ต่อจากนั้น เสียงนั้นได้ดังขึ้นมาอีกครา
ยังคงเป็นสี่คำ ดวงดาวสี่ดวง ตำแหน่งเดียวกัน
“ซู่ซู ถันเว่ย”
แส้วิรุณโปรยในมือของลั่วลั่ว มุ่งไปยังตำแหน่งเสียงที่ได้ยิน เม็ดฝนและสายลมในความมืดยามราตรีทั้งหมดรวบรวมเป็นเส้นแสงหนึ่งลำ มาจากเจตจำนงของดาบจงซาน รวบรวมเป็นลมฝน ราวกับมองข้ามกาลเวลา แทงเข้าไปยังตำแหน่งที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างแม่นยำ
มีเพียงความมืดมิดยามราตรี ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เมื่อแส้วิรุณโปรยแทงเข้าไป กลับมีโลหิตไหลออกมาพร้อมเสียงร้องที่ทุกข์ทรมานดังขึ้นอีกครา! เสียงร้องที่ตระหนกตกใจและโกรธแค้นไม่เหมือนกับก่อนหน้า ในเสียงร้องที่เจ็บปวดทรมานแฝงไปด้วยความผิดหวังห่อเหี่ยวใจ จนกระทั่งยังมีความหวาดกลัวอยู่เลือนราง
ลั่วลั่วรู้สึกพลังปราณแท้ของตนเองหมุนเวียนในร่างกายอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเส้นลมปราณเหล่านั้นไม่ได้ไหลตามความต้องการในวิชาเพลงกระบี่ ในมือกลับยังคงสามารถกุมด้ามแส้ได้ ขนาดที่ว่ามีพลังมหาศาลมากกว่าเวลาปกติที่ฝึกฝน
นี่ทำให้นางไม่เข้าใจอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่มากกว่าก็คือความยินดี
ในเวลาต่อมา เสียงนั้นไม่ได้หยุด บางคราเอ่ยถึงเคล็ดลับของวิชาเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน บอกนางว่าควรจะออกอาวุธแบบไหน บางคราเอ่ยถึงวิธีการขับเคลื่อนของปราณแท้ แต่ชัดเจนว่าไม่เหมือนกับวิชาเพลงกระบี่ สิ่งที่เอ่ยมากกว่าก็คือดวงดาวในท้องฟ้ายามราตรี
ฟังเสียงนั้น ราวกับว่าลั่วลั่วกลับไปเมื่อยังเป็นเด็ก บิดาอยู่บนก้อนหินที่หน้าผา ชี้เมฆที่ล่องลอยบนท้องฟ้าสอนวิธีการต่อสู้ให้ตนเอง ความรู้สึกของนางยิ่งมายิ่งสงบนิ่ง ยิ่งนานยิ่งเยือกเย็น เดิมทีไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใด พลังจิตหมุนเวียนตามสบาย แส้วิรุณโปรยในมือร้องคำรามออกไป ดังเช่นกระบี่ยาวที่แหลมคมไม่หยุดแทงออกไปยังความมืดยามราตรี!
เปรี้ยงๆ เปรี้ยงๆ มองในท้องฟ้ายามค่ำคืนว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด มีเสียงปะทะดังขึ้นนับไม่ถ้วน คือเสียงแส้วิรุณโปรยที่แข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวฟาดลงบนร่างคน มีผ้าฉีกขาดหลายสิบชิ้นปลิวว่อน ร่วงหล่นลงมายังพื้น ผ้าที่ฉีกขาดเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสีดำ
ฟึ่บๆ ฟึ่บๆ แส้วิรุณโปรยที่กวัดแกว่งอย่างบ้าระห่ำครึ่งท่อนเปื้อนไปด้วยโลหิต มีโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นออกไปยังความมืดยามราตรี กลับมองไม่เห็นคนที่บาดเจ็บ เหมือนกับพู่กันที่ไร้รูปร่างจุ่มลงหมึกที่ฝนจากหินสีดำ กำลังเขียนตัวอักษรแบบหวัด รูปภาพมองดูแล้วแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
หลังจากเสียงร้องที่เจ็บปวดทรมานและโกรธแค้นดังสนั่น ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารในที่สุดก็หมดหนทางที่จะอำพรางร่องรอยการเคลื่อนไหวของตนเอง ล้มลุกคลุกคลานออกมาจากความมืด เท้าทั้งสองสัมผัสกับพื้น กลิ้งไปกับพื้นหลายสิบตลบ ถอยไปถึงริมทะเลสาบถึงจะกล้าหยุด
บนร่างกายของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยแผลของแส้วิรุณโปรยที่แทงออกมา โลหิตไม่หยุดไหลลงมา เสื้อคลุมสีดำแปรเปลี่ยนเป็นเศษผ้านานแล้ว ยุ่งเหยิงคลุมอยู่บนร่างกาย มองแล้วน่าเวทนาจนตรอกอย่างยิ่ง เอาที่ไหนมาพูดว่ายังมีพลังอำนาจเหมือนก่อนหน้านั้น
ความคิดแรกที่ถูกบีบบังคับให้ออกมาจากความมืดก็คือถอยหลัง ออกจากแส้วิรุณโปรยยิ่งไกลยิ่งดี ในขณะที่จนตรอกจึงได้ถอยกลับ ยังคงไม่ลืมดึงศาสตราวิเศษที่ปักอยู่บนสนามหญ้าชิ้นนั้น เพราะว่าเวลานี้เขาถูกตีจนเกือบจะกลายเป็นวิญญาณ
เขาคุกเข่าลงเหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่อยู่ข้างทะเลสาบ มือข้างขวาหยิบของวิเศษมากำบังศีรษะแน่นขนัด เสียงเหมือนกับเครื่องสูบลมที่ชำรุดก็มิปาน แหบแห้งไม่น่าฟังอย่างที่สุด ความรู้สึกข้างในเต็มไปด้วยประหลาดใจโกรธแค้นรวมถึงหวาดกลัว เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่านี่เกิดอะไรขึ้น
“ใคร…เป็นใคร!? ออกมา!”
ได้รับความไว้วางใจจากกุนซือเสื้อคลุมสีดำ แบกรับภารกิจที่สำคัญเช่นนี้ เพราะว่าผู้แกร่งกล้าเผ่ามารผู้นี้เชี่ยวชาญในด้านวิทยายุทธ์รวมทั้งวิชาที่หายสาบสูญไปในเมืองเสวี่ยเหล่า เชี่ยวชาญทางด้านการอำพรางตัวอย่างยิ่ง สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์เป็นระยะเวลายาวนาน ในเวลาเดียวกันเขาก็มีจิตใจที่แข็งแกร่งทรหดที่ยากจะจินตนาการได้ ไม่ใช่เพราะว่าท้อใจเพราะพบเจอกับความพ่ายแพ้เพียงชั่วขณะ แต่ค่ำคืนนี้เกิดเรื่องราวขึ้น ทั้งหมดล้วนแต่เกินระดับที่เขาสามารถจะรับได้ มันใกล้จะทำลายจิตใจที่แน่วแน่ของเขาแล้ว
เพราะว่าเขาเชี่ยวชาญการอำพรางการเคลื่อนไหว ในที่สุดก็ถูกฝ่ายตรงข้ามมองออก! ศัตรูที่ตั้งแต่ต้นตนจนถึงสุดท้ายไม่มีตัวตนผู้นั้น คล้ายกับว่าควบคุมวิทยายุทธ์ของเขา สามารถชี้ขาดทั้งหมดว่าต่อไปเขาปรากฏที่ไหน เช่นนี้จะเป็นไปได้อย่างไร
“ที่จริงแล้วเจ้าเป็นใคร! ออกมาให้ข้าเห็น!”
ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารมองดูบริเวณรอบๆ สำนักฝึกหลวงที่มืดมิด จ้องมองไปยังไฟด้านนอกหอตำราที่มืดสลัว คิดว่าตนเองคล้ายกับลืมอะไรไปบางอย่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยโลหิตไหลออกมาอย่างรุนแรง ความรู้สึกไม่สงบ เสียงสั่นเทารุนแรงอย่างยิ่ง
ลำแสงบนพื้นหญ้าด้านนอกหอตำราแปรเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้นเล็กน้อย เพราะว่าประตูได้เปิดขึ้น
เวลาต่อไปมา ลำแสงรอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดสลัว เพราะว่ามีคนเดินออกมา
หนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่บนขั้นบันไดหิน
เขาสวมใส่ชุดนักพรตเต๋าเก่าคร่ำครึ กุมกระบี่สั้นไว้ในมือ
ใบหน้าของเขามีสีขาวเล็กน้อย ตึงเครียดเล็กน้อย แต่แววตามีความเด็ดเดี่ยวแน่นิ่ง ไม่มีความหมายว่าจะถดถอย
เฉินฉางเซิงอยู่ในหอตำรามาตลอด
ค่ำคืนสองสามวันนี้ เขาก็อยู่ในหอตำรา
เขากำลังดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูก
เหตุที่เขาตื่นจากสภาวะการนั่งสมาธิใคร่ครวญ ไม่ใช่เพราะว่าการต่อสู้ที่ดุเดือดด้านนอกหอตำรา แต่เป็นเพราะว่าผู้แกร่งกล้าเผ่ามารใช้ศาสตราวิเศษชิ้นนั้น ทำให้ก่อเกิดเป็นการรบกวนอย่างหนึ่งต่อแสงดาวที่ส่องลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี
เขาเดินไปยังริมหน้าต่าง ถึงจะพบกับการสู้รบดุเดือดที่ดำเนินอยู่ใต้ความมืดยามค่ำคืนของสำนักฝึกหลวง เขาไม่รู้ว่าหญิงสาวนางนั้นคือผู้ใด แต่มองเห็นเขามารของบุรุษผู้นั้น ดังนั้นจึงเข้าใจว่าตนเองควรจะยืนอยู่ฝ่ายไหน
หลังจากนั้น บุรุษเผ่ามารหายไปในความมืดมิด
แส้ยาวในมือของหญิงสาวผู้นั้น ค่อยๆ เรียกสายลมสายฝนที่เต็มท้องฟ้าอย่างไร้เสียง
เมื่อแรกเริ่มเขาคิดว่าตนเองเดิมทีไม่มีความสามารถที่จะช่วยหญิงสาวผู้นั้น เพราะว่าตนเองแม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ แต่หญิงสาวผู้นั้นกับบุรุษเผ่ามารชัดเจนว่าล้วนแต่เป็นคนที่เก่งกาจ
เขายืนอยู่ในมุมของขอบหน้าต่าง แอบมองการต่อสู้ ให้กำลังใจหญิงสาวผู้นั้น ไม่ได้เปล่งเสียงใดๆ เพราะว่าเขาไม่อยากเป็นสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของการต่อสู้ครานี้ ไม่อยากทำให้การปรากฏตัวของเขา เบี่ยงเบนความสนใจของหญิงสาว
เผ่ามารคงไม่ได้ใส่ใจความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดา แต่หญิงสาวผู้นั้นคงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้เป็นความละเอียดเช่นนี้ เขาก็จะไม่ผิดพลาด เขาเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบคนหนึ่ง
แต่ในเวลาต่อมา เขาพลันพบกับความตกตะลึง คล้ายกับว่าตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงการต่อสู้ครานี้ได้จริงๆ
แส้ยาวที่หญิงสาวผู้นั้นถืออยู่ชัดเจนว่าไม่ใช่ของธรรมดา แต่เมื่อใช้กลับไม่ใช่วิชาแส้ แต่คือวิชาเพลงกระบี่
เพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน
อยู่ในวัดเก่าที่ซีหนิง เฉินฉางเซิงเคยอ่านเพลงดาบชุดนี้มาแล้ว เขาจดจำได้อย่างชัดเจน บันทึกอยู่ในคัมภีร์อวี้หัวม้วนที่สี่
แน่นอน วิชาเพลงกระบี่เหล่านั้นเป็นรูปแบบข้อโต้เถียงที่มีอยู่ในบรรดานักพรตเต๋าผู้มีสติปัญญา จนกระทั่งมาถึงไม่กี่วันมานี้ เขาพบตำราที่สอดคล้องกันในหอตำรา ถึงจะเข้าใจว่าแต่ไหนแต่ไรมาประโยคเหล่านั้นคือวิธีเคลื่อนไหวพลังปราณแท้รวมทั้งวิธีการเรียกชื่อที่ยอดเยี่ยม
เพลงดาบชุดนี้ เขาสามารถท่องจากข้างหลังมาข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว บวกกับไม่กี่วันที่ได้ศึกษาใหม่อีกครา จึงสามารถมองออกว่าหญิงสาวกำลังเคลื่อนไหวด้วยแส้ที่ซ่อนเร้นเพลงกระบี่ มีเพียงลมฝนแห่งเขาจงซานที่โปรยลงมาเท่านั้นที่ไม่ก่อให้เกิดความหนาวเหน็บ แต่เห็นชัดว่าวิธีการเคลื่อนพลังปราณแท้ของนางมีปัญหาบางอย่าง มิเช่นนั้นคงราบรื่นสละสลวย
ใช่แล้ว ในร่างกายของเขาไม่มีพลังปราณแท้สักหยด แต่เขาได้ศึกษาวิธีการขับเคลื่อนพลังปราณแท้เรียบร้อยแล้ว
สองสามวันนี้นำความรู้การบำเพ็ญเพียรในสมองมาเปรียบเทียบความแตกต่างอยู่ในหอตำรา เขาลองเดินทะลวงขีดจำกัดของเส้นพลังปราณเพื่อมาขับเคลื่อนพลังปราณแท้ เพราะว่าทำมาแล้วหลากหลายวิธีจึงพบว่า
เส้นพลังลมปราณเก้าขั้นของเขาไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้
ถ้าหากเขาปรารถนาจะบำเพ็ญเพียร ก็จะต้องหาวิธีใหม่ทั้งหมด
เขาไม่รู้ว่าวิธีการนี้จะใช้ได้หรือไม่ สามารถที่จะควบคุมเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานได้หรือไม่ เพราะว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณแท้ แต่เวลานั้นหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นบาดเจ็บทั่วกาย มองแล้วก็คงจะต้องเสียชีวิต เขาคงจะต้องเดิมพันสักตาหนึ่ง หวังว่าจะสามารถช่วยฝ่ายตรงข้ามได้
ก็คือประโยคนั้น
‘สะท้อนดวงดาว พลังปราณตามปรารถนา ข้อมือขึ้นสู่ไหล่ รวบรวมลมฝน’
โชคดีก็คือ เมื่อหญิงสาวแสดงเพลงกระบี่ลมฝนจงซานได้พบกับปัญหาการขับเคลื่อนปราณแท้ คล้ายกับสภาวะของเขาอย่างยิ่ง
โชคดียิ่งกว่านั้นก็คือ นางไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นใคร กลับฟังความคิดของเขาจากจิตใต้สำนึก
ความโชคดีที่แท้จริงก็คือ เฉินฉางเซิงคาดการณ์เช่นนั้น ทว่ากลับประสบความสำเร็จกับร่างกายของนาง
กระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน ในที่สุดก็ได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงอย่างเต็มที่
“แต่ว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่ไหน”
ริมทะเลสาบ บุรุษเผ่ามารที่มีโลหิตท่วมกายจ้องเขม็งมาที่เฉินฉางเซิง เอ่ยด้วยความโกรธแค้นและผิดหวังห่อเหี่ยว
แส้วิรุณโปรยอานุภาพน่าตกตะลึง โดยเฉพาะหลังจากหญิงสาวได้รับการชี้แนะจากเฉินฉางเซิง หลังจากสามารถแสดงออกถึงพลังแท้จริงของกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานได้ เช่นนั้นเพียงแค่สามารถหาตำแหน่งผู้แกร่งกล้าเผ่ามารพบ ก็สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
ปัญหาก็คือ เพราะเหตุใดเพียงแค่ประโยคเดียวเฉินฉางเซิงสามารถทำลายการเคลื่อนไหวของเขาได้
“หิมะเหนือ ก้าวดอกเหมย สามพันกว่าทิศทาง เหล่านี้ล้วนแต่ต้องท่องจำ”
เฉินฉางเซิงเดินไปข้างๆ หญิงสาวผู้นั้น ตั้งกระบี่กับหน้าอก มองไปยังผู้แกร่งกล้าเผ่ามารที่อยู่ไกลออกไป สีหน้าระมัดระวัง กลับเอื้อนเอ่ยวาจาตามสบาย “เมื่อก่อนข้าไม่รู้ว่านี่คือย่างก้าวหยั่งเทวา แต่ข้าเคยท่องจำ”
ใช่แล้ว นี่เป็นวิชาที่ลึกลับของเผ่ามาร
ย่างก้าวหยั่งเทวา
อาศัยวิชาย่างก้าวชนิดนี้ สามารถไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ สามารถหยิบยืมความลับของลมหิมะที่ซ่อนอยู่ในกระบวนท่า อำพรางตำแหน่งของตนเอง
ถึงแม้จะอยู่ในเผ่ามาร กระบวนท่านี้ก็เป็นความลับไม่เผยแพร่
แต่เมื่อเฉินฉางเซิงยังเยาว์วัย ล้วนแต่ท่องจำสามพันกว่าทิศทางและการเรียงลำดับได้จนหมด
เวลานั้น เขาคิดว่าตนเองได้อ่านนิยายเกี่ยวกับการศึกษาเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘บันทึกควันลุ่มหลงจิงหัว’ จนกระทั่งแปดวันก่อน เขาได้อ่านสิ่งที่คนรุ่นก่อนของนิกายหลวงได้บันทึกเกี่ยวกับการต่อสู้กับเผ่ามาร นำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ถึงจะเข้าใจว่านิยายเล่มนั้น ที่จริงแล้วคือตำราเก็บรวบรวมวิชา
“ดังนั้นเจ้ากำลังโกหก เจ้าไม่ใช่คนโม๋เหอ เจ้ามิได้แซ่โม๋เหอ”
เฉินฉางเซิงจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มเผ่ามารกล่าวออกมาด้วยความเคร่งขรึม “เจ้าคือเผ่าเยียซื่อ แซ่ของเจ้าคือเยียซื่อ”
ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารผู้นั้นตะลึงงัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดไม่น่าดูยิ่งขึ้น
เขาไม่ได้คิดเรื่องราวมากมาย
เดิมทีเขาคิดว่าหนุ่มน้อยที่อยู่ในหอตำรา ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ กับแผนการในค่ำคืนนี้ เพราะว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ คิดไม่ถึง หนุ่มน้อยคนนั้นเกือบจะทำลายแผนการของท่านกุนซือได้
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ เหมือนหนุ่มน้อยจะใส่ใจในคำโกหกที่ไม่ได้เกี่ยวกับการต่อสู้ของตนมากกว่า
ทำให้เขากลัดกลุ้ม อึดอัดอย่างยิ่ง
หลังจากนั้น เขาเริ่มรู้สึกเศร้าสลดขึ้นมา กล่าวพึมพำออกไป “ท่านกุนซือแท้จริงแล้วมีสติปัญญาที่มิมีผู้ใดเปรียบ เขาคาดคะเนว่าข้าไม่อยากเสียชีวิต อยากจะใช้ศาสตราศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองตนเองหนีออกไป…ด้วยเหตุนี้ เขาวางแผนให้เจ้าคนประหลาดผู้นี้ปรากฏตัวออกมา”