บรรดาขุนนางอาจารย์ที่เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยในอาคารล้วนแต่ชัดเจนยิ่งนัก เพราะเหตุใดอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าถึงยังคงมีความรู้สึกโกรธแค้นสำนักฝึกหลวงที่เสื่อมโทรมไปแล้วเช่นนี้ ชัดเจนว่าสำนักฝึกหลวงมีเพียงตั๊กแตนสองสามตัว เขายังคงไม่ยินยอมวางมือ ต้องการที่จะกดฝ่ายตรงข้ามลงไปในฝุ่นอยู่ตลอด
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนเก่าแก่ของจิงตู ชัดเจนในกฎระเบียบของราชสำนัก ถ้าหากไม่เป็นเพราะหนุ่มสาวคู่นั้น ปีหน้าสำนักฝึกหลวงก็จะถูกลบชื่อออกจากทะเบียน
แต่ไม่หมดทุกคนที่จะคิดว่าเรื่องราวจะง่ายดายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้อาจารย์ซินได้คุยกับเฉินฉางเซิงว่ามีธุระจะต้องจัดการ ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปยืนอยู่ด้านหลังมุขนายกเหมยหลี่ซ่าของสำนักการศึกษากลางเมื่อใด
เขาเค้นเสียงให้เบาพลางเอ่ยว่า “มองแล้วคงมีคนอยากจะบีบให้เฉินฉางเซิงแสดงฝีมือ”
ใบหน้าของใต้เท้ามุขนายกมีความง่วงแขวนไว้อยู่ตลอดเวลา คล้ายกับว่านอนหลับอย่างไรก็คงไม่พอ เมื่อฟังประโยคนี้ ยากยิ่งที่จะเปิดเปลือกตาขึ้นมา เอ่ยถามว่า “เจ้าเด็กผู้นั้นโง่เขลาหรือไม่”
อาจารย์ซินใบหน้าลำบากใจ เอ่ยว่า “โง่เขลานั้นไม่ได้โง่ แต่แท้จริงแล้วยังคงเป็นคนหนุ่ม เพียงกังวลว่าจะเลือดร้อนเกินไป”
ใต้เท้ามุขนายกเพ่งตามองไปยังตำแหน่งที่อยู่ของสำนักฝึกหลวง จ้องมองหญิงสาวที่ใบหน้าแสดงอาการโกรธเคืองอยู่ข้างกายเฉินฉางเซิง ตะลึงงันเล็กน้อย
เมื่อมองคนผ่านช่องประตู สามารถทำให้มองคนผิด แต่เมื่อหรี่ตามองคน กลับเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าใต้เท้ามุขนายกรู้จักหญิงสาวผู้นั้น
เขาถอดทอนหายใจ พลางเอ่ย “เช่นนั้น…ก็ให้พวกเราภาวนาแทนใต้เท้าผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าเถิด”
อาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าใบหน้าไร้ความรู้สึกจ้องมองเฉินฉางเซิงในมุมนั้น ไม่ได้พยายามที่จะสงบเยือกเย็น ปล่อยอำนาจคุกคาม ราวกับว่าจ้องมองแมลงตัวเล็กๆ ที่ถูกแช่แข็งตัวหนึ่ง
เฉินฉางเซิงเคยคิดว่าจะลงสนาม ถ้าเขาเข้าร่วมสอบวัดความรู้ ลั่วลั่วเข้าร่วมการสอบพลังยุทธ์ หากไม่เป็นเช่นนั้นโอกาสสักนิดต่างล้วนไม่มี แต่เขาชัดเจนยิ่งนัก ในเมื่อมีคนพยายามกระหน่ำกดดันสำนักฝึกหลวง เช่นนั้นคงจะไม่ได้ดำเนินเป็นไปตามความคิดของตนเป็นแน่
จุดมุ่งหมายของเขาก็คือหอหลิงเยียน เขาจะต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่เพื่อสอบได้อันดับแรก ก่อนหน้านี้ เขาไม่คาดว่าจะมีเรื่องใดๆ มารบกวนขั้นตอนเหล่านี้ ค่ำคืนนี้หากว่าจะต้องลงสนามรับมือการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ สำหรับสิ่งที่เขาวางแผนไว้ล้วนแต่เป็นเรื่องไม่ดี
ในเมื่อไม่ลงสนาม เหตุใดจะต้องอยู่ในอาคารฟังเสียงหัวเราะที่แสบแก้วหูเหล่านี้ เหตุใดจะต้องอยู่ต่อหน้าสายตาที่ไร้ความรู้สึกของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเพื่อให้ตนสูญเสียซึ่งความสงบเยือกเย็น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด
“ไป” เขาเอ่ยกับลั่วลั่วอย่างทันทีทันใด หลังจากนั้นยืดตัวลุกขึ้น เตรียมที่จะจากไป
ในอาคารเต็มที่ไปด้วยบรรยากาศเสียงหัวเราะเยาะหยันพลันได้หยุดลง ผู้คนทั้งหมดจ้องมองการกระทำของเขา หมดหนทางที่จะเข้าใจ อากัปกิริยาที่มองข้ามไม่สนใจต่อการเหยียดหยาม อับอายขายขี้หน้า หัวเราะเยาะรวมไปถึงขี้ขลาดตาขาว อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นความขี้ขลาดที่น่าละอาย แต่นั่นมิใช่ความกล้าหาญที่ยากจะจินตนาการถึงหรอกหรือ
ลั่วลั่วแต่ไหนแต่ไรเชื่อฟังคำสั่งของเขาไม่เคยมีครั้งที่สอง ยืดตัวลุกขึ้นยืนเดินออกไปด้านนอกตามเขาอย่างไม่ลังเล
จ้องมองผู้คนที่เยาะหยันค่อยๆ สงบลง ก่อเกิดเป็นอาการตกตะลึง นางเม้มริมฝีปาก ในใจครุ่นคิดอาจารย์แท้จริงแล้วเป็นคนไม่ธรรมดา หนักแน่นสงบนิ่ง สามารถทนกับสิ่งที่ไม่สามารถทนได้ ตนควรที่จะต้องฝึกฝนอย่างเต็มที่ถึงจะถูก ไม่ควรที่จะนำการหัวเราะเยาะของฝ่ายตรงข้ามมาใส่ใจ แล้วคิดจะลงสนามทำให้เจ้าเด็กพวกนั้นแตกละเอียดเป็นผุยผง
โลกใบนี้งดงามเช่นนี้ เหตุใดตนจะต้องโมโหเช่นนี้ด้วยเล่า
เวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “พวกเจ้าคิดว่าการชุมนุมไม้เลื้อยคือที่ไหนกัน คิดอยากจะมาก็มา คิดอยากจะไปก็ไปรึ”
เสียงนี้อ่อนเยาว์อย่างยิ่ง บุคคลที่เอ่ยออกมาก็ชัดเจนว่ายังเด็ก แต่ในน้ำเสียงไม่ได้ปกปิดความทระนงเย็นชาไว้เลย จนกระทั่งราวกับว่าบ้าคลั่ง และยังคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต ประโยคของคนผู้นั้นราวกับว่าหากไม่พึงพอใจเพียงน้อยนิด ก็จะลงมือสังหารผู้คน
เป็นกลิ่นเช่นเดียวกับที่เฉินฉางเซิงไม่ชื่นชอบ
เขาหยุดก้าวเดิน มองไปยังประตูของอาคาร
ผู้คนที่เข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยหลายร้อยคน หันกายจ้องมองยังประตูของอาคารในเวลาเดียวกัน
หนุ่มน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าขาวซีด แววตาเยือกเย็นดื้อรั้น ริมฝีปากคู่นั้นสีแดงโลหิต ชัดเจนว่าอายุยังเยาว์วัย คงจะสิบสองสิบสามปี แต่คล้ายกับผู้ที่ดื่มสุราเคล้านารีมานานหลายปี โดยเฉพาะอากัปกิริยาของเขา รู้สึกถึงความเหี้ยมโหดอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้าน
ผู้คนจำนวนมากไม่รู้จักหนุ่มน้อยผู้นี้
แต่ผู้คนจำนวนมากของสำนักเทียนเต้ากับสำนักเด็ดดารา ล้วนแต่รู้ฐานะของเขา
เพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มคือผู้ใด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล่าวว่าเขามาสาย ทั่วทั้งผืนเงียบสงบ มีเพียงจวงห้วนอวี่ที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าไม่ยินดีอยู่บ้าง
ท่าทางของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าสงบนิ่งอย่างยิ่ง ชัดเจนยิ่งนัก เขาคงล่วงรู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะปรากฏตัวอยู่ก่อนแล้ว
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว ในใจครุ่นคิดพวกเจ้ายินยอมรับความอับอาย ยืนหยัดที่จะไม่ลงสนาม แล้วคิดว่าจะสามารถรักษาลมหายใจสุดท้ายของสำนักฝึกหลวงได้หรือ
เพราะว่าตำแหน่งรวมถึงสาเหตุที่ซับซ้อน เขาไม่สามารถลงมือกับคนทั้งสองของสำนักฝึกหลวงด้วยตนเอง ทั้งยังไม่อาจให้นักเรียนของสำนักเทียนเต้าลงมือ แต่เขาได้เลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในบรรดาสำนักในจิงตูไว้ก่อนแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นมาของฐานะหรือว่าระดับความสามารถ เด็กประหลาดของหอจงซื่อ เหมาะสมที่จะส่งสำนักฝึกหลวงไปถึงจุดที่เหมาะสมที่สุด
และหลังจากเรื่องราวผ่านพ้นไปยังไม่มีความยุ่งยากใดๆ เกิดขึ้น
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจ้องมองตำแหน่งใต้เท้ามุขนายกแวบหนึ่ง
ผู้คนจำนวนมากในจิงตูต่างรู้ดี หอจงซื่อมีเด็กผู้แปลกประหลาด
เด็กประหลาดคนนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพราะปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบสองปี ยังไม่ได้เข้าไปในประกาศชิงอวิ๋น แต่ผู้คนล้วนแต่ยอมรับ เขามีความสามารถที่จะเข้าไปอยู่ประกาศชิงอวิ๋นห้าสิบอันดับแรก เพราะเล่าลือกันว่า เด็กประหลาดคนนี้เป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าสังฆราช เพียงแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยยอมรับ และก็เพราะในข่าวลือ เมื่อเด็กประหลาดผู้นี้อายุสิบปี ก็สังหารบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่ขั้นถอดจิตมากมาย รวมถึงหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์ที่เข้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นผู้หนึ่ง แน่นอน เรื่องนี้เขาก็ไม่เคยยอมรับ
ในปีนั้นเด็กประหลาดไม่ได้ไปศึกษาที่สำนักเทียนเต้าเหมือนกับใต้เท้าสังฆราช และก็ไม่ได้ติดตามใต้เท้าสังฆราชไปศึกษาที่พระราชวังหลี แต่กลับไปสำนักที่กฎระเบียบเคร่งครัดที่สุด การฝึกบำเพ็ญเพียรโหดทารุณที่สุด ก็คือหอจงซื่อ เล่ากันว่าสาเหตุเพราะเขาไม่อยากมีทางเดินเดียวกันกับใต้เท้าสังฆราช
กฎระเบียบที่เคร่งครัดของหอจงซื่อ หมดวิธีที่จะขัดขวางความเหี้ยมโหดกระหายเลือดของเด็กประหลาด การฝึกบำเพ็ญเพียรที่โหดร้ายทารุณ กลับทำให้พละกำลังของเขายิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง มีคนจำนวนน้อยในจิงตูที่กล้ายุแหย่เขา ถึงแม้จะเป็นผู้แกร่งกล้าพบเจอเขาก็ต้องหลบไกลออกไป อาจเพราะมีสาเหตุมาจากเรื่องเล่าขานนั้น
ลูกศิษย์ของใต้เท้าสังฆราชไม่เหมือนกับคนทั่วไป
แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องเล่าขาน แต่เรื่องที่ทุกคนล้วนทราบกันดี
เด็กประหลาดของหอจงซื่อผู้นี้มีนามว่าเทียนไห่หยาเอ๋อร์
เขาคือคนตระกูลเทียนไห่
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แซ่เทียนไห่
เด็กประหลาดแห่งหอจงซื่อผู้นี้ ก็คือหลานชายของนาง
มีสายตานับไม่ถ้วนจ้องเขม็งเมื่อเทียนไห่หยาเอ๋อร์เดินเข้ามาในอาคาร เสื้อผ้าสะบัดกวัดแกว่งเบาๆ เย่อหยิ่งจนไม่สามารถอธิบายได้ มองคล้ายกับรูปหน้าที่ขาวซีดไม่แข็งแรง เต็มไปด้วยความเย็นชาและดูถูกเหยียดหยาม นั่นเป็นความเย็นชาที่มีต่อชีวิต และดูถูกเหยียดหยามต่อ…ทุกคน
ปีนี้เขาเพิ่งจะครบสิบสองปี ยังคงเป็นหนุ่มน้อย หากยังเหมือนเด็กชายเสียมากกว่า แต่เขาได้สังหารผู้คนจำนวนมาก พบเจอเรื่องราวมากมาย มีประสบการณ์และความสามารถแข็งแกร่ง ทำให้ลักษณะความคิดกับการกระทำของเขาแปลกประหลาดพิสดาร เป็นคนที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริง
เฉินฉางเซิงจ้องมองเด็กชายที่สูงเพียงแค่หน้าอกกำลังเดินมาทางตน รู้สึกว่ากลิ่นคาวโลหิตที่เข้ามาในจมูกยิ่งนานยิ่งรุนแรง ยิ่งนานยิ่งไม่ชื่นชอบ
เทียนไห่หยาเอ๋อร์กลับไม่ได้มองมาที่ตน เขาจ้องมองนักเรียนหนุ่มสาวที่นั่งอยู่บนที่นั่งรอบๆ กาย แท้จริงแล้วในสายตาไม่มีผู้ใดอยู่ หัวเราะเยาะพลางกล่าวเย้ยหยัน “พวกคนโง่เขลา คิดว่าเข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้จะได้รับประโยชน์รึ สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงแค่ตัวละครที่ถูกเหยียดหยาม”
นักเรียนที่นั่งอยู่บนที่นั่งเหล่านั้น ผ่านความลำบากยากเข็ญหลายต่อหลายครั้ง ถึงจะสอบผ่านการเตรียมสอบของการสอบใหญ่สำเร็จ มีคุณสมบัติเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ถึงแม้จะรู้ชัดเจน พวกตนเป็นเพียงฉากให้นักเรียนสำนักไม้เลื้อยทั้งหก แต่เลี่ยงไม่ได้ที่จะยังเฝ้าคอย เวลานี้ฟังคำพูดที่โหดร้ายไร้ความรู้สึกของเด็กชายผู้นั้น ทันใดนั้นจึงโกรธขึ้นมา
เทียนไห่หยาเอ๋อร์กะพริบตาหนึ่งที น้ำเสียงที่เยือกเย็นราวกับคมดาบผ่านทะลุซอกฟันออกมา เอ่ยตะโกน “อยากตายหรือ”
ฐานะความเป็นมาของเด็กผู้นี้ยังมีระดับมีกำลังทั้งอ่อนทั้งแข็ง ได้ถ่ายทอดออกมาให้กับผู้ที่นั่งในที่ประชุม บรรดานักเรียนหนุ่มสาวถึงแม้จะโกรธ กลับไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้น ไม่ต้องเอ่ยว่าคู่ต่อสู้เป็นเด็กชาย ถึงแม้จะทำได้ พวกเขาจะกล้าลงมือกับเขาเช่นนั้นหรือ
“พอแล้ว” หัวหน้าหอจงซื่อ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย
เทียนไห่หยาเอ๋อร์พึมพำด้วยความไม่พอใจ ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก แต่ขมวดคิ้วด้วยอารมณ์ไม่สู้จะดีนัก แสดงว่าแม้แต่อาจารย์ของเขาก็มิได้เกรงใจ
สิ่งที่แปลกใจก็คือ กล่าวตามเหตุผล อาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าซึ่งเป็นผู้ควบคุมการชุมนุมไม้เลื้อยครั้งนี้ อาจจะเพราะสาเหตุบางประการจึงไม่อยากยับยั้งเด็กประหลาดหอจงซื่อผู้นี้ แต่ในสนามยังมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อย ดังเช่นใต้เท้ามุขนายก ดังเช่นขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจี พวกเขามีคุณสมบัติและความสามารถเพียงพอที่จะยับยั้งเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้
พวกเขากลับยังคงเงียบนิ่งเช่นเดียวกัน หรืออาจจะกำลังครุ่นคิดสาเหตุแท้จริงที่เด็กประหลาดผู้นี้ปรากฏตัวออกมา เพียงเด็กประหลาดผู้นี้ลงมือจะต้องเกิดเหตุการณ์เข่นฆ่ากันอย่างเหี้ยมโหดเป็นแน่ หอจงซื่อต้องไม่ให้เขาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยถึงจะถูก เรื่องนี้เป็นความต้องการของพระราชวังหลีหรือว่าเป็นความต้องการของคนในพระราชวังกัน
หรือแท้จริงแล้วเด็กประหลาดผู้นี้มาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยเพราะสำนักฝึกหลวง ชัดเจนยิ่งนักว่าไม่ใช่ สำนักฝึกหลวงที่ทรุดโทรมไปแล้ว หากจะเอ่ยกับเขา คงไม่มีแรงดึงดูดมากพอ
เขามองไปยังที่นั่งของสำนักเทียนเต้า มองไม่เห็นคนที่เขาอยากจะเห็น รู้สึกผิดหวัง ด้วยนี้จึงโมโห เปล่งเสียงแหลมเล็กออกมา “ถังซานสือลิ่วล่ะ คนบ้านนอกโง่เง่าผู้นั้นไม่ใช่ว่าจะสังหารข้าหรอกรึ เขาอยู่ไหน หรือว่ากลัว!”
นอกจากผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีผู้ใดสนใจความสามารถและความเป็นมาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์
จวงห้วนอวี่จ้องมองเขาเอ่ยด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “หากยังก่อความวุ่นวาย อีกสักครู่ข้าจะไม่ถือสาท้าประลองกับเจ้าเป็นคนแรก”
ในฐานะที่เป็นตัวแทนของสำนักเทียนเต้า ผู้มีพรสวรรค์อันดับที่สิบของประกาศชิงอวิ๋น คำพูดที่เย็นชาของเขา ยังคงมีพลังมากกว่าความโกรธของนักเรียนที่กำลังนั่งอยู่รวมกันทั้งหมดเสียอีก
เทียนไห่หยาเอ๋อร์หัวเราะเสียงแปลกประหลาด เขาเอาลิ้นสีแดงโลหิตเลียริมฝีปากของตน กล่าวว่า “เจ้าคงจะไม่เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กใช่ไหม”
ประโยคนี้ของเขาคล้ายกับจะเล่นแง่ กลับพิสูจน์ว่าผู้นี้ดูเหมือนเย่อหยิ่งเจ้าอารมณ์ แท้จริงแล้วสงบนิ่งอย่างยิ่ง และยังเกรงกลัวจวงห้วนอวี่อย่างยิ่ง
เวลานี้ มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากทีหนึ่ง ราวกับว่ากำลังเย้ยหยันเด็กประหลาดหอจงซื่อที่รังแกคนอ่อนแอแต่เกรงกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่า ช่างขายหน้ายิ่งนัก
ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเขาหยุดโดยฉับพลัน มองไปยังแหล่งของเสียงหัวเราะ
คนจำนวนมากก็มองไปยังเสียงหัวเราะตามเขา
ใต้เท้ามุขนายกกับสวีซื่อจียังคงนิ่งเงียบ อาจารย์ดูแลเทียนเต้าราวกับให้สถานการณ์พาไป นอกจากผู้แกร่งกล้าหนุ่มน้อยจวงห้วนอวี่ผู้มีชื่อเสียง ผู้ใดกล้าหัวเราะเยาะเด็กแปลกประประหลาดผู้นี้ หรือว่าคนผู้นั้นไม่กลัวตาย
เสียงหัวเราะมาจากที่นั่งของสำนักเด็ดดารา
เป็นหนุ่มน้อยที่มีรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น
เฉินฉางเซิงรู้จักหนุ่มน้อยผู้นั้น เมื่อสอบเข้าสำนักเด็ดดารา
เขารู้สึกเป็นห่วงหนุ่มน้อยผู้นี้
เพราะว่าแววตาของเทียนไห่หยาเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ไม่ได้มีความเหี้ยมโหด แต่จ้องมองหนุ่มน้อยที่มีร่างกายสูงใหญ่ราวกับกำลังมองคนที่ตายไปแล้ว
เวลานี้ นายทหารที่นำนักเรียนสำนักเด็ดดารามาในค่ำคืนนี้ ใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวถาม “หรือว่าหัวเราะไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
ถึงแม้เป็นเด็กประหลาดอย่างเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ก็รู้ว่าสำนักเด็ดดาราไม่อยากจะก่อเรื่องราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ตนไม่มีเหตุผลเพียงพอ
เขาจ้องมองหนุ่มน้อยที่มีร่างกายสูงใหญ่ผู้นั้น แสยะยิ้มออกมา เห็นฟันสีขาวเต็มปาก เหมือนกับลูกสัตว์ที่สงบนิ่งอย่างผิดปกติก่อนที่จะบ้าคลั่ง
ผ้าม่านหลังอาคารค่อยคลี่เปิดออก อยู่ภายใต้ดวงดาวดาษเดียรเต็มท้องฟ้า เป็นเวทีที่ทำจากหินแผ่นใหญ่ทั้งแผ่น มีเตาไฟทองแดงหลายสิบอัน กลิ่นหอมจรุงใจกำลังเผาไหม้จิตใจที่สงบนิ่งมั่นคง และด้านล่างลึกเข้าไปของเตาไฟทองแดงฝังค่ายกลป้องกัน มีอาจารย์ฝึกสอนของสำนักเทียนเต้าเป็นผู้ดูแล มั่นใจว่าขณะต่อสู้จะไม่มีแรงปะทะออกไปนอกเวที
การชุมนุมไม้เลื้อยได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วไม่ได้จากไป เป็นเพราะลั่วลั่วดึงแขนเสื้อเขาเบาๆ และเพราะว่าเขารู้สึกเป็นห่วงหนุ่มน้อยสำนักเด็ดดาราผู้นั้น และก็เพราะว่าเด็กประหลาดจากหอจงซื่อได้เอ่ยถึงถังซานสือลิ่วสหายของเขา
ตามระเบียบปฏิบัติของการชุมนุมไม้เลื้อยปีที่แล้วๆ มา อันดับแรกจะให้นักเรียนที่มาจากทุกแห่งประลองกับบรรดานักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหกเพื่อชี้แนะคุณลักษณะของการต่อสู้ หากความสามารถของทั้งสองแตกต่างกันมาก กลับจะง่ายต่อการควบคุมเสียด้วยซ้ำไป ปกติแล้วจะไม่ปรากฏสิ่งใดที่เกิดความคาดหมาย
แต่การชุมนุมไม้เลื้อยปีนี้เกิดสิ่งที่เกินความคาดหมายมากมาย สำนักฝึกหลวงปรากฏต่อหน้าผู้คนบนโลกใบนี้ใหม่อีกครั้งโดยมิได้คาดคิด เด็กประหลาดที่กระหายเลือดคิดไม่ถึงถูกหอจงซื่อปล่อยออกมา สถานการณ์ที่คลุมเครือ ก็มีคลื่นใต้น้ำที่อันตรายได้ล้นทะลักออกมา เป็นธรรมดาที่จะมีสิ่งที่เกินความคาดหมายได้เกิดขึ้นต่อไปอีก
ไม่รอให้อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าลงมือประกาศรายชื่อของผู้ต่อสู้ มีเงาหนึ่งได้ปรากฏบนเวที
เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองไปยังทิศทางของสำนักเด็ดดารา หัวเราะออกมา “เมื่อกี้มีคนถาม หัวเราะไม่ได้อย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าหัวเราะได้ การชุมนุมไม้เลื้อยเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องน่าขบขัน ทุกคนก็สามารถหัวเราะได้ เจ้ามอง ข้าก็กำลังหัวเราะ”
เขาเป็นเด็กชาย การหัวเราะจึงไร้เดียงสาอย่างยิ่ง แต่ใบหน้าที่ขาวซีด ริมฝีปากสีแดงโลหิต ดังนั้นจึงราวกับว่าโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง
“เพียงแค่…ตอนนี้ข้าเตรียมที่จะสังหารเจ้า”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ราวกับจ้องมองผู้ที่เสียชีวิตแล้ว กำลังจ้องมองหนุ่มน้อยที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น กล่าวถามอย่างจริงจัง “ตอนนี้เจ้าจะยังหัวเราะได้มีความสุขเหมือนเมื่อครู่ได้หรือไม่”
ภายในและภายนอกอาคารทั่วทั้งผืนเงียบสงัดอย่างยิ่ง ที่นั่งของสำนักเด็ดดาราก็ไม่มีเสียงใดๆ
จวงห้วนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้าก็ทราบกฎระเบียบของการชุมนุมไม้เลื้อย หากเจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้าจำต้องเป็นตัวแทนของสำนักเทียนเต้าลงมือเสีย”
“ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ดังนั้นข้าไม่อยากล่วงเกินเจ้า แต่มีคนล่วงเกินข้า เช่นนั้นจะทำอย่างไรเล่า”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์มองเขาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นมองไปยังอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า กล่าวว่า “ข้าจะไม่สังหารเขา พอหรือยัง”
