ฝีมือของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า ผู้คนในอาคารนอกจากสวีซื่อจีกับมุขนายกสำนักการศึกษากลาง ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าต่อต้าน สวีซื่อจีเป็นขุนนางที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไว้วางใจ เป็นธรรมดาที่จะไม่ยับยั้งอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า และมุขนายกสำนักการศึกษากลางที่มีเหตุผลลงมือมากที่สุด กลับเหมือนกับนอนหลับก็มิปาน
จวงห้วนอวี่ถึงแม้จะเป็นอันดับสิบของประกาศชิงอวิ๋น แต่ความห่างระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับอาจารย์ก็ห่างกันอย่างยิ่ง เดิมทีเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งหมด สายตาจ้องมองศิษย์น้องที่จะต้องเสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขาวซีด หากแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้
ลั่วลั่วมองเห็นพลังจากปลายนิ้วทั้งสองที่ทะลุผ่านท่ามกลางอากาศ รับรู้ถึงเงาแห่งความตาย คิ้วได้รูปของนางค่อยขมวดขึ้นช้าๆ ท่าทางกลับสงบนิ่งเหมือนปรกติ เพราะว่านางรู้ หากไม่ใช่สถานการณ์เหมือนที่เผชิญหน้าในสำนักฝึกหลวงค่ำคืนนั้น อยู่ในจิงตูไม่มีผู้ใดสามารถสังหารนางได้
นางมีความมั่นใจเช่นนี้ ผู้อื่นไม่สามารถมีได้ ผู้คนทั่วทั้งอาคารร้องตะโกนด้วยความตกใจ
เวลาต่อมา มีคนยืนอยู่ข้างกายของนาง
ภาพด้านหลังนั้นไม่ได้สูงใหญ่ แต่สูงกว่านาง ดังนั้นจึงบดบังไว้สนิท
ลั่วลั่วจ้องมองภาพด้านหลังนั้น คิดถึงเหตุการณ์ที่คล้ายกับค่ำคืนนั้น
ครั้งนี้นางคิดถึงประโยคของท่านพ่อ เมื่อฟ้าถล่มลงมา ก็จะมีร่างกายสูงคอยบดบังแทนเจ้า
นางรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าก็ไม่ได้รู้สึกน่ารังเกียจเท่าไหร่
ในตอนที่หมัดของลั่วลั่วร่วงลงที่ท้องของเทียนไห่หยาเอ๋อร์ชั่วพริบตานั้น เฉินฉางเซิงได้ออกไปจากที่นั่งของสำนักฝึกหลวง เขารู้ว่าความเป็นมาของลั่วลั่วลึกลับ แต่เขาไม่เชื่อว่าคนของนางจะปรากฏมาทันเวลา ตนเป็นอาจารย์ของลั่วลั่ว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องยืนอยู่ด้านหน้านาง
เขามาทันเวลา
ในตอนที่อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าปรารถนาที่จะสังหารนาง สุดท้ายแล้วเขาจึงมาขัดขวางอยู่ด้านหน้าของลั่วลั่วได้ทันเวลา
มือขวาของเขากุมกระบี่สั้นตามแนวขวาง รู้สึกตึงเครียด
เขาไม่รู้ว่ากระบี่สั้นสามารถทัดทานพลังสังหารของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าได้หรือไม่ เขาไม่ได้คิดว่าหากสกัดกั้นไม่ได้จะทำเช่นไร เพราะว่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องครุ่นคิด
เอาเถอะ อันที่จริงเขาก็ได้ครุ่นคิดไว้แล้ว
มือซ้ายของเขากุมมือลั่วลั่วอยู่ด้านหลัง
มือใหญ่กำลังจับมือเล็ก ในฝ่ามือมีกระดุมเม็ดหนึ่ง
ปลายนิ้วมือของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเต็มไปด้วยพลังสังหาร รวบรวมกันเป็นเส้นตรง ดุเดือดรุนแรงอย่างยิ่ง
เฉินฉางเซิงคิดว่าอีกชั่วครู่ตนคงจะหายไปจากเวที คิดไม่ถึง ตนยังคงยืนอยู่ที่เดิม
เขาหันไปมองลั่วลั่วแวบหนึ่ง ในใจครุ่นคิดนี่เกิดอะไรขึ้น
เวลานี้ยังไม่ได้ใช้กระดุมพันลี้ พวกเราจะต้องเสียชีวิตแล้ว
เฉินฉางเซิงยังไม่เสียชีวิตอย่างแน่นอน ลั่วลั่วก็ยังไม่เสียชีวิต นางไม่ได้ใช้กระดุมพันลี้ อยู่ในจิงตูโดยเฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในสำนักเทียนเต้า ไม่มีผู้ใดสามารถสังหารนางได้ เพราะว่าในนี้มีคนล่วงรู้ฐานะของนาง และคนผู้นั้นยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเทียนเต้าอีกด้วย
สายลมเบาเย็นสบายพัดโชยมา รวบรวมเป็นเส้นตรง มองคล้ายกับว่าไม่สามารถทำลายแรงอาฆาตได้ เหมือนกับควันที่ออกมาจากปล่องไฟของชาวบ้าน ถูกพัดกระจายง่ายๆ เพียงใช้แรงเบา ๆ
สายลมเบาสบายออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้าง
ผู้อาวุโสผมสีขาวทั่วทั้งศีรษะ ปรากฏอยู่บนเวที แขนเสื้ออยู่ในสายลมยามราตรีสั่นไหวเล็กน้อย
ทั่วทั้งอาคารเคร่งขรึม สงบนิ่งผิดปกติ ทุกคนล้วนแต่ยืนขึ้น แม้แต่สวีซื่อจีกับมุขนายกสำนักการศึกษากลางก็มิยกเว้น
จวงห้วนอวี่และนักเรียนสำนักเทียนเต้าคนอื่นๆ คำนับลงบนพื้น แต่เพียงแค่กล่าวทำความเคารพก็ยังยากยิ่ง เพราะว่าตกตะลึง
“คารวะเจ้าสำนัก!”
“อาจารย์!”
ใช่ ผู้อาวุโสท่านนี้คือเจ้าสำนักเทียนเต้า สายลมออกมาจากแขนเสื้อทั้งสองข้างของเหมาชิวอวี่
ต่อมาก็คือ รองเจ้าสำนักเทียนเต้าที่ปรากฏตามมา
จวงห้วนอวี่จ้องมองรองเจ้าสำนัก ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทั่วทั้งผืนเสียงดังเกรียวกราว
ไม่มีผู้ใดคาดคิด เจ้าสำนักผู้แกร่งกล้าที่สุดของสำนักเทียนเต้าจะปรากฏออกมาเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าสำนักเหมาชิวอวี่เป็นผู้แกร่งกล้าในต้าลู่ มีฐานะสูงส่ง กล่าวตามเหตุผล การชุมนุมไม้เลื้อยคืนแรกไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถรบกวนผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินไปข้างหน้าเหมาชิวอวี่ โค้งตัวคำนับ หลังจากนั้นจึงเล่าสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ประสงค์จะช่วงชิงเอาส่วนสำคัญมาไว้ก่อน
เขาชัดเจนยิ่งนัก เหมาชิวอวี่ลงมือปกป้องหญิงสาวสำนักฝึกหลวงโดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้ เรื่องราวคืนนี้คงจะหมดหนทางเป็นไปตามแผนการที่เขาได้วางไว้ แต่เขาไม่อยากจะนำไฟกองนี้กลับมาแผดเผาร่างกายของตน ดังนั้นจึงเตรียมที่จะดับไฟเสีย
ทำร้ายผู้คนด้วยความโหดร้าย เลือดเย็นไร้ความปรานี ผู้แข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ
เมื่อฟังการรายงานของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้า ผู้คนที่อยู่ในอาคารสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นหลากหลาย
มูลเหตุที่กล่าวมานี้คือเทียนไห่หยาเอ๋อร์ หรือว่าคือหญิงสาวสำนักฝึกหลวงผู้นั้นกันแน่
เหมาชิวอวี่พลันหัวเราะออกมา
มุขนายกสำนักการศึกษากลางก็หัวเราะขึ้นมา
ทันใดนั้นอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ารู้สึกว่าจิตใจพลันหนาวเย็นขึ้นมา
มุขนายกสำนักการศึกษากลางหัวเราะแล้วยืดตัวลุกขึ้น เดินมุ่งไปยังนอกอาคาร กล่าวอย่างหมดเรี่ยวแรง “เหล่าเฉา รักษาหน้าหน่อย”
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าแซ่เฉา เขายืนเหม่อลอยอยู่บนเวที รู้สึกว่าประโยคของฝ่ายตรงข้ามไร้เรี่ยวแรง แต่กลับประหนึ่งว่าเป็นเสียงดังกังวานตบฉาดบนหน้าของตน
รองเจ้าสำนักเทียนเต้าจวงใบหน้าไร้ความรู้สึกให้สัญญาณว่าการชุมนุมไม้เลื้อยในค่ำคืนนี้สิ้นสุดลง
กลุ่มผู้คนค่อยๆ แยกย้าย ก่อนจากไปล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะมองไปยังบนเวที
เหมาชิวอวี่จ้องมองลั่วลั่ว คล้ายกับว่าอยากจะเอ่ยบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา มีเพียงรอยยิ้ม
เฉินฉางเซิงพาลั่วลั่วมุ่งไปคำนับเขา หลังจากนั้นเดินลงเวที กลับไปยังมุมเล็กๆ เพื่อไปเก็บสิ่งของที่ร่วงหล่นก่อนหน้านี้
ลั่วลั่วเดินตามหลังเขาอย่างว่านอนสอนง่าย คล้ายกับว่าน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
นางคิดว่าอยู่บนเวทีก่อนหน้านั้น สิ่งที่ตนแสดงออกมาป่าเถื่อนเกินไปหรือไม่ รุนแรงเกินไปหรือไม่ อาจารย์จะไม่ชอบลักษณะเช่นนั้นของตนหรือไม่
นางดึงแขนเสื้อเขา แหงนใบหน้าเล็กได้รูป หัวเราะแหะๆ ออกมา
เฉินฉางเซิงจ้องมองฟันเขี้ยวที่น่ารักของหญิงสาว ยิ้มออกมา ยื่นมือไปลูบศีรษะของนาง
การชุมนุมสิ้นสุดลง บรรดาผู้เข้าร่วมต่างแยกย้ายกลับ ในอาคารจึงเงียบเชียบไร้เสียง เหมาชิวอวี่กับอาจารย์ผู้ดูแลเฉายืนหันหน้าเข้าหากันอยู่บนเวที เริ่มบทสนทนา
“เพียงเพราะว่าต้องการจัดการสำนักฝึกหลวง จึงปล่อยให้เด็กประหลาดหอจงซื่อมาบ้าคลั่งที่การชุมนุมไม้เลื้อย เจ้าทำเรื่องนี้ได้บ้าบิ่นเสียจริง”
“ไม่ผิด ข้าทนมองสำนักฝึกหลวงไม่ได้ มีผู้คนจำนวนมากที่เหมือนกับข้า ข้าผิดอย่างนั้นรึ”
“อาฆาตแค้นรึ คงมิใช่ นั่นเป็นเรื่องเกือบยี่สิบปีมาแล้ว…ทุกคนชัดเจนยิ่งนักว่าเจ้าต้องการสิ่งใด”
“ข้าต้องการสิ่งใดรึ”
“ใต้เท้าสังฆราชให้เจ้าเป็นผู้ดูแลที่สำนักเทียนเต้า อยู่ในตำแหน่งมาสิบกว่าปี ทุกคนต่างเอือมระอา แต่นั่นก็สามารถเข้าใจได้”
“ท่านเจ้าสำนัก แต่ไหนแต่ไรมาข้าเคารพท่านอย่างยิ่ง”
“ท่านคือผู้ดูแลสำนักเทียนเต้า เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวก็จะเป็นมุขนายกสำนักการศึกษากลาง ทุกคนล้วนแต่หวั่นไหว”
เหมาชิวอวี่จ้องมองเขา เอ่ยราบเรียบ “แต่ว่าเจ้าทำผิดหลายเรื่องราว อันดับแรกเจ้าไม่ควรลากสำนักฝึกหลวงเข้ามา รองลงมาเจ้าไม่ควรใช้ประโยชน์คนที่เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะใช้ สุดท้ายเจ้าควรศึกษาให้ชัดเจนว่าคู่ต่อสู้ของเจ้าเป็นใคร”
ใบหน้าอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง เพราะว่าเจ้าสำนักเอ่ยสิ่งที่ตรงกับความคิดของเขา
ตำแหน่งของเขาคือใต้เท้าสังฆราชเป็นผู้จัดเตรียมให้ ผู้ดูแลเป็นบุคคลที่พระราชวังหลีคัดเลือกให้มาควบคุมสำนักที่แข็งแกร่งเหล่านี้ เนื่องจากเขาทำมาหลายปี ที่จริงก็รู้สึกเบื่อหน่ายเสียแล้ว เขาอยากเป็นมุขนายกสำนักการศึกษากลาง เพียงแค่เดินขึ้นไปข้างหน้าอีกแค่ก้าวเดียว ก็สามารถมองเห็นท้องฟ้าที่ไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิง ผู้ใดจะสามารถต้านทานความดึงดูดใจเช่นนี้ได้เล่า
แต่เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมรับ กล่าวต่อ “นิกายหลวงมีคนอยากจะอาศัยสำนักฝึกหลวงเพื่อหยั่งเชิง ข้าต้องการจัดการแทนใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ มีความผิดด้วยหรือ”
เหมาชิวอวี่ใบหน้าไร้ความรู้สึกพลางเอ่ย “ใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เรื่องนี้หรือไม่”
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้านิ่งเงียบชั่วครู่ เอ่ยว่า “เทียนไห่หยาเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นคนพิการ สำนักฝึกหลวง…ยังจะสามารถอยู่ต่อได้อีกหรือ ถ้าหากสำนักฝึกหลวงเกิดเรื่องราว เหมยหลี่ซาจะต้องรับผิดชอบ มองอย่างไรก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้าย”
“ไม่มีผู้ใดโง่เขลา ถึงแม้เทียนไห่หยาเอ๋อร์ก็ชัดเจนยิ่งนักว่าเจ้าใช้ประโยชน์จากเขา”
เหมาชิวอวี่กล่าวว่า “น่าเสียดาย เป็นเจ้าที่โง่เขลา”
อาจารย์สำนักเทียนเต้ากล่าวถามด้วยความไม่ยินยอม “นักเรียนสตรีของสำนักฝึกหลวงผู้นั้นคือใคร”
เหมาชิวอวี่หันกายเดินออกไปยังอาคาร พลางกล่าว “นั่นมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญอยู่ที่…ใต้เท้ามุขนายกได้ดูแลสำนักการศึกษากลางเป็นระยะเวลาหลายสิบปี เป็นเวลานานยิ่งกว่าใต้เท้าสังฆราชได้รับตำแหน่งมา บุคคลเช่นนี้เจ้าคิดว่าใช้กลอุบายสกปรกจะสามารถจัดการได้หรือ”
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจ้องมองภาพด้านหลังของผู้อาวุโส ใบหน้าโกรธจนเขียวเอ่ยว่า “ข้ารู้เพียงว่าหลานชายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถูกทำให้พิการ…เรื่องนี้จะต้องมีคนให้ผลสรุป ถึงแม้ใต้เท้าสังฆราชมิได้กล่าวโทษ ความโมโหของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะต้องมีคนรับผิดชอบมิใช่หรือ”
เหมาชิวอวี่ไม่ได้หมุนกายกลับมา เอ่ยถาม “เจ้าไม่รู้จริงหรือว่าควรเป็นใครที่จะมารับผิดชอบเรื่องราวคืนนี้”
อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าอย่างเฉาเล่ยจี รู้ดีว่าค่ำคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายในชีวิตของตน
ลั่วลั่วไม่อยากถูกผู้คนมุงดู ด้วยเหตุนี้หลังจากหารือกับเฉินฉางเซิง ถือโอกาสหนีเข้าไปในป่า นางพาเขาไปเส้นทางเล็กๆ เป็นเส้นทางที่นางคุ้นเคยและเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี ผลักประตูสองบานที่หนักอึ้งออก เดินอ้อมอาคารเล็กๆ เดินออกจากประตูหลังของสำนักเทียนเต้าออกมากลางตรอกโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
เฉินฉางเซิงเคยได้ยินว่าเมื่อก่อนนางเคยมาศึกษาที่สำนักเทียนเต้า จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เดินเข้าออกประตูหลังตลอดเลยรึ”
ลั่วลั่ว เอ่ยว่า “ไม่ใช้ประตูหลังแล้วจะมาศึกษาที่สำนักเทียนเต้าได้อย่างไร”
เฉินฉางเซิงคาดเดาไว้ จึงเอ่ยถาม “เวลานั้นคนที่สอนเจ้า…ก็คือท่านเหมาชิวอวี่เจ้าสำนักเทียนเต้ารึ”
ลั่วลั่วเอ่ย “อืม” เป็นการตอบรับ
เฉินฉางเซิงถอดทอนหายใจ พลางกล่าว “เช่นนี้ก็คงต้องเข้าออกประตูหลังจริงๆ”
ลั่วลั่ว เอ่ยว่า “การบรรยายของเจ้าสำนักเหมา ยังห่างจากอาจารย์มากนัก”
ตนถูกลั่วลั่วนำมาเปรียบเทียบกับเจ้าสำนักเทียนเต้าในตำนาน เรื่องนี้ช่างเหลวไหลอย่างยิ่ง
“อย่าได้พูดเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ หากมีผู้ใดได้ยินคงจะถูกหัวเราะเยาะ”
เฉินฉางเซิงกล่าวด้วยสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกดีอย่างยิ่ง
แต่หลังจากเขาเห็นรถม้าอยู่ตรงด้านหน้าทางเข้าตรอก ความรู้สึกดีพลันหายไปในอากาศ
รถม้าคันนั้นด้านข้างแขวนโคมไฟ บนนั้นมีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สวี’
เป็นรถม้าของจวนขุนพลเทพตงอวี้