ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 40 ค่ำคืนแรก

เพราะวาจาและอากัปกิริยาของอาจารย์สำนักเทียนเต้าวันนั้น แท้จริงแล้วเฉินฉางเซิงไม่ได้ยินดียิ่งนัก แต่ตามวันเวลาที่ได้ล่วงเลยจึงได้สูญสลายตามกาลเวลา สำหรับเขาแล้ว การใช้เวลาสิ้นเปลืองกับการโกรธแค้น สู้เอาเวลามาทำเรื่องที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงไม่ดีกว่าหรือ ดังเช่นอ่านตำราแล้วฝึกบำเพ็ญเพียร หรือว่าบำเพ็ญเพียรแล้วอ่านตำรา

เขาไม่ได้ใส่ใจกับการชุมนุมไม้เลยจริงจัง เพียงหนึ่งวันก็มีชื่อเสียงทั่วใต้หล้าล่วงรู้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนที่เคยดูถูกเขาตกตะลึงจนไม่รู้จะทำเช่นไร ตบหน้าเสียงดังกังวานอย่างนั้นรึ ก่อนอื่นเขาคงจะต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้ตนเองแม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ ยากอย่างยิ่งหากจะทำสิ่งนี้ แต่ถึงแม้จะสามารถทำได้…เขาก็ไม่ปรารถนาจะทำ

ได้รับชื่อเสียงอันจอมปลอม รับเอาเกียรติยศอันจอมปลอม แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย ปัญหาอยู่ที่ หากวันนั้นมาถึงจริงๆ ชีวิตการฝึกบำเพ็ญเพียรที่เงียบสงบของเขาคงจะต้องถูกรบกวนอย่างแน่นอน คิดไปถึงสองสามวันที่ใกล้จะมาถึงนี้ ไม่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ด้านนอกหน้าต่าง ใช้เวลาทั้งหมดมาฝึกบำเพ็ญเพียรอ่านตำรา คงจะไม่ได้เป็นแน่

แล้วลั่วลั่วเล่า ก่อนอื่นเฉินฉางเซิงคิดอย่างไร นางก็สนับสนุน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พานางไปเดินเที่ยวเล่นจึงทำให้นางไม่ค่อยดีใจ แต่ไอติมหนึ่งแท่งก็สามารถปลอบโยนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เป็นจริงกว่านี้ ส่วนการหยิบยืมชื่อเสียงของการชุมนุมไม้เลื้อย…ใช้เบื้องหลังชีวิตของนาง แล้วเหตุใดต้องครุ่นคิดเรื่องเช่นนี้

นี่คือความคิดที่เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วมีต่อการชุมนุมไม้เลื้อย พวกเขาไม่ได้สนใจ ถึงแม้จะถูกลืมเลือนก็ไม่เป็นไร ตามความเป็นมาที่ผ่านหลายปี สำนักฝึกหลวงจะถูกลืมเลือนก็คงเป็นเรื่องปกติ เพียงแค่ปีนี้มีสิ่งที่แตกต่างอย่างยิ่ง เช่นนั้นก็คือการมีอยู่ของอาจารย์ซิน

เมื่อได้รับการเตือนจากใต้เท้ามุขนายก อาจารย์ซินสนใจผู้ที่อยู่เบื้องหลังตราประทับของใต้เท้าสังฆราชอย่างเงียบๆ มาตลอด ถึงแม้ตอนนี้ความสนใจของเขาไม่ได้มีสิ่งใดออกมา และก็มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของจิงตูเพราะนักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงผู้นั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่สามารถลืมเลือนนักเรียนใหม่ผู้นั้นได้…

ต้นฤดูร้อนวันหนึ่ง รถม้าคันหนึ่งขับเคลื่อนเข้าไปในตรอกไป๋ฮวามุ่งไปยังสำนักฝึกหลวง ช่วงเวลาพลบค่ำ มีแสงสีแดงกุหลาบยามสายัณห์เป็นเพื่อน รถม้าคันนั้นขับออกจากสำนักฝึกหลวง ขับออกจากตรอกไป๋ฮวา มุ่งไปตามถนนของเมืองจิงตูมาถึงสำนักเทียนเต้า เข้าไปยังประตูหินหยกอ่อนสีดำ

