เฉินฉางเซิงจ้องมองเซวียนหยวนผ้อที่อยู่ด้านหน้าตน คิดไตร่ตรองหลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมา “ลองใช้อสูรจำแลงกายกับแขนข้างขวา”
เพราะเซวียนหยวนผ้อเห็นว่าเขาต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของตน เดิมทีก็มิได้โอบอุ้มความหวังใดๆ นั่งบนพื้นมาเป็นระยะเวลายาวนาน รู้สึกเบื่อหน่ายนานแล้ว เวลานี้ได้ยินเขาให้ตนลองใช้อสูรจำแลงกายกับแขนขวาที่พิการไปแล้ว ใบหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดยิ่งนัก จ้องมองแววตาของเฉินฉางเซิงราวกับจะกลืนกินเขาทั้งเป็นมิปาน
“ไม่ได้ยินอาจารย์กล่าวอะไรรึ”
เซวียนหยวนผ้อจึงยินยอม อารมณ์โกรธหายภายในชั่วพริบตา เริ่มลองแปลงกายอย่างตรงไปตรงมา
ถึงแม้แขนขวาจะพิการ แต่เมื่อตอนอยู่ที่เผ่าเขาฝึกบำเพ็ญเพียรให้สามารถแปลงกายเฉพาะส่วนตามใจปรารถนาได้ตั้งนานแล้ว เพียงชั่วพริบตา กล้ามเนื้อแขนขวาที่สามารถมองเห็นของเขาเกิดการขยายตัว เปลี่ยนแปลงไม่หยุด ขยายตัวขึ้นจนทำให้เสื้อผ้าขาดกระจาย ผิวแขนภายนอกของเขาเต็มไปด้วยขนสีดำแน่นขนัดนับไม่ถ้วน แข็งแกร่งราวกับแปรงเหล็กกล้าก็มิปาน
เฉินฉางเซิงยื่นมือกุมข้อมือเขา รับรู้ถึงใจที่เต้นรุนแรง รู้สึกถึงชีพจรที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน รับรู้ถึงพลังปราณแท้ที่วุ่นวายทั้งหมด ตั้งใจรับรู้และวิเคราะห์ ในเวลาเดียวกันก็เปรียบเทียบกับตำราที่บันทึกเกี่ยวข้องกัน
เวลาผ่านไปช้าๆ เซวียนหยวนผ้อจ้องมองท่าทางที่จริงจังและหนักแน่นของเขา ทันใดนั้นเกิดความหวัง ด้วยเหตุนี้จึงตื่นเต้นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เฉินฉางเซิงจึงคลายมือออก
ลั่วลั่วเอ่ยถาม “อาจารย์ เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบคำถามของนาง ก่อนหน้านี้ให้นางไปหยิบกล่องเข็มในกล่องสัมภาระ หยิบเข็มทองแดงมาเล่มหนึ่ง จึงแทงลงไปอย่างตามสบาย
เข็มทองแดงเล่มนี้เป็นเล่มที่ใหญ่ที่สุดในกล่องเข็ม ที่สำคัญคือมันใช้สำหรับการไหลเวียนของโลหิต แต่เวลานี้กลับถูกเขามาใช้ประโยชน์อย่างอื่น
ภายนอกของเข็มทองแดงเย็นเฉียบมีแสงสะท้อน ปลายเข็มแหลมคมอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่เซวียนหยวนผ้อแปลงกาย ผิวหนังแข็งแกร่งทรหดอย่างยิ่ง อาวุธธรรมดาก็ไม่สามารถแทงทะลุเข้าไปได้ กล่าวตามเหตุผลเดิมทีไม่สามารถรักษาด้วยเข็มได้ แต่ใครจะคิด เขาใช้นิ้วมือทั้งสองจับเข็มทองแดงก็สามารถแทงเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” เขามองดวงตาของเซวียนหยวนผ้อพลางเอ่ยถาม
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยว รับรู้เพียงชั่วครู่ กล่าวว่า “รู้สึก…ชา”
เฉินฉางเซิงหมุนปลายเข็มเบาๆ แล้วกล่าวถาม “ตอนนี้ล่ะ”
“ปวดเล็กน้อย” ท่าทางของเซวียนหยวนผ้อแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา
ไม่ว่าจะปวดหรือว่าชา มีความรู้สึกก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง แล้วจะกลัวอะไรกับความเจ็บปวดเล่า ดีกว่าหลายวันมานี้ที่หลังจากแขนขวาได้รับบาดเจ็บก็เหมือนกับก้อนหินมิปาน!
เซวียนหยวนผ้อจ้องมองเฉินฉางเซิง ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย ตกตะลึงนับถืออย่างสูงสุด
ถึงแม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อย แต่ฝ่ายตรงข้ามสามารถทำสิ่งที่อาจารย์ในสำนักเด็ดดาราจนกระทั่งแพทย์หลวงก็ไม่สามารถทำได้!
มองท่าทางของเขา ลั่วลั่วฮึมฮัมอยู่ในลำคอสองที ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยสงสัยในความสามารถของเฉินฉางเซิง นางคิดอย่างมุ่งมั่นว่าเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง จึงทำให้หลบซ่อนอยู่ข้างในลึกๆ ไม่เปิดเผยตัวออกมา
จากสวนร้อยหญ้ามาถึงสำนักฝึกหลวงหลายวันมานี้ เกิดเรื่องราวนับไม่ถ้วน ล้วนแต่พิสูจน์ความคิดของนาง
ตอนนี้แม้แต่คนของนาง เช่นผู้ช่วยจินกับผู้ดูแลหลี่ ล้วนแต่ใกล้ถูกนางพูดเกลี้ยกล่อมแล้ว
“จะต้องปลดปล่อยพลังปราณแท้เหล่านั้นออกให้หมด ฟื้นฟูชีพจรใหม่ ไม่ใช่เรื่องหนึ่งวันหนึ่งคืน”
เฉินฉางเซิงเก็บกล่องเข็ม มองไปยังลั่วลั่ว “อาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ข้าไม่แนะนำให้เขาออกจากจิงตูกลับไปยังเผ่าพันธุ์”
ลั่วลั่วเอ่ย “ล้วนแต่เชื่อฟังอาจารย์”
เฉินฉางเซิงมองเซวียนหยวนผ้อ กล่าวว่า “พักอยู่ที่สำนักฝึกหลวงเสีย ยังมีที่ว่างมากมาย”
สำนักฝึกหลวงมีพื้นที่กว้างใหญ่ ตอนนี้มีเพียงเขากับลั่วลั่วสองคน ที่จริงเหมือนกับกว้างขวางเงียบเหงา มีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งจะเป็นอะไรไป
เซวียนหยวนผ้อเวลานี้ยังคงตกอยู่ในความตกตะลึงกับความตื้นตันดีใจ คิดไปถึงก่อนหน้านี้แสดงกิริยาไม่มีมารยาทต่อเฉินฉางเซิง รู้สึกไม่สงบ ทันใดนั้นได้ยินประโยคนี้ แก้มจึงแดงก่ำ ปิดปากแน่นไม่ยอมเอ่ยสิ่งใด เกรงใจไม่ยอมรับความอาดูรนี้
เฉินฉางเซิงจ้องมองลั่วลั่ว พลางเอ่ย “เจ้าจัดการเถอะ”
ลั่วลั่วหยิบไม้เรียวขึ้นมา จ้องมองเซวียนหยวนผ้อ เอ่ยว่า “เจ้าพูดออกมา”
เซวียนหยวนผ้อไม่เอ่ยสิ่งใด เช่นนั้นก็หมายความว่า ท่านจะตีข้าให้ตาย ข้าก็ไม่พูด
ลั่วลั่วหมดหนทาง มองไปทางเฉินฉางเซิง เอ่ยถาม “อาจารย์ ทำอย่างไรดี”
เฉินฉางเซิงถามเซวียนหยวนผ้อ “ไม่ยอมรับน้ำใจหรือความช่วยเหลือใดๆ บางทีก็ไม่ใช่ความภาคภูมิใจ แต่คือโง่เขลา”
เซวียนหยวนผ้อกลัดกลุ้มใจ เกาศีรษะ พลางกล่าวว่า “ข้ารู้ แต่ทำไม่ได้”
เฉินฉางเซิงถอนทอนหายใจออกมา ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ลั่วลั่วรู้สึกโมโห เอ่ยถาม “ทำอย่างไรเจ้าถึงจะยินยอมอยู่ที่นี่”
เซวียนหยวนผ้อยากที่จะเอ่ยออกมา “ข้าไม่ใช่นักเรียนของสำนักฝึกหลวง”
ดวงตาลั่วลั่วเป็นประกายขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนี้ก็ง่ายดาย”
“หา”
“ให้เจ้าเปลี่ยนเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงก็ได้แล้ว”
“หา”
“ไม่ต้องสอบ”
“หา”
“เพียงต้องจดลงทะเบียนเสียหน่อย”
ลั่วลั่วได้รับความเห็นชอบจากเฉินฉางเซิง หยิบสมุดรายชื่อออกมาจากลิ้นชัก ถูหมึกแล้วใช้พู่กันจุ่มลงไป ส่งไปในมือเขา
เซวียนหยวนผ้ออ้าปากค้าง ถือพู่กัน มองรายชื่อทั้งสองที่อยู่บนสมุดรายชื่อ รู้สึกว่าไม่จริงจังเสียเลย
สำนักฝึกหลวงนับว่าเสื่อมโทรมลงไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหนึ่งในสำนักไม้เลื้อยทั้งหก เขียนรายชื่อลงไปง่ายดายเช่นนี้ ก็สามารถเป็นนักเรียนได้แล้วหรือ
เขาคิดใคร่ครวญ สุดท้ายแล้วจึงตวัดพู่กันลงไป
เขาตวัดชื่อของตนเองทีละขีด เส้นขีดแข็งทื่อ จังหวะการตวัดเขียนพู่กันเก้งก้างอย่างยิ่ง
ลั่วลั่ว เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้า เป็นนักเรียนสำนักฝึกหลวงคนที่สาม”
เซวียนหยวนผ้อ เอ่ยถาม “กฎสำนักมีอะไรบ้าง”
“ไม่มีกฎระเบียบ”
ลั่วลั่วเอ่ย “คำพูดของอาจารย์ก็คือกฎสำนัก อาจารย์ให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ทำ”
เซวียนหยวนผ้อเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ไม่มีเจ้าสำนักหรือว่าอาจารย์หรือ”
“อาจารย์ก็คือเจ้าสำนัก”
“อาจารย์ก็คือครู”
“แน่นอน อาจารย์ก็คือนักเรียน”
“สามตำแหน่งในหนึ่งคน ดังนั้นอาจารย์ก็คือสำนักฝึกหลวง”
ลั่วลั่วไม่คิดว่าประโยคของตนเองเหมือนกับบรรดาผู้นำในศาสนาที่ล้างสมองผู้เลื่อมใส แต่เพราะว่านางคิดเช่นนั้นจริงๆ
เซวียนหยวนผ้อรู้สึกกลัดกลุ้มใจ เอ่ยถาม “เช่นนั้นข้าเรียนกับเขาหรือ”
ลั่วลั่วไม่ยินยอมให้เวลา จิตใจ และกำลังของเฉินฉางเซิงค่อยๆ หมดไปบนร่างกายของผู้อื่น แม้เพียงจะเป็นหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจที่ตนชื่นชม นางจึงส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าสอนเจ้าเอง”
เซวียนหยวนผ้อได้ยินว่าต้องคารวะนางเป็นอาจารย์ ดีใจอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดเรื่องนี้จะต้องบอกให้แก่เผ่าเขา ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์จะต้องปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง
ลั่วลั่วได้เอ่ยออกมาอีก “ข้าคืออาจารย์ของเจ้า เช่นนั้นอาจารย์ก็คืออาจารย์ปู่ของเจ้า”
เซวียนหยวนผ้อกลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครา ในใจครุ่นคิดทันใดนั้นตนเองก็มีอาจารย์ปู่เพิ่มมาอีกหนึ่งท่านเลยรึ
เฉินฉางเซิงก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดจู่ๆ ตนเองก็มีศิษย์หลานเพิ่มมาอีกหนึ่งคนเลยรึ
ลั่วลั่ว กล่าวว่า “คารวะอาจารย์”
เซวียนหยวนผ้อเวลานี้ถูกเฉินฉางเซิงทำให้เลื่อมใส ผนวกเข้ากับความต้องการของลั่วลั่ว เขาจึงไม่ลังเลที่จะคารวะบนพื้น คำนับเฉินฉางเซิงสามครั้ง เป็นการคำนับที่ใช้แรงอย่างที่สุด จนฝุ่นตามซอกของพื้นขยับเล็กน้อย ถูกความนุ่มนวลกับแสงไฟส่องกระทบแปรเปลี่ยนเป็นคล้ายกับละอองของดวงดาวก็มิปาน
เฉินฉางเซิงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด หันหน้าออกนอกหน้าต่างคารวะไปทางทิศตะวันออกของแสงแดดยามอรุณ
เขาไม่คาดคิด ตนเองอายุเพียงสิบสี่ปีก็สามารถเป็นอาจารย์ปู่แล้ว
อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่
ศิษย์พี่ เหมือนกับว่าพวกเราคงจะต้องมีศิษย์น้องและนักเรียนอยู่ที่สำนักฝึกหลวงเสียแล้ว
กำลังรู้สึกปลง ทันใดนั้นด้านนอกหน้าต่างปรากฏเสียงที่ทะลุออกมาจากฟากฟ้า
ใบหน้าของถังซานสือลิ่วปรากฏที่หน้าต่าง
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงที่คารวะอยู่ที่พื้น ตะลึงงันเอ่ยถาม “เจ้าทำสิ่งใดที่จะต้องขออภัยข้า คิดไม่ถึงว่าจะทำความเคารพอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้”
เฉินฉางเซิงจ้องมองใบหน้าที่ขาวซีด ถามด้วยความตื่นตกใจ “เจ้าบาดเจ็บหรือ”