นับตั้งแต่อาจารย์เก็บเขามาจากริมแม่น้ำเล็กๆ ประโยคที่เฉินฉางเซิงได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ
โชคชะตาของเจ้าไม่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนอายุสิบปีหลังจากที่ร่างกายของเขาส่งกลิ่นหอมแปลกๆ ออกมา ประโยคนั้นก็เป็นการอธิบายได้เป็นอย่างดี อยู่ในใจของเขาตั้งแต่ต้นจนจบ
ถ้าหากอยากเปลี่ยนแปลงโชคชะตาที่ไม่ดี มีเพียงแค่สองวิธี วิธีแรกคือต้องฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นอำพรางเทพ ไม่ดำรงอยู่ในวัฏจักรชีวิต
แต่ว่าขั้นอำพรางเทพมีอยู่แค่ในตำนานเท่านั้น
แม้แต่โจวตู๋ฟูผู้ที่ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ได้ผู้นั้นอยู่ขั้นอำพรางเทพหรือไม่ ล้วนยังเป็นข้อสงสัย
วิธีที่สองก็คือพลิกฟ้าเปลี่ยนโชคชะตา ในตำนาน เวลาเดียวกันอาจารย์ก็เคยบอกเขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มราชวงศ์ต้าโจว มีเพียงสามครั้งที่พลิกฟ้าเปลี่ยนโชคชะตาสำเร็จ บุคคลทั้งสามล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดบนโลกใบนี้ และก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีผู้ใดต่อกรได้ เขาเป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดาที่ตัวเล็กนิดเดียว แล้วจะทำได้อย่างไร
ถ้าหากว่าทำไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำให้ได้ ดังนั้นจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ เขาจะต้องสอบได้อันดับแรก เช่นนี้ถึงจะมีโอกาสเข้าไปในหอหลิงเยียนที่ห้ามมิให้ผู้ใดเข้า ไปดูรูปวาดของพวกเขา ดูว่าพวกเขาได้ทิ้งสิ่งใดไว้บ้าง
รูปภาพของขุนนางผู้ที่ทำคุณูปการทั้งยี่สิบสี่ท่านได้ถวายให้หอหลิงเยียนในระหว่างปีไท่จง หลังจากนั้นก็มีรูปเหมือนของขุนนางที่ทำคุณูปการท่านอื่นไว้ที่สถานที่แห่งนี้มาเรื่อยๆ แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ ก็คือยี่สิบสี่รูปแรก ในยี่สิบสี่รูปอาจจะซ่อนหลักฐานและเบาะแสความสำเร็จในการพลิกฟ้าเปลี่ยนโชคชะตาของราชวงศ์ต้าโจว
เฉินฉางเซิงตื่นจากภวังค์ ดึงสายตาจากพระราชวังกลับมาที่ในลาน หันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนพื้นผู้นั้น
เขาชื่นชอบเด็กสาวผู้นี้อย่างยิ่ง แต่ว่าไม่สามารถรับนางเป็นศิษย์ได้ หญิงสาวพักอยู่ที่สวนร้อยหญ้า คืนก่อนถูกเผ่ามารลักลอบสังหาร ฐานะคงจะไม่ธรรมดา มากสุดก็อาจจะเป็นลูกหลานของเชื้อพระวงศ์ที่ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เนรเทศออกนอกเมือง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จึงรับกลับมาอย่างลับๆ อีกครั้ง บุคคลเช่นนี้ใครจะสามารถยั่วยุให้เกิดเรื่องได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขาไม่อยากแนะนำสิ่งที่ผิดพลาด
“ข้าจะไปล้างหน้าล้างตา หลังจากนั้นจะพักผ่อนเสียหน่อย เจ้ากลับบ้านไปก่อนเถอะ ไม่ต้องตามข้ามาแล้ว”
เมื่อเฉินฉางเซิงเอ่ย เขาตั้งใจทำให้น้ำเสียงกับอารมณ์ที่แสดงออกมาเย็นชายิ่งขึ้น ไม่รอให้หญิงสาวปฏิเสธจึงออกจากหอตำราไป
เขาเพียงคาดหวังให้หญิงสาวรู้ว่าเป็นเรื่องที่ยากแล้วถอยกลับไปเอง เมื่อยามค่ำคืนมาถึง เขากลับไปหอตำรา เห็นว่าหญิงสาวไม่อยู่จึงรู้สึกผ่อนคลายลงมา เริ่มดึงดูดแสงดวงดาวชำระล้างร่างกายต่อไป ในสภาวะที่ครุ่นคิดอย่างหนักไม่รู้สึกว่าเวลายามเช้าตรู่ได้มาเยือน เวลาหนึ่งค่ำคืนได้ผ่านพ้นไป
แสงดวงดาวที่สว่างไสวทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นเข้าสู่ร่างกายของเขา เขายังคงไม่รู้ถึงสิ่งนี้ รู้เพียงแค่ว่าผิวหนัง เส้นขน และเส้นผมยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น การชำระล้างกระดูกไม่มีสิ่งใดคืบหน้า เพียงแต่ว่าเขาคุ้นเคยกับสิ่งนี้แล้ว เพียงแค่ว่าเมื่อลืมตาขึ้นรู้สึกไม่เคยชินกับไหล่ขวาที่ว่างเปล่า
เขาเงียบนิ่งชั่วครู่ ออกจากหอตำรากลับไปชำระร่างกายที่อาคารหลังเล็กๆ
น้ำร้อนในถังไม้มีไอน้ำกระจายออกมา ล่องลอยขึ้นช้าๆ ไปตามไม้เลื้อยที่อยู่บนกำแพง หลังจากนั้นถูกตัดให้เป็นควันเส้นเล็กๆ นับไม่ถ้วน เขาแช่ตัวในน้ำร้อนหลับตาพิงผนังถังไม้รู้สึกอ่อนล้า รุ่งอรุณของสำนักฝึกหลวงก็เงียบเหงาเช่นนี้ เขารู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ลืมตาตื่นขึ้น พบว่าไหล่ขวาขาดอะไรไปบางสิ่ง
ไม่มีเสียงที่ไพเราะน่าฟัง ไม่มีผู้ใดกอดแขนเขาด้วยความอาลัยอาวรณ์
เพียงแต่ว่าเวลาหลายวันมานี้ เขาคุ้นเคยกับการมีอยู่ของหญิงสาวผู้นั้น คิดมาถึงตรงนี้ เขารู้สึกเก้อเขิน ใบหน้าร้อนขึ้นมา ถึงจะเข้าใจว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรสงบจิตใจทำอย่างไร แต่สุดท้ายแล้วก็หมดหนทางสลัดความฟุ้งเฟ้อในจิตใจและผลกระทบอย่างอื่นของอารมณ์
เขาเอาผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นปิดใบหน้า ไม่อยากให้ใบหน้าที่ร้อนเล็กน้อยถูกแสงอรุณยามเช้าพบเห็น
ทันใดนั้น กำแพงด้านข้างของถังไม้มีเสียงดังตูมสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นละอองกระจัดกระจาย ก้อนอิฐพังทลายลงมาระเนระนาด
เฉินฉางเซิงลดผ้าเช็ดหน้าลง มองไปด้วยความตกใจ เห็นเพียงแค่ฝุ่นละอองที่คละคลุ้ง กำแพงราวกับว่า…มีรูใหญ่รูหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ฝุ่นละอองค่อยๆ จางหายไป ลั่วลั่วเดินออกมาจากรูใหญ่ของกำแพง
นางหันไปมองเฉินฉางเซิงที่อยู่ในถังไม้ ยินดีอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “คำนวณตำแหน่งไม่ผิด เป็นที่นี่!”
ประโยคนี้ไม่ได้พูดกับเฉินฉางเซิง แต่พูดกับบรรดาคนของนางที่ถือเครื่องมือก่ออิฐ
ทันใดนั้น กำแพงเก่าของอาคารหลังเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีเสียงซ่อมแซมก่ออิฐดังขึ้นมิหยุด
บรรดาผู้คนที่ขะมักเขม้นทำงานไม่มีผู้ใดมองมาทางถังไม้ ราวกับว่ามองไม่เห็นหนุ่มน้อยที่อยู่ในถัง
จ้องมองภาพที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างครึกครื้น เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าน้ำในถังไม้กำลังเปลี่ยนเป็นเย็นฉับพลัน ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก ราวกับเป็นคนโง่เขลา อ้าปากค้าง คิดว่าภาพนี้ไร้สาระเหลือเกิน ตนอยู่ในภาพนี้ยิ่งไร้สาระหาสิ่งไหนเปรียบได้
เวลาผ่านพ้นไม่นาน ประตูไม้ใหม่เอี่ยมบานหนึ่งปรากฏออกมาระหว่างกำแพงสำนัก
บรรดาผู้คนเหล่านั้นถอยกลับไปสวนร้อยหญ้าราวกับกระแสน้ำ ประตูไม้ปิดลง สำนักฝึกหลวงสงบเงียบเหมือนก่อนหน้า
เอาเถอะ มีประตูเพิ่มหนึ่งบาน และยังมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“ทุกวันที่มาก็สะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ต้องนั่งรถม้าแล้ว”
มือทั้งสองข้างของลั่วลั่วเท้าเอว จ้องมองไปยังประตูบานนั้น พึงพอใจยิ่งนัก
ทั่วทั้งผืนสงบนิ่ง ไม่มีผู้ใดตอบนาง
นางหันกลับไปมอง พบเพียงเฉินฉางเซิงที่ถูกแช่แข็งสั่นราวกับนกกระทาก็มิปาน มือทั้งสองกำลังจับถังไม้ มองแล้วน่าขบขันยิ่งนัก
ลั่วลั่วเอ่ยเรียบเฉย “อาจารย์ เชิญท่านชำระร่างกายต่อ ไม่ต้องสนใจข้า”
ทันใดนั้น ท่าทางของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ในแววตาหวาดกลัวอย่างหาที่สุดมิได้
เขามองไปยังท้องฟ้าสีครามทางด้านหลัง เสียงสั่นเทา เอ่ยว่า “มังกร!”
ลั่วลั่วตะลึงตกใจ หันกลับไปมอง มองเห็นทั่วทั้งผืนเป็นท้องฟ้าสีคราม มังกรอยู่ที่ไหน
เวลานี้ ด้านหลังของนางมีเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังขึ้น
นางหันกลับไปมอง มองเห็นเฉินฉางเซิงคลุมเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว คว่ำถังไม้วิ่งตะบึงไปยังป่าไม้ ตามทางที่วิ่งไป น้ำไหลตลอดทาง ยิ่งอ่อนแรงมากเท่าไหร่ก็จะตกที่นั่งลำบากมากเท่านั้น ราวกับสุนัขตกน้ำ และยิ่งเหมือนกับสุนัขไร้บ้าน
มองภาพนี้ ลั่วลั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา โบกมือให้กับหลังของเขา ตะโกนออกไป “อาจารย์ ท่านจะต้องกลับมาเงาร่างของเฉินฉางเซิงหายลับเข้าไปในป่าไม้
ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของลั่วลั่วค่อยๆ หยุดลง ราวกับเสียใจ ทอดถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านจะทำอย่างไรก็ไม่ยินยอมรับข้า”
เฉินฉางเซิงเปียกชื้นท่วมตัว เส้นผมสีดำสยาย แม้แต่รองเท้าก็ไม่มี รู้สึกจนตรอกอย่างยิ่งและก็ไม่กล้ากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สำนักฝึกหลวง เมืองจิงตูทั้งเมืองแต่กลับไม่รู้จะไปแห่งไหน เพราะว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนและก็หาคนช่วยเหลือไม่พบ
โรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านนอกสุสานเทียนซูหลินถึงแม้จะยังเก็บไว้ แต่ต้องเดินจากทางเหนือของเมืองเป็นระยะทางไกลอย่างยิ่ง เขาก็ไม่อยากถูกทหารลาดตระเวนคิดว่าสวมเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย จะกระทบกับภาพลักษณ์ของเมืองจิงตู สุดท้ายแล้วเขาเพียงจำใจที่จะไปสำนักเทียนเต้าที่อยู่ใกล้กัน
เขาดึงดูดสายตาและหัวเราะเยาะของนักเรียนสำนักเทียนเต้าได้สำเร็จ เขาจึงถือว่ามองไม่เห็นไม่ได้ยินเสีย จนกระทั่งในที่สุดสามารถเสาะหาที่อยู่ของถังซานสือลิ่วเจอ ไม่ลังเลที่จะก้าวเข้าไป กล่าวด้วยท่าทางเคารพ “ขอยืมเสื้อผ้าที่สะอาดสักชุด ครั้งนี้ข้าติดค้างน้ำใจของเจ้า”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองลักษณะของเขา เขาตะลึงงันก่อน หลังจากนั้นหัวเราะออกมา เพียงแค่ระยะห่างระหว่างก่อนและหลังห่างกันยาวนาน ราวกับว่าพูดเชื่องช้า อาจจะพูดว่าตอบโต้ช้าอย่างมาก สำหรับเฉินฉางเซิง เสียงหัวเราะนี้ ยังคงเป็นเสียงที่ไม่รื่นหูอย่างยิ่ง
“แขกที่ยากจะมาเยือน…เป็นแขกที่ยากจะมาเยือนจริงๆ …นี่เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”
“แต่ไหนแต่ไรมาถึงแม้ข้าจะไม่ยินยอมสวมใส่เสื้อผ้าของผู้อื่น แต่ตอนนี้หมดหนทาง ดังนั้นขอร้องเจ้ารีบหน่อย”
น้ำเสียงของเฉินฉางเซิงจริงจังอย่างยิ่ง
ถังซานสือลิ่วรับรู้ได้ ถ้าหากตนเองช้ากว่านี้อีกสักนิด เจ้าเด็กผู้นี้คงจะโกรธขึ้นมาจริงๆ สะกดกลั้นอาการหัวเราะอย่างรวดเร็ว ยืดตัวลุกขึ้นหาเสื้อผ้าที่สะอาดให้เขา โยนผ้าเช็ดตัวสองผืนตามไปด้วย “เช็ดผมและเท้า เจ้าวางใจ ทั้งหมดคือผ้าเช็ดตัวใหม่”
“ขอบใจ”
เฉินฉางเซิงใช้ความรวดเร็วที่สุดจัดการตนเองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นนี้ถึงจะถอนหายใจยาวๆ ออกมา สังเกตไปบริเวณรอบๆ ถึงจะพบว่าเจ้าเด็กผู้นี้แท้จริงคู่ควรที่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ได้อันดับที่สามสิบหกในประกาศชิงอวิ๋น คาดไม่ถึงว่าแม้อยู่ที่สำนักเทียนเต้าแห่งนี้ก็ยังสามารถมีอาคารเล็กๆ เป็นของตนเอง เพียงแค่มองบนพื้นที่เต็มไปด้วยก้อนกระดาษที่ถูกขยำและอาหารที่ไม่รู้ว่ากินทิ้งไว้มากี่วันแล้ว รวมทั้งบนเก้าอี้ โต๊ะ เตียงทุกที่ล้วนแต่มีสิ่งของจิปาถะวางกองไว้ เขาพบว่าแม้อาคารแห่งนี้จะใหญ่ กลับไม่มีที่ให้เขาสามารถนั่งได้
“เชิญนั่ง” ถังซานสือลิ่วไม่ได้ตระหนักถึงความทุกข์ทรมานของเขาในเวลานี้
“นั่งที่ไหน” เฉินฉางเซิงถามอย่างจริงจัง
ถังซานสือลิ่วเพิ่งจะคิดออกว่าเจ้าเด็กผู้นี้มีนิสัยประหลาด ยืดตัวลุกขึ้นอย่างจนปัญญา พลางเอ่ย “ไป ไปกินข้าวกัน”
เดินไปตามทางเดินเพื่อจะมุ่งไปด้านนอกของสำนักเทียนเต้า เฉินฉางเซิงดึงดูดสายตาที่เพ่งมองมาจำนวนไม่น้อยอีกครา แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าลักษณะจนตรอก กลับเป็นเพราะเขาเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับถังซานสือลิ่ว นักเรียนของสำนักเทียนเต้าประหลาดใจอย่างยิ่ง ในใจคิดว่าหนุ่มน้อยผู้นี้คือใคร นึกไม่ถึงจะพูดคุยและหัวเราะกับถังซานสือลิ่วที่หยิ่งยโสเย็นชาได้
นั่งลงที่ร้านอาหารที่เงียบสงบและวิจิตรงดงามด้านนอกของสำนักเทียนเต้า ถังซานสือลิ่วพลันคิดเรื่องหนึ่งออก ขมวดคิ้วจ้องมองเฉินฉางเซิง กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไปโรงเตี๊ยมมาครั้งหนึ่งแล้ว เห็นข้อความที่เจ้าทิ้งไว้…เจ้าเข้าไปสำนักฝึกหลวงจริงหรือ”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า เอ่ยว่า “ช่วงหลายวันเหล่านี้เจ้าทำอะไร”
ที่จริงแล้วเขาอยากจะถามถังซานสือลิ่ว เพราะเหตุใดรู้ว่าตนเข้าไปยังสำนักฝึกหลวงแต่กลับไม่ไปหา รู้ว่าเขารู้จักเพียงแค่คนเดียวในจิงตู ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมาเขาเชื่อว่าเพียงสามารถทนรับความโดดเดี่ยวได้ ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ แต่หากสามารถไม่โดดเดี่ยว ก็คงจะไม่เลวนัก
เพียงเพราะว่านิสัยของเขา ที่จริงจึงยากจะถามออกไปตรงๆ
ฟังเขายอมรับว่าเข้าไปในสำนักฝึกหลวงจากปากของตนเอง ท่าทางของถังซานสือลิ่วจึงแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและหนักแน่น คิดว่าเจ้าเด็กผู้นี้คงไม่อยากจะคุยเรื่องที่เศร้าโศกเสียใจของตน จึงเอ่ยตอบ “การชุมนุมไม้เลื้อยใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่ก็ต้องเตรียมตัวเสียหน่อย”
เฉินฉางเซิงคิดในใจการชุมนุมไม้เลื้อยคืออะไร
ถังซานสือลิ่วเอ่ยถามอีกครา “เพราะเหตุใดเจ้าถึงเป็นอย่างวันนี้ เมื่อการสอบใหญ่มาถึง ข้าเพียงอยากสอบอยู่ในประกาศสามอันดับแรก ทุกวันอดหลับอดนอนจนจะไม่ไหวแล้ว จุดมุ่งหมายของเจ้ายังคงจะเป็นประกาศเป็นอันดับแรก ยังจะมีอารมณ์ไปสาดน้ำกับคนอื่นอีกรึ หรือว่า…ประสบกับเรื่องอันใด”
“สำนักฝึกหลวง…ข้าคงจะพักไม่ได้จริงๆ แล้ว”
เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญถึงสิ่งที่ประสบมาในไม่กี่วันนี้ คิดจนไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา เมื่ออาบน้ำหรือว่าอ่านตำรา ล้วนแต่มองเห็นหญิงสาวผู้นั้น ช่วยไม่ได้ที่จะท้อใจ กล่าวสำหรับเขาแล้ว เช่นนี้เป็นอารมณ์ที่ปรากฏได้ยากอย่างยิ่ง
ถังซานสือลิ่วคิดว่าเขาศึกษาตำราอยู่ที่สำนักฝึกหลวง ได้รับความเย็นชาและความอัปยศอดสูไม่มีที่สิ้นสุด อดไม่ได้ที่จะสงสาร จึงยื่นมือเข้าไปตบไหล่ของเขา พลางเอ่ยว่า “ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ออกมาจากที่นั่น ข้า…เขียนจดหมาย ให้เจ้าไปศึกษาเล่าเรียนที่เวิ่นสุ่ย”
เฉินฉางเซิงถอนหายใจออกมา
ถังซานสือลิ่วเห็นเขาหน้านิ่วคิ้วขมวด อีกทั้งไม่ยินดี ในใจไตร่ตรองตอนแรกสำนักเทียนเต้ากับสำนักเด็ดดาราคัดออกอย่างไร้ความปรานี เจ้าก็ยังคงสงบนิ่งมั่นคงเด็ดเดี่ยว มิเช่นนั้นตนก็คงไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า เพราะเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ หรือว่าสำนักฝึกหลวงเป็นสถานที่ถูกสาปแช่งจริงกระนั้นหรือ
“ดื่มสุราเสียหน่อย นอนหลับสักตื่นก็จะดีขึ้น”
เขาให้เจ้าของร้านนำสุราชั้นเลิศแรงที่สุดมาสองเหยือก เหยือกหนึ่งเลื่อนไปตรงหน้าเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงจ้องมองเหยือกสุรา รู้สึกแปลกประหลาด หลังจากนั้นจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่เคยดื่ม”
ถังซานสือลิ่วตบโคลนปิดเหยือกออก เอ่ยว่า “วันนี้ดื่มเสีย เช่นนั้นก็เคยดื่มแล้ว”
เฉินฉางเซิงมีเรื่องในใจ ถังซานสือลิ่วที่จริงแล้วก็มีเรื่องในใจและยังกล่าวตามจริง หนุ่มน้อยทั้งสองนับว่ายังไม่ค่อยสนิทสนมกัน ต่างฝ่ายต่างไม่ค่อยเข้าใจกันและกัน เป็นธรรมดาที่จะไม่มีสิ่งใดพูดคุยกัน ทำได้เพียงยกแก้วสุราดื่มเงียบๆ เช่นนี้เรียกว่าเมื่อกลัดกลุ้มใจรินเองดื่มเอง
กลัดกลุ้มใจแล้วดื่มสุราทำให้คนเมาได้ง่ายดาย ยิ่งเป็นเฉินฉางเซิงที่เริ่มดื่มเริ่มเที่ยวด้วยแล้ว
แน่นอน ความสามารถในการดื่มสุราของถังซานสือลิ่วก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่
“ผู้มีพรสวรรค์เช่นข้า จะมีเวลาไปเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยอะไรนั้นเล่า แต่นั่นเป็นการช่วยนักเรียนที่ปัญญาอ่อนของจิงตู ที่กล้าระแวงความสามารถที่แท้จริงของตัวข้า…”
ถังซานสือลิ่วจ้องมองนักเรียนที่ใส่ชุดของสำนักเทียนเต้าด้านนอกร้าน หัวเราะเยาะพลางเอ่ย “ครั้งนี้ข้าจะต้องไปชกใบหน้าของคนเหล่านั้น!”
เฉินฉางเซิงมือทั้งสองกุมถ้วยสุรา ตาหรี่ลง เห็นได้ชัดเจนว่าเมามาย เอื้อนเอ่ยวาจาอู้อี้ “การชุมนุมไม้เลื้อย…แท้จริงแล้วคือสิ่งใด…มี…มีอะไรบ้าง…อาหารชั้นเลิศรึ…มีสุราไหม”
จิงตูมีสำนักเทียนเต้า สำนักเด็ดดารา สำนักจงซื่อและอื่นๆ …สำนักทั้งหกแห่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดและยังเป็นสำนักที่ได้รับความเคารพที่สุด
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านโลกมาโชกโชนปรากฏอยู่บนไม้เลื้อยด้านนอกของสำนักทั้งหกแห่ง ด้วยเหตุนี้สำนักทั้งหกแห่งจึงถูกเรียกว่าสำนักไม้เลื้อยทั้งหก มีเพียงนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหกที่ไม่ต้องเข้าร่วมการสอบเตรียม สามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่โดยตรง เช่นนี้จึงสามารถเห็นฐานะของสำนักทั้งหกได้
การสอบเตรียมของการสอบใหญ่ปกติจะจัดขึ้นฤดูร้อน สำนักไม้เลื้อยทั้งหกไม่ต้องเข้าร่วมการสอบเตรียม แต่เพื่อไม่ให้นักเรียนพลาดโอกาสในการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นเมื่อคะแนนของการเตรียมสอบใหญ่ได้ประกาศแล้ว สำนักทั้งหกจึงเชิญนักเรียนที่สอบผ่านการเตรียมสอบเข้าร่วมงานชุมนุมที่ยิ่งใหญ่กับนักเรียนสำนักของตน
การชุมนุมครานี้จะคึกคักกว่าการเตรียมสอบมากเพราะว่ามีนักเรียนของสำนักทั้งหกเข้าร่วม ที่ผ่านมาก็ได้ยืนยันว่าการชุมนุมได้รับการจัดอันดับ การจัดอันดับส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกับการสอบใหญ่ ดังนั้นจึงค่อยๆ ถูกมองว่าเป็นทิศทางของการสอบใหญ่ที่จะเกิดขึ้น
แน่นอน การจัดลำดับนี้ไม่รวมถึงนักเรียนที่ได้รับความชื่นชมทางใต้และผู้มีความสามารถก็คงจะไม่แสดงฝีมือง่ายๆ
การชุมนุมนี้ก็คือการชุมนุมไม้เลื้อย
ตามนิสัยถังซานสือลิ่ว เดิมทีไม่เห็นค่าของการเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย แต่ความสัมพันธ์ของเขากับรองเจ้าสำนักเทียนเต้า หลายวันก่อนถูกคนเปิดโปงออกมาจึงได้รับคำพูดใส่ร้าย หนุ่มน้อยผู้แข็งแกร่งที่ขึ้นไปอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นของสำนักไม้เลื้อยด้วยกันต่างเหยียดหยามเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเข้าร่วม
เพราะเหตุนี้เขาจึงปิดประตูฝึกซ้อมอย่างหนักอยู่ในสำนักเทียนเต้า รู้ว่าเฉินฉางเซิงไปสำนักฝึกหลวง แต่ก็ไม่มีเวลาไปหา
เฉินฉางเซิงวางแก้วสุราลง มือเช็ดริมฝีปาก เรอออกมา รู้สึกเกรงใจจึงเอ่ยขออภัย หลังจากนั้นกล่าว “ข้าขอให้เจ้าประสบความสำเร็จ”
ในเมื่อการชุมนุมไม้เลื้อยคือสิ่งที่เรียกว่าการประลองฝีมือของบรรดาผู้มีพรสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
เขาคิดเช่นนี้ กลับลืมไปว่าตอนนี้ตนเองก็ศึกษาที่สำนักฝึกหลวงและก็เป็นหนึ่งในสำนักไม้เลื้อยทั้งหก
แน่นอน ทั้งโลกก็คงเกือบจะลืมเลือนตรงจุดนี้แล้วกระมัง