ลั่วลั่วเปิดม่านหน้าต่างรถม้าออก มองไปยังข้างถนนทั้งสองฝั่ง จ้องมองสิ่งปลูกสร้างกับสวนโบราณ ดวงตาเบิกโต แปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อก่อนนางมาสำนักเทียนเต้าหลายต่อหลายครั้ง ล้วนแต่ถูกคนของนางกับผู้มีฝีมือในพระราชวังติดตามเป็นกลุ่มมาทางประตูด้านหลังของสำนักเทียนเต้าอย่างเงียบงัน และไร้เสียงเมื่อออกมา นอกจากอาจารย์และนักเรียนดีเด่นที่อาจารย์ได้แนะนำกับตนแล้ว ก็ไม่ได้คบค้าสมาคมกับผู้ใด เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าประตูใหญ่ของสำนักเทียนเต้า

เฉินฉางเซิงเคยมาสำนักเทียนเต้าสองครั้ง ครั้งแรกเป็นประสบการณ์การสมัครสอบที่ย่ำแย่ ครั้งที่สองร่างกายเปียกโชกท่วมตัว ตกอยู่ในที่นั่งลำบากสุดจะรับได้ คงจะกล่าวไม่ได้ว่าอะไรคือความทรงจำที่งดงาม เขาสูญเสียความเคารพศรัทธาต่อสำนักแห่งนี้นานแล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวทัศน์ของที่นี่งดงามยิ่งนัก

ต้นไม้สีเขียวแน่นขนัด ลำธารคดเคี้ยว ดอกไม้ฤดูร้อนที่งดงาม นั่งอยู่ริมหน้าต่างรถม้า จ้องมองดูภาพที่สวยงามเหล่านี้ เพราะว่าต้องเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ต้องพบเจอกับคนแปลกหน้ามากมาย จะต้องเสียเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียรหนึ่งคืนเต็มๆ จึงทำให้กลัดกลุ้มใจ เมื่อคิดว่าอีกชั่วครู่จะได้เจอกับถังซานสือลิ่วความกลัดกลุ้มใจจึงหายไป อารมณ์ของเขาจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย

อาจารย์ซินไม่รู้ลักษณะนิสัยของเขา เห็นเขานิ่งเงียบจ้องมองนอกหน้าต่างตลอดเวลา ราวกับว่าหนุ่มน้อยกำลังเศร้าซึม จึงทำให้เข้าใจผิดบางอย่าง อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง จึงยื่นมือไปตบไหล่ของเขา เอ่ยปลอบใจว่า “เพียงแค่นั่ง ไม่ต้องลงประลองก็ไม่เป็นไร”

เฉินฉางเซิงหันกายกลับมา พยักหน้าเป็นความหมายว่าเข้าใจ กล่าวขอบคุณด้วยความตั้งใจ

อาจารย์ซินนั่งเงียบชั่วครู่ พลันเอ่ยอีกครั้ง “คำพูดของอาจารย์ดูผู้แลสำนักเทียนเต้าตอนที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงวันนั้น เจ้าไม่ต้องใส่ใจมาก…ข้าแนะนำว่าพวกเจ้าไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง เพราะว่าการชุมนุมไม้เลื้อยปีนี้กับปีที่ผ่านมาอาจจะแตกต่างกัน จะต้องระวังให้มาก”

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเป็นเจตนาดีของเขา เอ่ยว่า “ท่านสบายใจได้ ข้าเตรียมพร้อมกับการต้องนั่งหนึ่งคืนแล้ว”

“หา หนึ่งคืนรึ”

เจตนาดีที่ปลอบประโลมของอาจารย์ซินไม่ถูกเข้าใจผิด พลันพบว่าปัญหาอยู่ที่ประโยคนั้นของเขา ตะลึงงันหลังจากนั้นจึงกล่าวถาม “เจ้าไม่รู้หรอกหรือ”

เฉินฉางเซิงมึนงง พลันเอ่ยถาม “อะไรหรือขอรับ”

อาจารย์ซินสายตาจ้องมองสายตาที่กำลังหันกลับจากด้านนอกหน้าต่างของลั่วลั่ว

ลั่วลั่วก็มึนงงอย่างยิ่ง กล่าวถาม “พวกเราจะต้องรู้สิ่งใดหรือ”

“การชุมนุมไม้เลื้อย…คือกิจกรรมที่เจ้าภาพจะต้องจัดขึ้นเอง แต่ในความเป็นจริงก็คือการทดลองลงสนามสอบในการสอบใหญ่ ดังนั้นกฎเกณฑ์จึงเหมือนกับการสอบใหญ่ การสอบใหญ่ดำเนินเป็นเวลาสามวัน การชุมนุมไม้เลื้อยก็จัดขึ้นสามคืน พวกเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ เช่นนั้นพวกเจ้าก็คงไม่รู้ว่าทั้งสามคืนนี้ไม่ได้ติดต่อกันเป็นแน่”

อาจารย์ซินจ้องมองพวกเขาทั้งสองราวกับมองสิ่งที่แปลกประหลาด จึงเอ่ยว่า “พวกเจ้าแท้จริงแล้วได้เตรียมมาทำสิ่งใดหรือ”

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจในคำถามของเขาแม้แต่น้อย ครุ่นคิดประโยคก่อนหน้าที่เขาได้เอ่ยออกมา รู้สึกรบกวนจิตใจอย่างยิ่ง ในเมื่อไม่ใช่หนึ่งคืน จะต้องสามคืนรึ เช่นนั้นเวลาจะห่างกันมากน้อยเพียงใด จะต้องอ่านตำรามากน้อยแค่ไหน เช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่

ลั่วลั่วจ้องมองเขาที่กำลังเหม่อลอย เอ่ยกับอาจารย์ซินว่า “ท่านวางใจเถอะ พวกเราเตรียมตัวเป็นอย่างดี อาหารกลางวันก็ยังไม่ได้กินเลย วันนี้ตอนเย็นจะต้องได้กินของดีๆ เป็นแน่”

อาจารย์ซินไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด ในใจครุ่นคิดนี่คือคู่ที่แปลกประหลาดอะไรเช่นนี้ จ้องมองเฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “โดยสรุปแล้วคืนนี้พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มาก ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ เป็นเพียงแค่ข่าวคราวที่เล่าขานมา อาจจะมีบุคคลที่คาดคิดไม่ถึงเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย แต่ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเป็นได้”

เวลานี้ รถม้าได้ขับไปถึงสถานที่ประชุมหลักของการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้

อาจารย์ซินเอ่ยว่า “ข้ายังมีงานที่จะต้องไปจัดการ คงจะมาส่งเจ้าได้เพียงแค่นี้”

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วแสดงความขอบคุณเขา ลงจากรถม้า พบเห็นเพียงท้องฟ้ายามราตรีที่ได้มาเยือนแล้ว ก่อนหน้านั้นคือต้นไม้ที่เขียวขจี ตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นเลือนราง ราวกับเงาของปีศาจชั่วร้ายก็มิปาน เขาตกตะลึงเล็กน้อย คิดว่าสำนักแห่งนี้มีความกดดันปะทะเข้ามาที่ไม่สามารถเอ่ยได้

“เชิญทางด้านนี้” นักเรียนที่สวมชุดสีดำของสำนักเทียนเต้าคนหนึ่งได้บอกทางอย่างมีมารยาท

ปลายสุดถนนของคือสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่ ภายนอกของอาคารแขวนโคมสีแดงสามเส้นหลายร้อยดวง แสงของโคมเปล่งประกายไปยังบริเวณรอบๆ คู่ควรกับสำนักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในดินแดนต้าลู่ สิ่งปลูกสร้างหลังนี้ไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด แต่กลับสามารถจุผู้มาเยือนได้หลายร้อยถึงขนาดเป็นพันคน

มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยโคมไฟสีแดง ความรู้สึกของเฉินฉางเซิงมิได้แปรเปลี่ยนเป็นดีขึ้น ในทางกลับกันคิดว่าความกดดันแปรเปลี่ยนเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

ผ้าม่านในอาคารปลิวไสวเบาๆ ด้านหน้าของโต๊ะมีไม้เนื้อแข็งวางแนวนอน มีนักเรียนหนุ่มสาวหลายร้อยคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นักเรียนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการเตรียมสอบของการสอบใหญ่ไม่กี่วันมานี้ พวกเขาต่างมาจากทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่เป็นลูกศิษย์ของต้าโจว ยังก็ไม่ได้อยู่ในสำนักไม้เลื้อยทั้งหก นักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหมดสามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้โดยตรง มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าสอบการเตรียมสอบ ราวกับว่าจะสูงส่งกว่านักเรียนหนุ่มสาวเหล่านี้เล็กน้อย เวลานี้พวกเขานั่งอยู่ในสำนักเทียนเต้า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตึงเครียด

สิ่งเหล่านี้ได้แพร่กระจายไปยังระหว่างผ้าม่านกับด้านหน้าที่มีโต๊ะรับประทานอาหารวางไว้นับร้อยตัว และยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ ใช้ไม้พยุงหอมเป็นรั้วกัน แยกออกมาเป็นพื้นที่โดดเดี่ยวจำนวนหนึ่งสำหรับผู้ควบคุมของค่ำคืนนี้ ผู้มาเยือนรวมถึงนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหก

การชุมนุมไม้เลื้อยในนามของสำนักไม่กี่แห่งที่เป็นตัวแทนของเมืองจิงตู เป็นพิธีต้อนรับนักเรียนที่ผ่านการทดสอบในการเตรียมสอบของการสอบใหญ่ ในความเป็นจริงเป็นเวทีแสดงความสามารถของไม่กี่สำนักต่างหาก ทุกปีหลังหลังจากการชุมนุมไม้เลื้อยสิ้นสุดลง ก็จะมีนักเรียนที่สอบผ่านการเตรียมสอบหลายคนที่ถูกสำนักเหล่านี้รับมาเป็นศิษย์ เพราะสาเหตุนี้อากัปกิริยาของนักเรียนสำนักไม้เลื้อยทั้งหกที่กำลังนั่งอยู่จึงแตกต่างกับนักเรียนเหล่านั้นอย่างยิ่ง บนใบหน้าของพวกเขาจะมองไม่เห็นความระมัดระวังหรือความตึงเครียดใดๆ ทั้งสิ้น มองเห็นเพียงแค่ความทะนงที่มิได้ปกปิด หรือความเฉยชา หรืออาจจะเป็นใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก มองไปยังสายตาของผู้คนที่อายุรุ่นเดียวกันในอาคารเหล่านั้นชวนให้รู้สึกถึงการพิจารณาอย่างละเอียด

ตำแหน่งที่ดีที่สุดของปีนี้เป็นของสำนักเทียนเต้า ท่าทางที่ไม่ใส่ใจของคนหนุ่มสาวที่สวมชุดสีดำของสำนัก ไม่ได้พยายามทะนงตน แต่ทะนงตนจนถึงหาสิ่งใดเปรียบมิได้ อยู่ในแถวของพื้นที่ในสำนักเทียนเต้า นักเรียนของสำนักเด็ดดารากำลังนั่งอยู่ ท่าทางสงบเยือกเย็น การนั่งมั่นคงราวกับเทือกเขา

ถัดไปยังมีอีกสามสำนักคือ หอจงซื่อ สำนักจวนราชวังหลี และกระทรวงสิบสามชิงเหย้า

สำนักเทียนเต้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยมากมาย ความเป็นมายาวนาน ภายภาคหน้าได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ ใต้เท้าสังฆราชในขณะนี้และเทพธิดาของนิกายหนานฟางคนก่อน ล้วนแต่ปรากฏตัวในเวลานี้ นิกายหลวงไม่มีเวทีหรือว่าห้องโถงใหญ่ ใต้เท้าสังฆราชจัดการงานทางด้านการศึกษาอยู่ที่ราชวังหลี สำนักจวนราชวังหลีเป็นธรรมดาที่จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หอจงซื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเซ่นไหว้และการครองแคว้น ก็ไม่ธรรมดาแน่นอน

สำนักเด็ดดาราเป็นกระเช้าขุนพลทหารของต้าโจว เมื่อมนุษย์รบชนะเผ่ามารในสงครามครั้งนี้ ทำให้ได้รับคุณูปการอย่างยิ่งใหญ่ มีตำแหน่งพิเศษอย่างมาก

กระทรวงสิบสามชิงเหย้ากลับเพิ่มความพิเศษขึ้นไปอีก สำนักแห่งนี้มีคัมภีร์ฝึกบำเพ็ญเพียรชิงเหย้าสิบสามเล่มเป็นของตนเอง และยังให้ความสำคัญกับอิสตรี มีความสัมพันธ์สนิทแนบแน่นกับเทือกเขาเทพธิดา มักจะแลกเปลี่ยนนักเรียนกันบ่อยๆ ปีนั้นสวีโหยว่หรงเริ่มที่จะเข้าใจสิ่งต่างๆ ก็มาอ่านตำราฝึกบำเพ็ญเพียรที่สำนักแห่งนี้

นี่คือตำนานของสัมพันธมิตรไม้เลื้อย

ไม้เลื้อยฉางชุนที่หน้าประตูราชวังหลีเป็นทิวทัศน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจิงตู หากได้บรรยายเกี่ยวกับกำแพงแผ่นหินของสำนักเหล่านั้น รวมกันแล้วก็ไม่สามารถเทียบได้กับความเขียวชอุ่มของไม้เลื้อยฉางชุน พิสูจน์จากความเป็นมาหลายปีที่ผ่านมา นอกจากสำนักทางทิศใต้ ผู้แกร่งกล้าที่มีอยู่ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีพันธมิตรไม้เลื้อยอยู่เบื้องหลัง

บรรดาสำนักไม้เลื้อย มีพื้นที่อยู่ในส่วนที่ดีที่สุดของการชุมนุมไม้เลื้อย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ผู้คนก็คงจะเคยชินกับสิ่งนี้มานานแล้ว ความระมัดระวังของนักเรียนธรรมดาเหล่านั้นส่งผ่านให้ผู้ที่อาวุโสกว่ารับรู้ ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจ เพียงแค่…รายละเอียดของการชุมนุมไม้เลื้อยในปีนี้ไม่เหมือนกับปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

มีคนได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นแล้ว

ด้านข้างของตำแหน่งที่ดีที่สุดของบรรดาสำนักไม้เลื้อย ในมุมที่มองแล้วไม่สะดุดตา ใช้ไม้พยุงหอมกั้นเป็นพื้นที่เช่นเดียวกัน

พื้นที่ผืนนั้นเล็กอย่างยิ่ง มีเพียงโต๊ะหนึ่งตัว

แต่ตำแหน่งนั้นอยู่ในระดับเดียวกันกับบรรดาสำนักไม้เลื้อย

ตำแหน่งเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

นี่คือประเพณี

จ้องมองไปยังพื้นที่แห่งนั้น สายตาที่จ้องมองไปยังโต๊ะเล็กๆ ตัวนั้นยิ่งนานยิ่งมากขึ้น

มีคนนึกออก ก่อนที่จะเป็นสัมพันธมิตรไม้เลื้อย บรรดาสำนักไม้เลื้อยในอดีต อันที่จริงแล้วพบเจอบ่อยๆ จนกระทั่งตอนนี้ยังคงถูกผู้คนเล่ากันมาปากต่อปาก เรียกว่า ‘สำนักไม้เลื้อยทั้งหก’

สำนักไม้เลื้อยทั้งหกเป็นธรรมดาที่จะต้องมีสำนักหกแห่ง

สำนักเทียนเต้า สำนักเด็ดดารา และสำนักอื่นๆ รวมกันแล้วมีเพียงแค่ห้าสำนัก

ยังมีอีกสำนักอีกแห่งหนึ่งเรียกว่าอะไร

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset