เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจความหมายของเขาอย่างยิ่ง จึงขยับไปยังหญิงสาว พยายามให้ตนเองบังนางเอาไว้ด้านหลังอย่างเต็มที่
ใบหน้าของบุรุษเผ่ามารเศร้าสลด เอ่ยต่อ “เพราะการปรากฏตัวของเจ้า ข้าจึงหมดหนทางที่จะสังหารนาง ทำได้เพียงใช้ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นข้าก็จะได้ตายไปพร้อมกัน นี่คือความตั้งใจของใต้เท้ากุนซือ ผู้ใดก็มิอาจต้านทานได้”
เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่สงบ มือที่กุมด้ามกระบี่กุมให้แน่นยิ่งขึ้น
บุรุษเผ่ามารยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงกล่าวออกมาจากใจ “เจ้าหนุ่ม ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือใคร แต่ข้าคิดว่าภายภาคหน้าเจ้าจะต้องเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายค่ำคืนนี้เจ้าจะต้องเสียชีวิตพร้อมกับข้าเสียแล้ว”
กล่าวประโยคนี้จบ เขาชูอาวุธที่ทำจากเหล็กในมือขึ้น กลิ่นอายที่น่าเกรงกลัวอย่างยิ่งสายหนึ่งแผ่ลงมาจากฟากฟ้า แผ่นเหล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน ปลิวว่อนมาจากความมืด ม่านกั้นระหว่างโลกภายนอกที่ไร้รูปร่างเลือนหายไปเหลือเพียงพื้นที่ว่างเปล่า
ตาข่ายยักษ์สีดำดุจภูเขาผืนหนึ่งกำลังร่วงหล่นลงมายังสำนักฝึกหลวง
“ตาข่ายควัน” สีหน้าของลั่วลั่วขาวซีด เอ่ยพึมพำออกไป
ตาข่ายควันอยู่ในอันดับสิบเก้าของการจัดลำดับร้อยศาสตรา
ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามาร
เล่าขานกันว่าจักรพรรดิเผ่ามารรุ่นแรกเมื่อต้องการล่าสัตว์จะใช้เป็นตาข่ายล่าสัตว์
เมื่อร่วงหล่นลงมา ฟ้าดินถูกปิดล้อม
ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายได้
อาวุธของเทพและปีศาจที่เลื่องลือเหล่านั้นไม่อาจทำลายได้
กล่าวกันตามเหตุผล อาวุธเผ่ามารที่แกร่งกล้าเช่นนี้ ควรจะอยู่ลำดับด้านหน้ากว่านี้อีกในการจัดลำดับร้อยศาสตรา อย่างน้อยที่สุดควรจะอยู่หลังจากแส้วิรุณโปรย แต่เพราะว่าผู้จัดทำลำดับร้อยศาสตราคือหอความลับสวรรค์ที่เป็นเผ่ามนุษย์ จึงเลี่ยงไม่ได้หากจะถูกสกัดกั้นไปบ้าง สาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพราะว่าตาข่ายควันเคยได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงมาแล้ว
ตามที่เล่าขานกันมายาวนาน ตาข่ายควันชื่อที่แท้จริงควรจะชื่อตาข่ายตรอก แต่กลับถูกผู้แกร่งกล้าซึ่งมีกำลังความสามารถแข็งแกร่งจนถึงระดับที่ยากจะจินตนาการผู้หนึ่งสร้างขึ้นมาใหม่ ไม่ให้ซ้ำกับในมือของจักรพรรดิเผ่ามารรุ่นแรกที่ได้ทำขึ้นมาชิ้นแรก ดังนั้นจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นตาข่ายควัน
ถ้าหากยังคงเป็นตาข่ายตรอกที่สมบูรณ์ เพียงหนึ่งวันที่ได้เปิดใช้ ก็สามารถทำให้คนที่อยู่ใต้ตาข่ายแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ตาข่ายควันได้รับความเสียหายรุนแรง แต่ยังคงสามารถตัดขาดจากโลกภายนอกได้เช่นกัน หากนำมาใช้ในการโจมตีจะต้องใช้โลหิตและชีวิตของผู้ครอบครองทั้งหมดเป็นเครื่องสังเวย!
