เมื่อกลับมาถึงสำนักฝึกหลวง ร่างกายของเขาคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา มึนเมาสะลึมสะลือ ลืมตาแทบไม่ขึ้น เดินโซซัดโซเซไปตามทางเดิน ส่วนเรื่องการชุมนุมไม้เลื้อยอะไรนั่น ถูกโยนทิ้งไปด้านหลังนานแล้ว จดจำไม่ได้อีกต่อไป
ในหอตำราไม่มีแสงไฟ เขาไม่อยู่สำนักฝึกหลวงก็เงียบสงัดเหมือนในอดีต เขาเดินไปยังริมทะเลสาบ บริเวณรอบๆ เงียบเชียบไร้ผู้คนมีเพียงดวงดาวที่สะท้อนกระเพื่อมในน้ำใสแจ๋ว
เขายืนอยู่บนก้อนหินข้างริมทะเลสาบ แหงนมองดวงดาวที่อยู่บนฟากฟ้า จ้องมองเป็นเวลาเนิ่นนาน หลังจากนั้นจ้องมองดวงดาวที่สะท้อนอยู่ในน้ำ จ้องมองเป็นระยะเวลายาวนาน หลังจากนั้นเขาหลับตายืนนิ่งเป็นเวลาเนิ่นนาน ทันใดนั้นตะโกนด้วยคำที่คล้ายกับคำหยาบคายต่อทะเลสาบเสียงดัง
เขาทำให้ผู้อื่นคิดว่าเป็นคนสุขุมสงบนิ่งอยู่ตลอด เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริง ลักษณะท่าทางที่แสดงออกเช่นนี้พบเห็นได้น้อยยิ่ง ค่ำคืนนี้ถือโอกาสความเมาชักนำให้ทำ คาดไม่ถึงว่าจะเหนื่อยล้า จึงนั่งลงสนามหญ้าข้างทะเลสาบเสียตรงนี้ เอนกายไปข้างหลัง เริ่มเหม่อลอย
ทั่วทั้งผืนในหอตำรามืดสนิท เขาไม่ได้ไปอ่านตำราและชำระล้างกระดูกที่นั่น เขาเพียงแค่เอนตัวลงนอนบนสนามหญ้า ไม่ได้คิดสิ่งใดเหม่อลอยเพียงอย่างเดียว หลายปีมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่ำคืนอายุสิบขวบเขายังไม่เคยทำสิ่งใดที่ตามใจตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เสียเวลา
ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ เขาลืมตาขึ้น พบว่าตนเองยังคงนอนอยู่บนสนามหญ้า มือทั้งสองข้างสัมผัสกับน้ำค้างเย็นบนใบหญ้า บนใบหน้าก็เปียกชุ่มเล็กน้อย ขอบฟ้าที่ไกลออกไปมีแสงรุ่งอรุณส่องเลือนราง คงจะเป็นเวลาหลังห้ายาม ถึงแม้หลังจากเมามายอยากจะปล่อยปละละเลยร่างกาย แต่เขาก็ยังคงตื่นนอนตรงเวลาเช่นนี้ กฎเกณฑ์การทำงาน พักผ่อนและวิธีการจัดการเรื่องราวละเอียดรอบคอบจนบางทีถึงขนาดโบราณคร่ำครึ ได้เข้าไปอยู่ในกระดูกของเขาจนแปรเปลี่ยนเป็นสัญชาตญาณเสียแล้ว เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง
ความเคยชินเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สามารถล้างออกไปได้ เฉินฉางเซิงหันกลับไปมองอาคารหลังเล็กๆ ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปียกชื้นข้างถังไม่ตั้งใจล้างทำความสะอาดใบหน้า ด้านหนึ่งก็ว่าคิดสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีความหมายอะไร สายตามองเห็นกำแพงเก่ามีประตูใหม่เอี่ยมกำลังปิดแนบแน่น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนกับรอคอยบางอย่าง
แต่ไหนแต่ไรมาสวรรค์ไม่เคยตอบรับสิ่งที่ร้องขอ แต่วันนี้ตอบรับแล้ว ได้ยินเพียงเสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูบานนั้นก็ถูกผลักออก หญิงสาวราวกับเหยียบก้อนหินข้ามแม่น้ำก็มิปาน นางกระโดดข้ามธรณีประตู หลังจากนั้นกระโดดด้วยความดีอกดีใจมาถึงด้านหน้าเขา ผมเปียหางม้าสีดำขลับคู่นั้นกวัดแกว่งทำให้น่ารักอย่างยิ่ง
ลั่วลั่วมองเขากล่าวด้วยความดีใจ “ฮ่าๆ อาจารย์ ท่านดูสิสะดวกอย่างยิ่งใช่หรือไม่”
หญิงสาวหัวเราะด้วยความดีใจ แต่ที่จริงแล้วนางประหม่ายิ่งนัก นางกลัวว่าเฉินฉางเซิงจะวิ่งหนีดังเช่นเมื่อวาน
เฉินฉางเซิงมิได้วิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะวันนี้ไม่ได้เปลือยกายแช่ในถังไม้หรือไม่ อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนยังไม่สร่างจากอาการมึนเมา หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาเลิกต่อต้านการก่อกวนของนาง หรือพูดได้ว่า แท้จริงเขาก็คิดอยากจะมองเห็นหญิงสาวอย่างไม่มีเหตุผลเช่นกัน
เดินออกไปยังสำนักฝึกหลวง ซื้อเกี๊ยวน้ำมาสองถ้วย เขาเอาหนึ่งในถ้วยที่ไม่ใส่พริกส่งให้หญิงสาว หลังจากนั้นเดินมุ่งไปยังหอตำรา หญิงสาวยกถ้วยเกี๊ยว เดินตามหลังเขากระชั้นชิด ยินดีอย่างยิ่ง
รับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย เฉินฉางเซิงเริ่มอ่านตำรา ใช้ความชำนาญอันดีเลิศเสาะหาจุดมุ่งหมายของตน นั่งบนพื้นตั้งใจอ่านตำราเงียบๆ นำตำราเอกสารของจริงนำมาเปรียบเทียบกับตำราสามพันมหามรรคที่เขาอ่านในวัดเก่าเมืองซีหนิง เขาเรียกวิธีการนี้ว่ายิ่งกว่าพิจารณา
การอ่านตำราเป็นเรื่องที่จืดชืดยิ่งนัก แต่มองผู้อ่านตำราเป็นเรื่องที่น่าเบื่อยิ่งกว่า เฉินฉางเซิงอ่านตำราเงียบสงบ ไม่พูดคุย ลั่วลั่วเมื่อแรกเริ่มให้ความสนใจอย่างยิ่ง นั่งอ่านด้วยกันอยู่ใกล้ๆ เขา อ่านไปชั่วครู่พบว่ามีตำรามากมายที่ไม่เข้าใจ แรกเริ่มคิดว่าไม่มีความหมายใดๆ คิดว่าการตื่นนอนตอนเช้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเสียจริง อาการง่วงนอนก็เหมือนกับบรรดามดที่อยู่ตามโคนต้นไม้ ข้างหน้าเดินไปข้างหลังก็มาเสริมมิได้หยุด เดินเข้ามาให้ฆ่าไม่ขาดสาย ทำให้นางคิดว่าศีรษะของตนยิ่งมายิ่งหนัก…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด เฉินฉางเซิงตื่นจากการไตร่ตรองอ่านตำราจนถึงขั้นลืมเลือนตนเอง รู้สึกไหล่ขวาหนักอึ้งและปวดเมื่อย พลันคิดไปถึงภาพยามตื่นมาจากการครุ่นคิดในการชำระล้างกระดูก หันไปมองปราดหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นยังคงกอดแขนของเขาหลับดังคาด
ที่จริงแล้วมือของนางไม่ได้กอดรัดแขนขวาของเขา เพียงแค่จับแขนเสื้อของเขาเบาๆ นางไม่ได้พิงหัวไหล่ของเขา สาเหตุเพราะร่างกายของนางเล็กกะทัดรัด ในความเป็นจริงนางพิงต้นแขนของเขา ท่าทางของร่างกายเช่นนี้แท้จริงแล้วก็มิได้สบายนัก แต่ว่านางกำลังหลับลึก จนถึงขนาดนอนหลับสนิทอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงจ้องมองขนตาที่แผ่ขยายคู่นั้น จ้องมองระหว่างขนตาเพราะว่าผ่อนคลายความอ่อนเยาว์จึงปรากฏให้เห็น เขายิ้มขึ้นมา
สามารถนอนหลับลึกเช่นนี้ หลับสนิทเช่นนี้ เป็นเพราะว่าผ่อนคลายเป็นแน่ นางสามารถผ่อนคลายได้เช่นนี้ เพราะว่านางไว้วางใจเขาอย่างยิ่ง การที่ถูกคนหนึ่งไว้วางใจเป็นความรู้สึกที่ดียิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเขาที่เดินทางมาจิงตูเงียบเหงาเพียงลำพัง
ทันใดมีเงาหนึ่ง ตกกระทบบนใบหน้าของหญิงสาว
คนธรรมดาเมื่อนอนหลับมักจะไม่ชื่นชอบแสงไฟ ชอบเพียงความมืดมิด แต่หญิงสาวเห็นชัดว่าไม่เหมือนผู้ใด เงานั้นทำให้คิ้วของนางขมวดขึ้นมา จมูกย่นขึ้นเล็กน้อย มีส่งเสียงอู้อี้ไม่พอใจออกมาเบาๆ อาจจะตื่นขึ้นในเวลาต่อมา
เฉินฉางเซิงชอบมองหญิงสาวผู้นี้นอนหลับ เมื่อถูกรบกวน เป็นธรรมดาที่จะไม่ยินดี จ้องมองไปยังประตูของหอตำรา พลันคิ้วขมวดขึ้นโดยมิรู้ตัว
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงประตูของหอตำราก็คือซวงเอ๋อร์ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บนใบหน้าของนางเกาะไปด้วยน้ำค้าง แววตาเยือกเย็นถึงขีดสุด
วันนี้ซวงเอ๋อร์อารมณ์ไม่สู้ดีอย่างยิ่ง เพราะว่านกกระเรียนขาวกลับมาจากทิศใต้อันไกลโพ้น และมาพร้อมกับจดหมายของคุณหนู
คุณหนูไม่ใช่ผู้หญิงโง่เขลาที่ถูกสอนเชื่อฟังและมีคุณธรรมในตำราเลอะเลือนเช่นนั้น ต้าโจวแต่ไหนแต่ไรไม่ได้เรียกร้องให้ผู้หญิงยอดเยี่ยมดังหญิงทางทิศใต้ นางชัดเจนจุดนี้ยิ่งนัก ดังนั้นนางไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดคุณหนูถึงเป็นห่วงเจ้าหนุ่มที่ไม่อยากได้หน้าผู้นั้น
ถึงแม้จะมีการหมั้นหมาย ถึงแม้สักวันหนึ่งการหมั้นหมายจะถูกยกเลิก เพราะเหตุใดคุณหนูยังต้องเป็นห่วงเจ้าเด็กคนนั้นด้วยเล่า ดีแล้ว ในจดหมายคุณหนูเพียงแค่เอ่ยว่าอยากทราบเรื่องราวหนุ่มน้อย ถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นห่วง…แต่ เพราะอะไรต้องอยากรู้ด้วยเล่า
ซวงเอ๋อร์แท้ที่จริงชัดเจนยิ่งนัก คุณหนูไม่อยากให้เจ้าหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนเป็นฝุ่นละอองของแม่น้ำในเมืองจิงตูเพียงเพราะการหมั้นหมาย ดังนั้นจึงให้นางไปสืบถามเสียหน่อย
นางไปสืบถามอย่างเชื่อฟัง รู้ว่าขณะนี้เฉินฉางเซิงเป็นนักเรียนหนึ่งเดียวในรอบหลายปีของสำนักฝึกหลวง อีกทั้งเมื่อดูจากอากัปกิริยาของนายท่านและฮูหยินแล้ว หนุ่มน้อยผู้นั้นคงจะไม่มีอนาคตเสียเท่าไหร่ อย่างน้อยที่สุดชีวิตก็คงจะปลอดภัยไม่มีปัญหาเกิดขึ้น
ตามที่คุณหนูกำชับในจดหมาย วันนี้นางจึงตั้งใจมาสำนักฝึกหลวง อยากถามเขาเสียหน่อยว่ายังต้องการความช่วยเหลือสิ่งใดหรือไม่ เช่นทางด้านเบี้ยหวัด คิดไม่ถึง นางเดินมาถึงหอตำรา เห็นภาพเกินความคาดหมายเช่นนี้!
หญิงสาวผู้นั้นคือใคร เพราะเหตุใดจึงกอดกับเจ้าเด็กนั่น นี่กำลังอ่านตำรารึ ถึงแม้สำนักฝึกหลวงจะตกอับ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่อบรมสั่งสอนคน! เจ้าเด็กคนนี้คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ในหอตำราโอบกอดกับหญิงสาวผู้นั้น! นับเป็นตัวอะไรได้เล่า!
มองดูภาพนี้ ซวงเอ๋อร์จากไปด้วยความโกรธแค้น เจ้ากับคุณหนูยังหมั้นหมายกัน ถึงแม้การหมั้นหมายนี้จะไม่นับอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ยังมิได้ถอนการหมั้นหมาย ฐานะของเจ้าก็ยังคงเป็นสามีในอนาคตของคุณหนู! หาไม่แล้วเพราะเหตุใดคุณหนูอยู่ห่างนับพันลี้ยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า ยังเชิญผู้สูงส่งในพระราชวังมารักษาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า ถึงแม้คุณหนูจะไม่ชอบเจ้า แต่ยังคงดูแลเอาใจใส่ต่อเจ้า เจ้ากลับสมคบคิดกับหญิงสาวผู้นั้น
ช่างเป็นคู่หญิงชายหมกมุ่นโลกีย์เสียจริง!
ตอนแรกซวงเอ๋อร์อยากจะนำประโยคสุดท้ายเมื่อกี้กล่าวออกมา แต่มองลักษณะที่งดงามไร้เดียงสาของหญิงสาว ใจกลับไม่แข็งพอ ทำได้เพียงจ้องมองเฉินฉางเซิงตะโกนออกไปด้วยความเกลียดชัง “หลายใจ!”
กล่าวสองคำนั้นออกมา นางจะมีอารมณ์เป็นห่วงสถานการณ์ของเฉินฉางเซิงที่ไหน สะบัดแขนเสื้อ หันหลังกลับออกไปด้วยความโกรธแค้น
สำนักฝึกหลวงเงียบสงัดไร้ผู้คน สนามหญ้าเป็นดั่งพรมสีเขียวข้างทะเลสาบเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน แต่ซวงเอ๋อร์จิตใจกลัดกลุ้ม ยิ่งนานยิ่งจะไม่ยินดี
กลับไปถึงจวนขุนพลเทพตงอวี้ นางจึงเริ่มเขียนจดหมายถึงคุณหนู นำเรื่องราวที่ได้ไปสืบมา…โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่ได้ไปเห็นในวันนี้ บรรยายออกมาอย่างละเอียด ถึงแม้จะไม่ได้เสริมเพิ่มเติมเรื่องราวแต่อย่างใด เพียงแค่แจ้งสิ่งที่ได้เห็นสิ่งที่ได้ยินนำมาเขียน แต่ว่าในระหว่างตัวอักษรก็มิได้ปกปิดการตำหนิติเตียนแต่อย่างใด
นกกระเรียนขาวออกจากเมืองจิงตู บินไปยังเทือกเขาเทพธิดาทางทิศใต้อันไกลโพ้น
ช่วงเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าส่องแสงกระทบดอกไม้และใบหญ้าอันล้ำค่าระหว่างหน้าผา นกกระเรียนร่อนลงมาที่ข้างหน้าผา หญิงสาวยื่นมือไปแกะจดหมายออกมา อ่านเพียงเล็กน้อย ก็เงียบนิ่งเป็นเวลายาวนาน
นกกระเรียนคาบพู่กันมาครั้งนี้ จุ่มลงไปในหมึกพอดี และส่งไปในมือของนางพอดี
นางจับพู่กัน จ้องมองกระดาษที่ขาวราวหิมะ นิ่งเงียบเป็นระยะเวลายาวนาน พลันถอนหายใจออกมา ใช้ด้ามพู่กันเกาหัวสองสามที จ้องมองนกกระเรียน พลางเอ่ยด้วยความทุกข์ใจ “ไม่รู้จริงๆ ว่าควรเขียนสิ่งใด ตามบุคลิกเมื่อก่อนของเจ้า…นักพรตน้อยผู้นั้นไม่ควรจะเป็นคนเช่นนี้”
นกกระเรียนขาวไม่เอ่ยสิ่งใด เดิมทีไม่สามารถช่วยตอบคำถามนางได้ มันจึงใช้คอแตะเบาๆ ที่ข้อมือของนาง เป็นสัญญาณให้นางรีบลงพู่กัน
หลายใจ? เฉินฉางเซิงได้ยินสองคำนี้ก่อนที่ซวงเอ๋อร์จะจากไป เขารู้ว่านางเข้าใจผิดสิ่งใด แต่ว่าเขามิได้ใส่ใจ ยิ่งจะไม่ไล่ตามออกหอตำราเพื่ออธิบายสิ่งใด การหมั้นหมายระหว่างจวนเทพขุนพลยังไม่ได้ยกเลิก แต่หลังจากจวนเทพขุนพลได้ทำสิ่งที่ไร้ยางอายเยอะแยะมากมาย เขาคิดว่าฝ่ายตรงข้ามแม้แต่คุณสมบัติในการเข้าใจตัวเขาผิดก็ล้วนไม่มี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณสมบัติที่จะมาโกรธสิ่งใด แต่…ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขากลับรู้สึกโมโหขึ้นมา
ลั่วลั่วตื่นขึ้นมา ขยี้ตาสองสามที สูดดมกลิ่นสตรีที่หลงเหลือในอากาศ เอ่ยถามอย่างแปลกใจ “อาจารย์ เมื่อครู่ผู้ใดมา”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หญิงรับใช้ของจวนขุนพลเทพตงอวี้”
ฟังชื่อของจวนขุนพลเทพตงอวี้ ท่าทางของลั่วลั่วเปลี่ยนไป กำลังเตรียมจะเอ่ยสิ่งใด พลันหยุดลง จ้องมองไปยังด้านนอกหอตำรา
บุรุษสองคนมาถึงด้านนอกหอตำรา
หนึ่งในนั้นมือไพล่หลังเดินเข้าไปในหอตำรา ไม่ได้ถูกเชิญให้เข้ามา ชัดเจนว่าเป็นคนเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง
เขาสวมชุดพิธีการของอาจารย์สำนักเทียนเต้า
เฉินฉางเซิงให้ความสนใจ ท่าทางของคนผู้นี้เยือกเย็นถึงขีดสุด จ้องมองไปยังแววตาของตนอย่างไม่เป็นมิตร
“กำเริบ!”
อาจารย์ของสำนักเทียนเต้าผู้นั้นมองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง หันหลังกลับออกไป ราวกับว่าหากมองนานกว่านี้อีกสักหน่อยจะแปดเปื้อนดวงตาเขา เหยียดหยามกันถึงเพียงนี้
เขามองไปยังคนข้างๆ ผู้นั้น ว่ากล่าวอย่างรุนแรง “สำนักฝึกหลวงยกเลิกใช้ไปแล้ว มีคุณสมบัติอะไรที่จะยังอยู่ในสำนักไม้เลื้อยทั้งหกรึ ส่วนคนผู้นี้…เป็นของไร้ประโยชน์ที่แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ ยังจะมีคุณสมบัติอะไรที่จะเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย!”