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าใบหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยว่า “การเจรจาแลกเปลี่ยนของการชุมนุมไม้เลื้อย สิ้นสุดเพียงเท่านี้”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์มองไปยังทิศทางของสำนักเด็ดดาราอีกครั้ง
นักเรียนที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นสงบนิ่งชั่วครู่ ส่ายศีรษะเป็นการปฏิเสธอาจารย์ผู้สอน ค่อยๆ เดินขึ้นไปยังเวที
เขาเป็นนักเรียนใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของสำนักเด็ดดารา แต่ไม่ได้เย่อหยิ่ง น่ารักซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ได้รับความชื่นชอบจากบรรดาอาจารย์ และยังฝากฝังความหวังสูงสุดให้เขา มุ่งหวังให้เขาสามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ของปีหน้า ดังนั้นจึงพาเขามาร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยเป็นกรณีพิเศษ
เพราะว่าซื่อตรงไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ด้วยเหตุนี้จึงมุทะลุตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้เทียนไห่หยาเอ๋อร์โอหังอวดดี เมื่อทำให้ทุกคนตกใจกลัว เดิมทีเขาคิดว่าอาจารย์จะเอ่ยสิ่งใด คิดไม่ถึงอาจารย์จะนิ่งเงียบเช่นนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้เขารู้สึกผิดหวังกับสำนักเด็ดดารา ด้วยเหตุนี้จึงหัวเราะออกมา
ใช่แล้ว เขาพยายามหัวเราะออกมา
หนุ่มน้อยรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ อยากจะใช้เสียงหัวเราะบอกทุกคน สำนักเด็ดดารายังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่เข้าใจสิ่งใดที่เรียกว่าหวาดกลัว
จากเสียงหัวเราะที่ดังขึ้น เขาก็เตรียมตัวจะสู้รบ
เขารู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กประหลาดหอจงซื่อ แต่ยังมิได้รบ จะเอ่ยว่าถอยก่อนได้เช่นไร
เขามาถึงบนเวทีหิน ยืนประจันหน้ากับเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ร่างกายอยู่ภายใต้แสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า ราวกับว่าจะทำให้ร่างกายเพิ่มความสูงใหญ่มากขึ้น
“ข้าชื่อเซวียนหยวนผ้อ เป็นนักเรียนใหม่ปีหนึ่งสำนักเด็ดดารา”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์แสยะยิ้มพลางกล่าว “รีบเอ่ยก่อนว่าตนเป็นนักเรียนใหม่ปีหนึ่ง คงอยากให้ข้าออมมือรึ มองลักษณะที่โง่เขลาของเจ้า เกรงว่าคงจะยี่สิบกว่าแล้ว ปีนี้ข้าอายุสิบสอง ดังนั้นวางใจเถอะ ข้าจะไม่ออมมือเป็นแน่”
หนุ่มน้อยร่างกายสูงใหญ่นามว่าเซวียนหยวนผ้อผู้นี้ เอ่ยด้วยความซื่อตรง “ข้าเพียงแค่โตเร็วไปหน่อย ปีนี้อายุสิบสามปี และยังเป็นนักเรียนใหม่ปีหนึ่งจริงๆ แน่นอน ข้าอายุมากกว่าเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องออมมือ”
“ดีมาก” เทียนไห่หยาเอ๋อร์หุบใบหน้าที่แสยะยิ้มลง
เซวียนหยวนผ้อรวบรวมสติตั้งมั่น กำหมัดแน่นราวกับก้อนหิน เอ่ยว่า “กรุณาชี้แนะด้วย”
ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ กำหมัดส่งไปอย่างตามสบายยิ่ง!
ลมพายุที่น่ากลัว ก่อเกิดบนเวทีหิน พัดกระหน่ำหมุนวนด้วยความเร็ว
หมัดของเขา ก็คือศูนย์กลางของพายุลูกนี้!
ท้องฟ้ายามราตรีรอบๆ เวทีหิน พลันปรากฏฉากกำบังที่คล้ายจะมีอยู่คล้ายจะไม่มีอยู่ขึ้น
ฉากกำบังผืนนั้นเปลี่ยนรูปร่างได้ แสงดวงดาวที่ผ่านเข้ามาราวกับว่ามืดสลัวมากเป็นพิเศษ
ทั่วทั้งผืนเงียบสงัดอย่างยิ่ง
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองหมัดนั้นของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ตกตะลึงไร้คำพูด
ทุกคนล้วนแต่ล่วงรู้ เด็กประหลาดหอจงซื่อผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีสายเลือดของตระกูลเทียนไห่ และรวมกับความรู้ที่ใต้เท้าสังฆราชถ่ายทอดให้ แล้วจะไม่แข็งแกร่งได้อย่างไร
แต่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้!
เพียงแค่หมัดที่ง่ายๆ หนึ่งหมัด ก็สามารถดึงดูดพลังของลมพายุได้ ทำให้ม่านกำบังที่บรรดาอาจารย์ฝึกสอนของสำนักเทียนเต้าร่วมกันประสานกำลังสร้างขึ้นเปลี่ยนรูปร่าง!
ทุกคนจ้องมองใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดของเด็กชาย คิดว่าปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบสองปี ยิ่งทำให้ตกตะลึงขึ้นไปอีก
หากเขาอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น จะอยู่ในอันดับเท่าไหร่
การสอบใหญ่ปีหน้า เขาจะเข้าอยู่ในรอบไหน
ไม่มีผู้ใดคิดว่าเซวียนหยวนผ้อสามารถต้านทานหมัดนี้ได้ แม้จะเป็นอาจารย์ฝึกสอนกับนักเรียนสำนักเด็ดดาราก็ด้วย
แต่ว่าเกินความคาดหมายของทุกคน หมัดของเทียนไห่หยาเอ๋อร์สุดท้ายก็ถูกต้านทานไว้ได้!
หมัดทั้งสองปะทะกัน ก่อเกิดเป็นเสียงดังตูมสนั่นหวั่นไหว ฉากกั้นที่อยู่รอบๆ เวทีหินจึงเปลี่ยนรูปอีกครา!
ริมฝีปากของเซวียนหยวนผ้อมีโลหิตไหลออกมา ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อย ขาทั้งสองทะลุเข้าไปในแผ่นหินที่แข็งแกร่ง เสื้อผ้าถูกพายุหมัดของเทียนไห่หย่าเอ่อร์ทำให้ขาดกระจุยกระจาย ความพ่ายแพ้ได้ปรากฏออกมา แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ล้มลง ไม่ได้ถอยไปข้างหลังแม้แต่ก้าวเดียว!
เพราะว่าหมัดทั้งสองที่ปะทะกันเพียงชั่วพริบตา มีความผิดปกติเกิดขึ้น!
หนุ่มน้อยผู้นี้ร่างกายสูงใหญ่อย่างยิ่ง หมัดก็ใหญ่ แต่เวลานี้สุดท้ายแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นใหญ่ขึ้นกว่าเดิม!
ที่ยิ่งทำให้ผู้คนตกใจก็คือ ด้านนอกของหมัดเขามีขนสีดำหนาปรากฏขึ้นมา แม้แต่แขนขวาที่เปลือยออกมานั้น ก็เต็มไปด้วยขนสีดำยาว!
แขนขวาของเขาพลันขยายพองขึ้น ระยะเวลาชั่วพริบตา ก็แปรเปลี่ยนเป็นหนาใหญ่แข็งแรงกว่าขาของคนปกติ!
กล้ามเนื้อที่แข็งแรงเหล่านั้น เหมือนกับเสาเหล็กเป็นเส้นๆ รวมกัน ข้างในราวกับซุกซ่อนพละกำลังอันไร้ขอบเขตไว้!
ด้วยเหตุนี้ เขาถึงสามารถต่อต้านหมัดที่น่าเกรงกลัวของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ได้!
“อสูรจำแลง!”
“คาดไม่ถึงว่าคือเผ่าปีศาจ!”
บนเวทีหินมีเสียงตกใจดังขึ้นกลัวนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะนักเรียนที่นั่งอยู่ที่นั่งเหล่านั้น มีคนจำนวนมากเป็นครั้งแรกที่เพิ่งเคยพบเห็นภาพเช่นนี้ในชีวิต ตื่นตระหนกตกใจตะโกนลั่นติดต่อกัน
นักเรียนที่ศึกษาอยู่ที่สำนักไม้เลื้อยทั้งหก ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง
มีเพียงแค่บรรดาทหารของสำนักเด็ดดาราที่ล่วงรู้เรื่องราวก่อนหน้าเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด แต่ถึงแม้จะเป็นพวกเขา ก็คิดไม่ถึงว่านักเรียนใหม่เผ่าปีศาจผู้นี้ ภายใต้แรงกำลังที่น่าหวาดกลัวของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ สุดท้ายแล้วหยิบยืมความสามารถอสูรจำแลง แสดงความสามารถเหนือระดับการฝึกบำเพ็ญเพียรในเวลาปกติ
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็คิดไม่ถึง เดิมทีเป็นคู่ต่อสู้ที่ตนก็ดูถูก คิดไม่ถึงว่าสามารถต้านทานหมัดของตนได้
นี่ทำให้เขารู้สึกอับอาย
นี่ทำให้เขาโกรธแค้นอย่างยิ่ง
เขาคล้ายกับจะตะโกนเสียงแหลมเล็กอย่างบ้าคลั่งออกมา ราวกับเด็กที่ถูกแย่งของเล่น
อาจารย์ฝึกสอนหอจงซื่อได้ยินเสียงคำราม ลักษณะท่าทางแปรเปลี่ยนฉับพลัน
ลมพายุได้เริ่มขึ้นอีก!
มีสายฟ้าแลบจำนวนมากส่องแสงเลือนรางอยู่ในนั้น
หมัดของเทียนไห่หยาเอ๋อร์มุ่งไปข้างหน้าต่อไป ใช้พละกำลังบดขยี้ ทะลุทะลวงกำลังการตั้งรับที่แข็งแกร่งของเซวียนหยวนผ้อ!
“เจ้าต่อต้านอีกสิ!”
บนเวทีหิน เด็กชายผู้นั้นกำลังร้องเสียงแหลมอย่างบ้าคลั่ง
แขนอสูรจำแลงของเซวียนหยวนผ้อ เป็นควันลอยขึ้นไป ชั่วพริบตาถูกลมพายุพัดกระจาย
พละกำลังที่น่าหวาดกลัว ทำให้ข้อมือของเขาเข้ามาชิดที่หัวไหล่
เขายากที่จะประคับประคอง กระอักโลหิตถอยไปข้างหลัง
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ติดตามราวกับเงาภูตผี ส่งหมัดเข้าไปอีกครั้ง!
เซวียนหยวนผ้อกัดฟันร้องด้วยความโกรธแค้น ยกหมัดข้างขวาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝืนต่อต้าน
“พอแล้ว!”
เสียงตะโกนเยือกเย็นของจวงห้วนอวี่จากด้านล่างเวทีดังขึ้น
เกือบจะเวลาเดียวกัน อาจารย์ฝึกสอนของหอจงซื่อและยังมีอาจารย์ฝึกของสำนักเด็ดดาราล้วนแต่ยืนขึ้น ตะโกนด้วยความกระวนกระวายใจติดต่อกัน “รีบวางมือ!”
มีเพียงแค่บุคคลที่ความสามารถเพียงพอ ถึงจะมองเห็นว่าเซวียนหยวนผ้อได้พ่ายแพ้แล้ว แต่หมัดนี้ของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ ส่งมาแค่เพียงเพราะอยากจะทำลายแขนนี้ของเขา
เผ่าปีศาจมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการจำแลงกายเป็นอสูร แต่หากได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะจำแลงกาย ก็ยากที่จะฟื้นฟู!
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ สุดท้ายแล้วอยากจะทำให้หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้เปลี่ยนเป็นคนพิการ!
เสียงซ่าดังขึ้น
โลหิตสีแดงสดของเซวียนหยวนผ้อ สาดกระเซ็นไปยังด้านหลัง ตกลงมาบนเวทีหินเป็นชั้นๆ กระทบลงสั่นสะเทือนกับฝุ่นละออง
เขายังรั้นที่จะตะเกียกตะกายลุกขึ้นอีกครา แต่ไม่มีแรงที่จะยันกายลุกขึ้น
เขาเคยคิดว่าเป็นแขนขวาที่โอหัง เป็นแขนขวาที่เคยแข็งแกร่งหาสิ่งใดเปรียบ เวลานี้จวนเจียนห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ใช้การไม่ได้
ทั่วทั้งผืนเงียบสงัดอย่างยิ่ง
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา จ้องมองเขาราวกับอยู่บนที่สูงมองลงที่ต่ำ
แต่ไหนแต่ไรมาการชุมนุมไม้เลื้อยน้อยมากที่จะหลั่งโลหิต แต่ภาพนี้ กลับโหดเหี้ยมน่าเวทนาเช่นนี้
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเดินไปบนเวที ส่ายศีรษะพลางกล่าว “เจ้าลงมือหนักเกินไปแล้ว”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้ารับปากท่านว่าจะไม่สังหารเขา แต่ไม่ได้รับปากว่าจะไม่ให้เขาพิการ”
“ได้ยินมาว่าเผ่ามารของพวกเจ้าพละกำลังแข็งแกร่งมิใช่หรือ”
เทียนไห่หยาเอ๋อร์จ้องมองเขา หัวเราะเย้ยหยันเบาๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็เพียงแค่นี้”
เซวียนหยวนผ้อจ้องมองแขนขวาที่ขาดของเขา พลันร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
เขาเป็นหนุ่มน้อยเผ่ามารที่ร่างกายสูงใหญ่และกล้าหาญ แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นอายุเพียงแค่สิบสามปี
ทั่วทั้งผืนเงียบนิ่ง ถึงแม้ว่าผู้คนสำนักเด็ดดาราจะโกรธแค้นจนไร้สิ่งใดเทียบเทียม แต่ก็ทำได้เพียงเงียบนิ่ง
สำนักฝึกหลวงที่อยู่ในมุมนั้น ก็เงียบนิ่งอย่างยิ่ง
ลั่วลั่วจ้องมองบนเวที
นางมองมือขวาที่มีโลหิตไหลรินของเด็กน้อยผู้นั้น
มือขวาที่อยู่ในแขนเสื้อของนางก็สั่นไหว
นางมองไปยังเฉินฉางเซิง
เฉินฉางเซิงกำลังจ้องมองบนเวที