้จริง นางเพิ่งจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสวีโหย่วหรงจากไปนานแล้ว การต่อสู้ชะตากรรมสนามนั้นได้เริ่มไปแล้ว

คนจำนวนมากในสวนโจวในตอนนี้ได้สังเกตเห็นการต่อสู้สนามนี้ที่ยอดเขาอัสดงแล้ว แม้จะมองเห็นรายละเอียดไม่ชัด ไม่รู้ว่าใครกำลังต่อสู้กับใคร แต่ไฟที่แผดเผาอย่างรุนแรงที่ยอดเขาแห่งนั้นรวมถึงไอพลังปราณที่ยิ่งใหญ่น่ากลัวที่เหมือนกับส่งออกมาจากในเปลวไฟ พอที่จะทำให้พวกเขาสีหน้าเปลี่ยนและสะเทือนใจ

แต่มังกรดำไม่เป็นเช่นนั้น นางมองดรุณีสองคนนั้นจากบนลงล่างที่กลางเทือกเขา สีหน้าอารมณ์กลางนัยน์ตาดำดิ่งเย็นชาไม่แยแส กระทั่งเหมือนมีความดูถูกเล็กน้อย ถ้าตอนนี้นางไม่ใช่กายทิพย์ร่างหนึ่ง แต่เป็นการมาด้วยตัวจริง ไม่ต้องพูดถึงการปะทะกันอย่างรุนแรงของสองสาวที่ยอดเขาอย่างนั้น เพียงนางพ่นไอพลังปราณมังกรเพียงเล็กน้อย อัคคีไฟนั่นก็คงจะดับไป

“โลกใบเล็ก วิหคน้อยสองตัวเล่นไฟ มดวนรอบต้นไม้บอกรอบหนึ่งแคว้น มดเขย่าต้นไม้จะง่ายดายได้อย่างไร*”

นางเยาะเย้ยเล็กน้อยพลางคิดถึงคำพูดเหล่านี้ แต่เค่อต่อไปจู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่า เลือดและไฟที่แผดเผาอยู่บนยอดเขาอัสดงเหล่านั้น ไอพลังปราณที่หลั่งไหลออกมานั่นทำให้นางระมัดระวังขึ้นมาบ้าง…ที่จริงแล้ว สาวน้อยสองคนนั้นไม่ใช่นกน้อยธรรมดา ถ้าสายเลือดของพวกนางตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ คาดไม่ถึงว่าก็จะเป็นระดับเดียวกันกับนางเช่นกัน

……

……

ยอดเขาอัสดง เลือดสดสองสายที่สูงส่งแต่ไอพลังปราณต่างกันอย่างสิ้นเชิงปนเข้าด้วยกัน เปลวไฟสองสายที่สว่างไสวอึมครึมไม่แน่ไม่นอนก็ปนเข้าด้วยเช่นกัน ที่ว่ากันว่าเลือดไฟผสาน ก็คือแบบนี้ ผ่านเปลวไฟทุกๆ ชั้นและแสงสว่างบนกระบี่และธนู สายตาของสวีโหย่วหรงและหนานเค่อปะทะกัน โลกจิตวิญญาณราวกับเชื่อมโยงกัน

เพียงแต่ในชั่วครู่ สวีโหย่วหรงก็สามารถเห็นภาพจำนวนมาก นั่นเป็นภาพทิวทัศน์ของในเมืองเสวี่ยเหล่า ภาพในพระราชวังมาร รวมถึงทุกฉากของภาพการเติบโตของเด็กผู้หญิงที่เหมือนกับวันๆ เอาแต่ตัดหญ้าให้หมู

ในทางกลับกัน ภาพที่หนานเค่อเห็นกลับมีน้อยมาก เห็นเพียงสะพานหินเล็กนอกจวนขุนพลเทพตงอวี้ ต้นหลิวใต้สะพาน รวมถึงบริเวณสถานศึกษาของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า

หนานเค่อไม่ได้ทำการปิดบังใดๆ นางเย็นชาและสันโดษ ไม่กลัวว่าคู่แข่งอย่างสวีโหย่วหรงจะเห็นภาพความคิดที่แท้จริงของตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไม ตามหลักแล้วเส้นทางการบำเพ็ญเพียรในปีที่ผ่านมาของสวีโหย่วหรงน่าจะเปิดเผยเจิดจรัสส่องประกายมากกว่านี้ กลับปรากฏผ่าม่านโปร่งบางจำนวนหลายผืนบดบังโลกจิตวิญญาณเอาไว้โดยทั้งจงใจและไม่จงใจ

“หงส์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปลอมเปลือกที่สุดอย่างที่คิดไว้ จะกลายเป็นผู้คุมของบัลลังก์ราชาอันเสื่อมโทรม ก็จะต้องมีชีวิตจิตใจคับแคบอย่างเจ้าหรือ? อย่างนั้นสู้ตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”

หนานเค่อมองตาของนาง พูดอย่างเย็นชาผ่านโลกของจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกัน

สวีโหย่วหรงไม่ได้ต่อคำ ถามอย่างสงบว่า “เจ้าอยากจะตายพร้อมกับข้าหรือ?”

หนานเค่อพูดด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ข้าไม่กลัวตาย เจ้ากลัวตาย ฉะนั้นถ้าตายพร้อมกัน คนที่ตายก่อนแน่นอนว่าเป็นเจ้า”

สวีโหย่วหรงเลิกคิ้วเล็กน้อย นางไม่ชอบวิธีการต่อสู้แบบนี้ และก็ไม่ชอบวิธีการพูดของหนานเค่อด้วย นางคิดว่าความเป็นตายเป็นเรื่องที่ควรค่าให้หวาดกลัว ไม่ควรถูกพูดถึงอย่างง่ายเช่นนี้

หนานเค่อจ้องนางพลางพูดว่า “พวกเจ้าเผ่ามนุษย์มีคำพูดสิ้นคิดอยู่เสมอว่า ความสามารถยิ่งมาก ความรับผิดชอบก็จะยิ่งหนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็จะยิ่งไม่กล้าไปตาย เพราะว่าบนไหล่ของเจ้ายังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบจำนวนมาก”

สวีโหย่วหรงถามอย่างสงบว่า “แล้วเจ้าล่ะ? ในฐานะเป็นองค์หญิงเผ่ามาร ไม่ต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบหรือ?”

หนานเค่อสายตาไม่แยแสพูดว่า “ข้ามีพี่น้องนับสิบคน หน้าที่ที่ข้าต้องรับผิดชอบนั้นน้อยมากๆ นอกจากความต้องการของตนเองและความหวังของอาจารย์”

สวีโหย่วหรงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “บิดาของเจ้ารู้เรื่องนี้หรือไม่? ถ้าวันนี้เจ้าตายอยู่ในสวนโจว ระหว่างอาจารย์และบิดาของเจ้าจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

การสนทนาที่ง่ายมาก สิ่งที่พูดคือความเป็นตายและหน้าที่ กลับไม่ได้โต้แย้งเหตุผลใดๆ เพียงแค่อยากให้ฝั่งตรงข้ามรู้ว่าตัวเองไม่กลัวตายอย่างไร แล้วฝั่งตรงข้ามแน่นอนว่าต้องมีเหตุผลที่กลัวตาย

บทสนทนานี้เกิดขึ้นในโลกจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกัน สิ่งที่โจมตีก็เป็นจิตวิญญาณ

ชัดเจนมาก น้ำเสียงที่ผ่านการคิดวิเคราะห์แล้วค่อยพูดของสวีโหย่วหรงประโยคนี้ ไม่ได้รับผลลัพธ์ใดๆ จากที่คาดไว้ สีหน้าของหนานเค่อยังคงไม่แยแส ไม่สนใจใดๆ เกี่ยวกับความเป็นตายและอนาคตของเผ่ามารโดยสิ้นเชิง

“สิ่งที่เผ่าเทพต้องการคือรุ่นหลังที่ยิ่งใหญ่และเกียรติแห่งชัยชนะ เพียงแค่ข้าฆ่าเจ้าได้ ก็จะพิสูจน์ว่าสายเลือดของเผ่าเทพแต่ไหนแต่ไรเป็นที่สูงส่งที่สุด เสด็จพ่อจะผิดหวังโศกเศร้าได้อย่างไร? เขาเพียงแค่จะแต่งบทกลอนยาวสักสองสามบทแล้วสลักไว้บนอนุสรณ์ของข้าอย่างดีใจ”

พูดประโยคนี้เสร็จ หนานเค่อก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาที่ไม่แยแสแน่วแน่เหนือคำบรรยาย ระหว่างมือสองข้างที่กำด้ามกระบี่ ความเร็วของเลือดที่หลั่งไหลจู่ๆ ก็เร็วขึ้น

ตามการก้าวออกไปของนางก้าวนี้ จุดจุดหนึ่งที่หน้าผาภูเขาที่อยู่ไกลออกไปหลายร้อยจั้งเกิดรอยร้าวเส้นหนึ่ง ก้อนหินหน้าผาที่เส้นรอบวงประมาณหนึ่งจั้งก้อนหนึ่งตกหล่นลงไปในเหวลึก

กระบี่ไขว้ทักษิณสว่างยิ่งขึ้น สายหนึ่งอยู่ด้านหน้านาง ราวกับแม่น้ำดวงดาวที่แท้จริง อีกสายอยู่ด้านหลังนาง ราวกับนกยูงรำแพนหาง ปิดบังฝนลูกธนูที่จู่โจมมาจากสี่ทิศแปดทาง

เลือดที่เยือกเย็นแต่ฉูดฉาด สลายกลายเป็นเปลวไฟจำนวนมาก เดือดพล่านอย่างรุนแรงอยู่บนหน้าผา สีหน้าของนางยังคงไม่แยแส ราวกับไม่รู้สึกถึงเจ็บปวด ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ในการเผชิญหน้ากับความตาย

นางมองตาของสวีโหย่วหรง พูดคำพูดสุดท้ายในโลกแห่งจิตวิญญาณว่า “เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ หากจะฆ่าเจ้า แน่นอนว่าต้องหลั่งเลือดมากกว่านี้”

สีหน้าของสวีโหย่วหรงยังคงสงบเงียบ มองไม่เห็นความเหนื่อยล้าแม้แต่นิดเดียว แต่การไม่หลับไม่นอนต่อกันสองวันสองคืน วิ่งวุ่นในภูเขาป่าใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือบาดแผล อันที่จริงนางเหนื่อยมากแล้ว

จะทำอย่างไรถึงจะชนะหนานเค่อที่คลุ้มคลั่งไปแล้วได้?

ทำได้เพียงใช้เลือดแลกเลือด

ความคิดขยับเล็กน้อย ในฝ่ามือของนางที่จับธนูยาวไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำแร่ เปลวไฟสีทองที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์แผดเผาอย่างรุนแรง ทำให้ยอดหน้าผาที่เยือกเย็นอย่างยิ่งกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง

ไอพลังปราณที่ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์และยิ่งใหญ่สายนั้น ปลดปล่อยออกมาจากร่างของนางอย่างต่อเนื่อง

ไอพลังปราณที่แข็งแกร่งสองสายปะทะกัน พุ่งชนตั้งแต่ยอดเขาอัสดงไปยังกลางท้องฟ้าค่ำคืน

ได้ยินเพียงเปรี๊ยะเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากบริเวณอันไกลโพ้น ส่วนลึกของท้องฟ้าค่ำคืนแห่งนั้นเป็นราวกับเส้นโค้งที่โปร่งแสง จู่ๆ ก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งขึ้น จากนั้นพลันปรากฏดาวตกสายหนึ่ง

ที่นี่เป็นสวนโจว ดาวตกสายนั้นน่าจะไม่ใช่ดาวตกที่แท้จริง แต่ก็ไม่ใช่ลูกธนูอู๋ ดาวตกสายนั้นตกลงที่จุดหนึ่งข้างเขาอัสดง ได้ยินเพียงตูมเสียงดังมากเสียงหนึ่ง…เทือกเขาทั้งลูกล้วนเริ่มสั่นสะเทือนขึ้นมา…หน้าผาภูเขาแห่งหนึ่งที่ด้านข้างหุบเขาอัสดงถล่มทลายลง

สวีโหย่วหรงและหนานเค่อมองซึ่งกันและกัน ไม่ได้สนใจ

เลือดสดของพวกนางหลั่งไหลไม่หยุด ลายหายใจถี่กระชั้นขึ้นไม่ขาด

เสียงแตกเปรี๊ยะที่ดังขึ้นมาในท้องฟ้าค่ำคืนยิ่งมายิ่งมาก ดาวตกที่เกิดขึ้นยิ่งมายิ่งเยอะ ตกหล่นลงมายังเขาอัสดง

*สอนหนังสือสังฆราช หมายถึง สอนในสิ่งที่เขารู้ดีอยู่แล้ว

*มดวนรอบต้นไม้บอกรอบหนึ่งแคว้น มดเขย่าต้นไม้จะง่ายดายได้อย่างไร หมายถึง ไม่เจียมตัว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset