ไม่ว่าเป็นใคร…ในชั่วพริบตาหนึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นรูปร่างของฝั่งตรงข้าม…แต่แน่นอนว่าต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เข้ามาในสวนโจว เหตุผลนี้ก็เพียงพอแล้ว เพียงพอที่จะให้สวีโหย่วหรงผลาญปราณแท้อย่างไม่เสียดายอีกครั้งในระหว่างที่บินอยู่เหนือเขาอัสดง ปรับทิศทางให้ถูกต้องในเวลาช่วงสำคัญ คว้าตัวเอาไว้ก่อนที่ผู้บำเพ็ญเพียรที่บาดเจ็บสาหัสจนสลบคนนั้นใกล้จะตกลงจากท้องฟ้าค่ำคืนแล้วกระแทกพื้นเสียชีวิต จากนั้นก็พาบินไปยังบริเวณไกลๆ พร้อมกัน
นางไม่มีประสบการณ์ในการบิน แต่มีประสบการณ์มากในการขี่นกกระเรียนขาวล่องลอยบนท้องฟ้าสีคราม บินในท้องฟ้าค่ำคืน ไม่ได้น่ากังวลและน่าหวาดกลัวอย่างที่คิดไว้ แต่อย่างไรก็ตามยังเป็นผู้ฝึกหัด ก็อาจมีความงุ่มง่ามเล็กน้อย ยิ่งบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ยิ่งอ่อนแอ ตอนนี้ในมือยังโอบอุ้มอีกคนอยู่ ไม่อาจหลีกเลี่ยงความโซซัดโซเซ มองๆ ไปคล้ายคนดื่มสุราจนเมามาย
ผ่านไปไม่นาน หนานเค่อก็ไล่ตามมาจนถึงด้านหลังนางไม่กี่ลี้ ระยะห่างที่ห่างกันช่วงนี้ นางก็ล้วนราวกับรู้สึกถึงรังสีสังหารของฝั่งตรงข้ามได้ นางมิได้หันศีรษะ ตั้งใจจดจ่อกับการเรียนรู้ว่าต้องบินอย่างไร ความถี่ในการขยับปีกไฟยิ่งมายิ่งน้อย ท่าทีกลับยิ่งมายิ่งแน่วแน่ ความเร็วยิ่งมายิ่งเร็ว ค่อยๆ กลายเป็นเส้นไฟสายหนึ่งในท้องฟ้ายามค่ำคืน
การรู้ตื่นของวิญญาณหงส์สวรรค์ ทำให้นางเข้าใจบรรลุเหตุผลมากมาย ได้รับความสามารถของพรสวรรค์จำนวนมาก พูดถึงแค่ความเร็ว ตอนนี้นางเป็นที่หนึ่งของต้าลู่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นเหยี่ยวแดงที่ใช้ด้านการทหารของต้าโจวหรือวิหคส่งสารของเมืองต้าซี กระทั่งหนานเค่อและมังกรเงินที่มีความเร็วเร็วที่สุด ก็ไม่สามารถเร็วกว่านางได้
ปัญหาคือตอนนี้นางบาดเจ็บ ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ ตอนนี้ในมือของนางยังหิ้วคนผู้หนึ่ง คนคนนั้นสลบไสล หนักหน่วงราวกับถุงแป้งสาลีเปียกชุ่ม ถ้านางโยนคนผู้นี้ทิ้ง หนานเค่อก็จะไล่ตามนางทันได้ยาก นางสามารถกลับไปยังในสวนป่าที่ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์รวมตัวกัน ออกจากการโจมตีตามกลลวงของเผ่ามาร แล้วยังสามารถหาที่หลบซ่อน รอหลังการพักฟื้นบาดแผลและรักษาพิษให้หาย ค่อยมาต่อสู้กับหนานเค่อ เชื่อว่าแน่นอนต้องชนะ แต่ว่านางไม่สามารถ เพราะฉะนั้นไม่มีคำว่าถ้า
ระหว่างนี้ นางไม่ได้มองคนผู้นั้นที่อยู่ในมือสักปราดเดียว…ไม่ว่าเป็นใคร ก็ล้วนไม่ได้มีอะไรแตกต่าง แม้จะหนักยังอย่างไร ก็ไม่สามารถโยนทิ้งได้ ก็เหมือนกับที่อยู่บนยอดเทือกเขาอัสดง อย่างที่หนานเค่อพูดเช่นนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบนางมีชีวิตด้วยการแบกรับคำว่าความรับผิดชอบอันหนักหน่วง การเลือกหลายแบบได้กลายเป็นคุณสมบัติความสามารถบางอย่างของนางไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์ความผิดถูกและความได้เสีย เพียงแค่ต้องทำ
แสงไหลสองสาย ปาดผ่านป่าไม้ที่อยู่ข้างที่ราบทุ่งหญ้าและสถานที่เปียกชื้นอย่างรวดเร็ว เพียงแต่สีสันมีความแปลกเล็กน้อย จุดที่ได้เคลื่อนผ่าน เศษหญ้าปลิวว่อน ใบไม้ถูกสั่นสะเทือนเป็นใยไหม
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่สามารถหลบเลี่ยงหนานเค่อได้ สายตาของนางยิ่งมายิ่งฝ้าฟาง นั่นเป็นสัญญาณว่าเลือดพิษนกยูงใกล้ที่จะแพร่เข้าสู่ความทรงจำ นางใช้เลือดแท้หงส์สวรรค์กดทับอยู่ตลอด ประสบการณ์ถูกไล่ตามครั้งนี้ โลหิตค่อยๆ เดือดพล่าน กลับทำให้เริ่มกดทับกีดกันไม่ค่อยอยู่เล็กน้อย หรือว่า นางจะแผดเผาเลือดแท้หงส์สวรรค์เพื่อให้ได้ความเร็วที่มากขึ้น แต่พิษที่มีอยู่จะทำอย่างไร?
เงาสะท้อนของหนานเค่อยิ่งมายิ่งใกล้ รอบนอกของที่ราบทุ่งหญ้าในแสงท้องฟ้าค่ำคืนถูกทาทาบด้วยสีเขียวอีกครั้ง ไม่ทันคิดวิเคราะห์ ความจริงแล้ว นางยังไม่ได้วิเคราะห์ก็ทำการตัดสินใจแล้ว ในช่วงเวลานี้ ในที่สุดนางก็ก้มหัวมองคนคนนั้นในมือแวบหนึ่ง คิดด้วยความจำใจเล็กน้อย ทุกคนล้วนเป็นคนในวงการบำเพ็ญเพียร ให้ความสำคัญกับรับประทานสายลมสดชื่นดื่มด่ำแสงดวงดาว จริงๆ แล้ววันๆ เจ้ากินอะไร เหตุใดถึงได้หนักเพียงนี้?
จากนั้นนางได้จุดเผาเลือดแท้หงส์สวรรค์ที่หลงเหลืออยู่ไม่มากในร่างกาย
เสียงตู้มหนักหน่วงดังขึ้นหนึ่งเสียง รอบนอกที่ราบทุ่งหญ้าเริ่มแผดเผาขึ้นมา คล้ายจะมองเห็นแสงของหยดน้ำที่ใต้ใบหญ้า
สวีโหย่วหรงสลายกลายเป็นเส้นไปสายหนึ่ง หายไปจากสุสานฟ้า
หลังจากนั้นสักพัก หนานเค่อก็มาถึงตรงนี้ พลันหยุดชะงักลง มองไปยังเส้นไฟที่อยู่ห่างไกลสายนั้น สีหน้าไม่แยแส ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
ขนนกยูงสีเขียวขยับพัดปลิวแผ่วเบา กลิ่นอายที่หนาวเย็นแพร่กระจายไปยังสี่ทิศ หญ้าป่าและต้นอ้อที่ถูกแผดเผาเหล่านั้นค่อยๆ ดับลง ไหม้เกรียมทั่วทั้งผืน
หงส์สวรรค์เผาเลือดแท้ได้รับความเร็ว เร็วจนนางก็ไม่สามารถไล่ตามทันได้
“ใจอ่อนเหมือนสตรี ไม่รู้จักคำนวณสถานการณ์ อารมณ์เด็กน้อย…”
ความเห็นที่หนานเค่อให้กับสวีโหย่วหรงนั้นทั้งเย็นชาทั้งดูถูก “แม้ว่าครั้งนี้เจ้าจะรอดชีวิตไปได้ แต่จะเป็นคู่แข่งของข้าอีกได้อย่างไร?”
นางรู้ดีเป็นอย่างยิ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้วิญญาณหงส์สวรรค์ในร่างกายสวีโหย่วหรงจะฟื้นตื่น ก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ขนนกยูงสีเขียวค่อยๆ เก็บกลับ เส้นแสงเปลี่ยนเล็กน้อย สตรีสองนางนั้นปรากฏออกมาอยู่ที่สองข้างของนาง คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ข้าน้อยคารวะนายหญิง ข้าน้อยไร้ความสามารถ”
หนานเค่อไม่ได้สนใจสาวใช้สองคนนี้ของตัวเอง สีหน้าขาวซีดจากความหวาดกลัวของพวกนางนั้นก็ไม่ได้มองสักแวบหนึ่ง ถามเหมือนผุดประกายความคิดบางอย่างว่า “คนนั้น…ก็คือเฉินฉางเซิง?”
สาวใช้สองคนรีบบรรยายเรื่องราวอย่างรวบรัดที่เกิดขึ้นฝั่งนู้น ดวงหน้าใบเล็กของหนานเค่อปรากฏรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก แต่รอยยิ้มนั้นยังคงเย็นชาอย่างมาก “ที่จริงแล้วไม่ใช่ใจอ่อนเหมือนสตรี และก็ไม่ใช่ไม่รู้จักคำนวณสถานการณ์ แต่เป็นใส่ใจจนเกิดความยุ่งยากวุ่นวาย…พวกเจ้าสองคนตายด้วยกัน กลับมีความหมายเล็กน้อย”
……
……
ลมกลางคืนพัดผ่านหน้า ที่จริงแล้วควรจะหนาวเย็น แต่เพราะว่าเลือดกำลังแผดเผาอย่างเดือดพล่าน ทำให้สายลมนั้นมีความอบอุ่น สวีโหย่วหรงคิดอยากไปป่าวจีเขตบรรพต เลือดแท้ของหงส์สวรรค์กลับถูกเผาจนหมดสิ้นแล้ว ไม่สามารถทนต่อไปได้อีก นางมองไปยังด้านหลังปราดหนึ่ง ยืนยันว่าหนานเค่อไม่ได้ตามมา จึงมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือหลายลี้ แล้วตกลงบนพื้นดิน
นางบินตามเส้นทางของที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลมาโดยตลอด สถานที่ที่ตอนนี้นางตกลงมา แน่นอนว่ายังคงเป็นเส้นขอบของที่ราบทุ่งหญ้า นั่นเป็นพื้นที่เปียกชื้นผืนใหญ่ ในนั้นมีต้นอ้องอกขึ้นมากมาย
ต้นอ้อราวกับเกาะเกาะหนึ่ง ก้านต้นอ้อบริเวณโดยรอบสูงมาก สามารถปิดบังสายตาที่ส่องมาจากนอกเขตแดนได้อย่างพอดี ราวกับเป็นสถานที่หนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
ในท้องฟ้าค่ำคืนของสวนโจวไม่มีดวงดาว ผิวน้ำระหว่างต้นอ้อสะท้อนเส้นแสง มาจากปีกไฟคู่นั้น ราวกับกระจกจำนวนหลายบาน มองดูแล้วสวยงามยิ่งนัก
สวีโหย่วหรงขยับจิตสัมผัสเล็กน้อย เปลวไฟสีเหลืองอร่ามค่อยๆ ดับลง ร่างเดิมของปีกคู่ช่างขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะ
หัวคิ้วของนางขมวดเล็กน้อย แสดงออกถึงความเป็นทุกข์นิดๆ ส่วนลึกนัยน์ตาที่ราวกับสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงคู่นั้นมีพิษเขียวสายหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกกังวลใจ รอบๆ พิษสีเขียวมีดาริกาเพลิงสีทองที่กำลังเผาอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่มืดหม่นอย่างมาก ราวกับมีโอกาสมอดดับได้ตลอดเวลา จากนั้นนางมองไปยังผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นที่ถูกตัวเองช่วยเหลือไว้อีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไม นางรู้สึกว่าคนนี้ดูคุ้นตา แม้สายตามีความพร่ามัวเล็กน้อยจากคุณสมบัติพิษ กระทั่งองคาพยพของคนผู้นี้ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัด เพียงแค่เห็นสีหน้าของเขาขาวซีดอย่างยิ่งได้บ้าง แต่ไม่รู้ทำไม แม้คนนั้นอยู่ในภาวะสลบไสล ยังคงให้ความรู้สึกใกล้ชิดอย่างแนบแน่นกับนางชนิดหนึ่ง
เพราะความรู้สึกเช่นนี้ นางจึงชะงักเล็กน้อย
จากนั้นความเหนื่อยล้าก็โถมเข้ามา
นางนั่งขัดสมาธิลง เริ่มหลับตาปรับลมหายใจ ค่อยๆ ลดปีกที่ขาวบริสุทธิ์ลงมาห่อหุ้มร่างกาย ราวกับผ้าห่มไหมอ่อนนุ่มที่อบอุ่นในจวนขุนพลเทพ
ปีกนกมีเป็นคู่
ปีกนกสีขาวบริสุทธิ์อีกข้างค่อยๆ ตกลง ห่มลงบนตัวของเฉินฉางเซิงอย่างนุ่มนวล