คงจะเป็นสาเหตุที่บุรุษเผ่ามารไม่ยินยอมใช้อาวุธนี้โจมตีตั้งแต่แรกเริ่ม จนกระทั่งเฉินฉางเซิงใช้หนึ่งประโยคปลุกลมฝน ร่างกายของเขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส รู้ว่าไม่สามารถทำให้ลั่วลั่วได้รับความบาดเจ็บจนเสียชีวิตได้ จึงจำใจใช้อาวุธชิ้นนี้
ถูกบีบบังคับให้ถึงแก่ความตาย เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกโศกเศร้า
มองไปยังตาข่ายสีดำที่ร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน ลั่วลั่วตื่นตระหนกอย่างยิ่ง สีหน้าขาวซีด นางรู้ว่าตาข่ายผืนนี้คือสิ่งใด รู้ว่าถึงแม้ตาข่ายควันอานุภาพไม่เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมายาวนาน แต่คนธรรมดาก็ไม่สามารถต้านทานได้
แส้วิรุณโปรยของลั่วลั่วหมดหนทางที่จะต้านทานเป็นแน่
หอกน้ำค้างเทพในตำนานสามารถทำลายได้ แต่ว่าหอกเทพอยู่ในพระราชวัง ผู้ใดจะสามารถเอามาได้
นางแหงนมองไปยังตาข่ายสีดำที่อยู่ในความมืดยามค่ำคืน แทงแส้วิรุณโปรยในมือของนางเข้าไปราวกับสายฟ้าฟาด อีกทั้งยังพาเสียงคำรามลมฝนเข้าไปด้วย
ได้ยินเพียงแค่เสียงทุกข์ใจเสียงหนึ่ง
แส้วิรุณโปรยเป็นราวกับอสรพิษที่ถูกอสนีบาต กระดูกแตกหักเป็นท่อนๆ จำนวนนับไม่ถ้วน หวนกลับมาอย่างสิ้นหวัง
พลังที่น่ากลัวยากจะคาดคิดสายหนึ่งไหลมาตามด้ามของแส้ส่งผ่านมายังร่างกายน้อยๆ ของนาง
เสียงกระอักโลหิตดังขึ้นมา นางพ่นโลหิตออกมาจากปากไปทางด้านหลัง
การสู้รบที่ยากลำบากในค่ำคืนนี้ หากกล่าวต่อหญิงสาวอายุสิบสี่ปีเป็นการใช้กำลังที่หมดไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้นางหมดหนทางที่จะประคับประคองเสียแล้ว ตรงหน้ามองเห็นความมืดมัวเลือนรางทั้งผืน นางใกล้จะสลบสิ้นสติ ภาพสุดท้ายที่มองเห็นก็คือ
หนุ่มน้อยผู้นั้นชักกระบี่สั้นออกมา แทงไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด
กระบี่เล่มนั้นมืดสลัวๆ ธรรมดาอย่างยิ่งและยังสั้นอีกด้วย
หนุ่มน้อยชูมือขึ้นสูงยิ่งนัก มุ่งไปยังตาข่ายยักษ์สีดำราวกับท้องฟ้าทั้งผืน
การกระทำของเขาโง่เขลาเล็กน้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าเสียใจ
เพราะว่าระยะห่างไกลอย่างยิ่ง เป็นการกระทำที่ไม่เจียมตัว จึงทำให้คนรู้สึกผิดหวัง
เหมือนกับตั๊กแตนตำข้าวที่อยากขวางทางรถม้าที่กำลังห้อตะบึง เหมือนกับไข่นกใบหนึ่งร่วงหล่นลงจากแท่นกานลู่กระแทกกับพื้นแข็ง
ลั่วลั่วเสียใจอย่างยิ่ง ขออภัยอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่เป็นเพราะตน เขาคงจะไม่เสียชีวิต
หลังจากนั้น นางพลันสลบไป
เสียงฟึ่บดังเสียงหนึ่ง
มองแล้วเหมือนตาข่ายยักษ์สีดำแข็งแกร่งยากจะทำลายได้ พลันฉีกออกจากตรงกลางเปลี่ยนเป็นรอยขาดขนาดใหญ่ ลมยามค่ำคืนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกมาเป็นระยะเวลานาน กระหน่ำลงมายังตรงกลางตาข่าย สิ่งที่มาถึงคือแสงดาวที่แท้จริง ราวกับน้ำตกที่ไหลลงมาก็มิปาน
แสงดวงดาวในส่วนลึกทั่วท้องฟ้าพลันปรากฏก้อนเมฆที่ลุกไหม้โชติช่วงกลุ่มหนึ่ง เมฆสีแดงกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าปรากฏออกมาเมื่อใด เพียงชั่วพริบตาก็ร่วงลงมาตรงกลางของสำนักฝึกหลวง ต้นหญ้าที่อยู่บนสนามหญ้าไหม้เกรียมเล็กน้อย ใบอ่อนของต้นไหวแห้งเหี่ยวม้วนงอ อุณหภูมิกลางลานเพิ่มสูงขึ้น
นั่นคือกิเลนเมฆแดงตัวหนึ่ง!
เท้าหน้าของกิเลนเมฆแดงเหยียบย่ำบนหน้าอกของผู้แกร่งกล้าเผ่ามารผู้นั้นซ้ำไปซ้ำมา ได้ยินเพียงเสียงกร๊อบๆ ดังขึ้น กระดูกหน้าอกของผู้แกร่งกล้าเผ่ามารแตกละเอียดหมดสิ้น โลหิตสดๆ พุ่งออกมาอย่างรุนแรง ร่างกายตกลงไปในพื้นหญ้า มือขวายังคงจับอาวุธนั้นแนบแน่น
ได้ยินเสียง ฟิ้ว ฟิ้ว ดังขึ้นต่อมา
ลำแสงกระบี่ที่เผาไหม้รุนแรงสายหนึ่งส่องแสงหยอกล้อกับท้องฟ้ายามราตรีของสำนักฝึกหลวง
แขนขวาของผู้แข็งแกร่งเผ่ามารขาดสะบั้นปลิวไปยังฟากฟ้าพร้อมกับโลหิตพุ่งกระจาย ร่วงหล่นลงในทะเลสาบที่ห่างไกลออกไป
บนหลังของกิเลนเมฆแดงคือบุรุษวัยกลางคน มีเกราะกำบังทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังเป็นสีแดงเข้ม อารมณ์เคร่งขรึม มองดังผู้ที่อยู่สูงกว่าจ้องมองผู้คนเหล่านี้
ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารกะพริบตาเพื่อขับไล่ความรู้สึกสิ้นหวัง กล่าวพึมพำ “ที่แท้คือเจ้า มิน่าเล่าสามารถทำลายตาข่ายควัน…”
ขุนพลเทพของทัพอวี้เทียนแห่งต้าโจวเซวียสิ่งชวน ขี่กิเลนเมฆแดง ถือกระบี่เทวาส่องแสงสีโลหิต!
เขาได้รับความไว้วางใจจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ควบคุมทหารรักษาพระราชวังต้าโจวมานานหลายปี
ขุนพลเทพทั้งสามสิบแปดคนแห่งต้าลู่ เขาอยู่อันดับที่สอง!
“เยียซื่อถันลวี่ เจ้าหลบซ่อนอยู่ในเมืองจิงตูดังคาด”
เซวียสิ่งชวน จ้องมองคนที่เต็มไปด้วยโลหิตอยู่ใต้เท้าของสัตว์พาหนะผู้นั้น ใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “แน่นอน เจ้าไม่มีคุณสมบัติให้ข้าตามหาเป็นเวลานาน แต่ข้าอยากรู้อย่างยิ่ง หลังจากถูกส่งเข้าไปในกรมอาญา จะยังไม่เอ่ยที่อยู่ของเสื้อคลุมชุดดำผู้นั้นได้หรือไม่”
บุรุษเผ่ามารผู้นั้นที่แท้ก็มีนามว่าเยียซื่อถันลวี่ เดิมทีเขาสิ้นหวังไปแล้ว ฟังประโยคนี้ถึงรู้ว่าเผ่ามนุษย์ได้เตรียมการเสาะหาใต้เท้ากุนซือจากตัวเขามาตลอด ความสิ้นหวังยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก เมื่อเขาพบว่าตนเองแม้แต่การฆ่าตัวตายยังทำไม่ได้ จึงทำให้สิ้นหวังอย่างยิ่ง
อะไรคือผู้แกร่งกล้าอย่างแท้จริง เซวียสิ่งชวนก็คือผู้แกร่งกล้าที่แท้จริง!
อยู่ตรงหน้าเขา เจ้าอยากจะเสียชีวิตยังมิอาจทำได้!
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ในสำนักฝึกหลวงมีเสียงดังทะลุออกมาจากท้องฟ้านับไม่ถ้วน ในท้องฟ้ายังสามารถมองเห็นรถม้าบินที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว
การสู้รบครั้งนี้เกิดเหตุใกล้กับพระราชวังอย่างยิ่ง เมื่อตาข่ายควันถูกทำลาย เป็นธรรมดาที่จะทำให้ผู้คนแตกตื่นเป็นจำนวนมาก
เซวียสิ่งชวน ผู้แกร่งกล้าระดับนี้มาถึงก่อนผู้อื่น ทหารรักษาพระราชวังที่เหลือรวมถึงผู้มีฝีมือในพระราชวังก็ทยอยตามกันมา
ในความมืดยามราตรีมีเงาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนข้ามกำแพงมา พบว่าผู้คนเหล่านั้นกำลังมองภาพในสนามต่อสู้ ตกตะลึงอย่างยิ่ง เดิมทีไม่ได้ใส่ใจบุรุษเผ่ามารที่เซวียสิ่งชวนจับกุมอยู่ วิ่งห้อตรงไปยังด้านหน้าของลั่วลั่ว พานางออกมาอย่างรวดเร็ว
เซวียสิ่งชวน รู้ฐานะของคนเหล่านั้นจึงมิได้ขัดขวาง สามารถเสาะหาเยียซื่อที่เชี่ยวชาญในการหลบซ่อนอยู่ที่จิงตูพบและยังสามารถจับเป็นได้อีกด้วย เช่นนี้อาจจะสามารถเข้าใกล้กุนซือเผ่ามารลึกลับผู้นั้นได้ นี่ทำให้เขาพึงพอใจยิ่งนัก
ติดเพียงแค่วาจาก่อนที่เยียซื่อถันลวี่จะสลบไสลไปประโยคนั้น…
เซวียสิ่งชวนขมวดคิ้วขึ้น เขาชัดเจนยิ่งนัก เมื่อตนได้มาถึง ตาข่ายควันผืนนั้นได้แตกสลายไปแล้ว
มีทหารรักษาพระราชวังใช้มัดข้อมือบุรุษเผ่ามารผู้นั้น ลากเข้าไปในท่ามกลางความมืดยามค่ำคืน รอคอยผลลัพธ์ที่น่าเวทนาอย่างยิ่งของคนผู้นี้
กิเลนเมฆแดงย่ำเท้าช้าๆ หันกายออกไป
เขามองไปยังหนุ่มน้อยที่อยู่ไม่ไกลผู้นั้น ใบหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร”
เฉินฉางเซิงยังคงจับด้ามกระบี่สั้นแนบแน่น ยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้างว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อฟังประโยคนี้ เขาถึงตื่นจากภวังค์ นำกระบี่สั้นเก็บเข้าไปในฝัก กล่าวว่า “ข้าคือนักเรียนของที่นี่”
เซวียสิ่งชวนท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยที่ไม่สะดุดตาผู้นี้คือนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงที่ถูกเล่าขานผู้นั้น
เขามองแวบหนึ่งก็รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้เป็นมนุษย์ธรรมดา กระบี่เล่มนั้นก็ธรรมดาอย่างยิ่ง ค่ำคืนนี้คงจะเป็นการรับเคราะห์ภัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเสียแล้ว
สำหรับหนุ่มน้อยผู้นี้นึกไม่ถึงว่าจะยังกล้าถือกระบี่สั้นขึ้นมา ขวางกั้นอยู่ด้านหน้าของบุรุษเผ่ามารผู้นั้น เขารู้สึกชื่นชมเขาไม่เบา แต่ก็คงจะชื่นชมได้แค่นี้ ไม่มีผู้ใดเต็มใจที่จะสนใจสำนักฝึกหลวงซึ่งเป็นสถานที่เคยถูกด่าทอ แม้แต่เขาก็ไม่อยากสนใจ
มีคนเข้ามาตรวจสอบฐานะของเฉินฉางเซิง
กิเลนเมฆแดงเหยียบเท้าก้าวขึ้นไป เหยียบบนก้อนเมฆทะยานออกไป และหายไปทางพระราชวังในเวลาไม่นาน
เฉินฉางเซิงกำลังถือสมุดรายชื่อเพื่อทำความเข้าใจ แหงนศีรษะมองแวบหนึ่ง
เช้าตรู่วันต่อมา เวลาเช้ามาก ลั่วลั่วตื่นขึ้นมา ร่างกายของนางเดิมทีไม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อคืนวานสิ่งสำคัญก็คือสูญเสียพลังไปค่อนข้างมาก ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าอย่างไรกำลังวังชาได้ฟื้นคืนเป็นดังเดิมนานแล้ว
แต่ว่านางไม่ได้ลุกจากเตียงทันที นางเบิกตากลมโต จ้องมองลายปักวิจิตรงดงามบนผ้าม่านของเตียงนอน ครุ่นคิดสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนางสลบไป ภาพที่ตนได้มองเห็นตอนสุดท้ายนั่น ทำให้รู้ตะลึงงันเล็กน้อย
ตาข่ายยักษ์สีดำได้ร่วงหล่นลงมา ราวกับว่าฟ้ากำลังถล่มมิปาน
เมื่อนางคิดว่าในเวลาต่อมาตนจะต้องเสียชีวิตไป นางมองเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นยืนอยู่ด้านหน้าของตน ถือกระบี่ขึ้นมาแล้วเดินออกไป
เมื่อก่อนบิดามักจะกล่าวว่า เมื่อฟ้าถล่มก็จะมีร่างกายที่สูงใหญ่ค้ำยันแทนเจ้า ประโยคนี้ทำให้นางไม่ยินดี เพราะว่านางคิดว่าบิดาหยอกล้อที่ตนตัวเตี้ย แต่ตอนนี้อยู่ๆ นางยินดีที่ตนเองเติบโตมีร่างกายเล็กกะทัดรัด
หนุ่มน้อยผู้นั้นแท้จริงแล้วไม่ได้สูงมาก แต่สูงกว่านาง
ดังนั้นเมื่อท้องฟ้าถล่มลงมา เขาบดบังแทนนาง
ลั่วลั่วไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด รู้สึกดีใจยิ่งนัก หัวเราะ ฮ่าๆ ออกมา
หลังจากนั้นนึกบางอย่างออก ยันกายขึ้น ร้องเรียก “คนล่ะ”
ผู้คนในเผ่านางสิบกว่าคนได้ยินเสียงดังขึ้นจึงรีบมา มีท่าทางดุจเปลวเพลิง
นางกล่าวถามด้วยความไม่สงบ “เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ผู้ที่จะสามารถปรนนิบัติใกล้ชิดนางได้ ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษ ล้วนแต่เป็นบุคคลที่จะต้องฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังประโยคนี้ ก็รู้ว่านางถามถึงคือผู้ใด มีคนเอ่ยรายงาน “ท่านขุนพลเทพเซวียสิ่งชวน เมื่อคืนวานมาทันเวลาพอดี หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใดเพคะ”
ลั่วลั่วตบอกตนเอง เสียใจเล็กน้อย
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
นางพลิกกายตื่นนอน เอ่ยว่า “ข้าจะไปดูเขาเสียหน่อย”
คนของนางเหล่านั้นจ้องมองกันแวบหนึ่ง จึงคุกเข่าลงพร้อมกัน มีบางคนถึงขนาดเบ้าตาแดงก่ำ
ลั่วลั่วตื่นจากภวังค์ กล่าวออกไปด้วยความรู้สึกอยากขอโทษ “ข้าขอโทษ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคืนอีกแล้ว”
บรรดาคนของนางรู้สึกโล่งอกเหลือเกิน องค์หญิงน้อยในที่สุดจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือ
“แต่ข้าอยากไปดูเขาจริงๆ”
ลั่วลั่วจ้องมองบรรดาคนของนางเอ่ยด้วยความจริงจัง “เขาเป็นคนสำคัญสำหรับข้า”
ฟังประโยคนี้จบ ในห้องพลันแปรเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ
คิดไปถึงเรื่องเมื่อคืนที่องค์หญิงน้อยแอบออกไปจากสวนร้อยหญ้า สุดท้ายแล้วเผ่ามารมีโอกาสลอบทำร้าย ก็เป็นเพราะว่าดึกดื่นค่ำคืนอยากไปพบหนุ่มน้อยคนนั้น…
บรรดาคนของนางรู้สึกตื่นตระหนกเหลือเกิน องค์หญิงน้อยในที่สุดจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือ