ที่นั่งของสำนักฝึกหลวงอยู่ในมุม ไร้คนสนใจ เงียบเหงาอย่างยิ่ง เหมือนกับค่ำคืนแรกของการชุมนุมไม้เลื้อยไม่ผิดเพี้ยน ใจของเฉินฉางเซิงคิดแต่เรื่องการสู่ขอของคณะเจรจา จะมีอารมณ์สนใจเรื่องนี้อย่างไรเล่า ลั่วลั่วยิ่งไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยพรรค์นี้
นางให้ความสนใจท่าทางของเฉินฉางเซิง คาดเดาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ บางครั้งบางคราก็คีบผลไม้ให้เขากิน น้ำชาที่อยู่บนโต๊ะเพียงหางตาก็มิได้แล น้ำชาของพระราชวังสำหรับคนทั่วไปคงจะเป็นของชั้นหนึ่ง แต่ในสายตาของนางคุณภาพช่างต่ำนัก แล้วจะกล้าเอาเข้าปากได้อย่างไรกัน
หญิงในราชวังวัยกลางคนปรากฏทางด้านหลังของสำนักฝึกหลวง ใบหน้าไร้ความรู้สึก ราวกับว่าเยือกเย็นเย่อหยิ่ง มองจากลักษณะคงจะเป็นคนใกล้ชิดของผู้สูงศักดิ์ในราชวังผู้ใดผู้หนึ่ง เพียงแค่เข้าใกล้ลั่วลั่ว ใบหน้าที่เยือกเย็นของหญิงในราชวังผู้นี้แปรเปลี่ยนเป็นเคารพนอบน้อมและมีไมตรีด้วยความพอดี น้ำเสียงก็ควบคุมได้ดีอย่างยิ่ง เพียงแค่ให้ลั่วลั่วกับเฉินฉางเซิงได้ยินเท่านั้น
องค์หญิงแคว้นผิงเชิญเพคะ? เฉินฉางเซิงตะลึงงัน มองไปทางลั่วลั่ว ใช้สายตาไต่ถามว่าเป็นเรื่องอะไร
ลั่วลั่วมองไปยังด้านในของตำหนัก มองเห็นร่างของผู้ช่วยจินกับผู้ดูแลหลี่ในเงามืด รู้อย่างคร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องอันใด เอ่ยอย่างเกรงใจกับเฉินฉางเซิง “อาจารย์ เป็นเวลานานที่ข้าไม่ได้เข้าพระราชวัง อาจจะต้องไปดูเสียหน่อย”
เฉินฉางเซิงค่อยๆ คุ้นเคยกับความประหลาดใจที่ลั่วลั่วนำมาให้ จนกระทั่งรู้สึกมึนชา เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นสหายเก่า เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
ลั่วลั่วจ้องมองสายตาในตำหนักที่มองมายังที่นั่งของสำนักฝึกหลวงบ่อยๆ เอ่ยว่า “อาจารย์สบายใจได้ ชั่วครู่ข้าจะกลับมา”
เฉินฉางเซิงรู้ว่านางกำลังกังวลสิ่งใด และก็มิได้รู้สึกอึดอัด ยิ้มพลางกล่าวว่า “จะต้องกลับมาถึงจะถูก”
หลังจากนั้นชั่วครู่ ก็มีคนใกล้ชิดในราชสำนักมาเชิญ แต่ครั้งนี้กลับเชิญเฉินฉางเซิง เขาจ้องมองรูปร่างสูงใหญ่ตระหง่านราวกับขุนเขาที่อยู่ในความมืดตรงประตูด้านนอกข้างๆ ตำหนัก เงียบนิ่งชั่วครู่ แน่ใจว่าคนในตำหนักไม่ได้สนใจในการเคลื่อนไหวของตน ยืดตัวลุกขึ้นเดินไปทางนั้น
ประตูด้านข้างของตำหนักปิดลงเชื่องช้า ลำแสงของไข่มุกราตรีนุ่มนวลในตำหนักผ่านทะลุออกไปนอกหน้าต่าง กระทบลงมายังร่างของสวีซื่อจี ทำให้เค้าโครงร่างกายของสวีซื่อจีชัดเจนยิ่งขึ้น เฉินฉางเซิงจ้องมองภาพด้านหลังของเขา พลันรู้สึกตกตะลึง แต่กลับมิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ
“การชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สองเจ้าไม่ได้เข้าร่วม ข้าคิดว่าค่ำคืนนี้เจ้าก็จะไม่ปรากฏตัว”
สวีซื่อจีหันกาย จ้องมองเขาด้วยความเยือกเย็นเอ่ยออกมา “เพราะเหตุใดเจ้าถึงมา”
เฉินฉางเซิงเองก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดตนต้องมาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยคืนสุดท้าย อีกชั่วครู่เมื่อคณะเจรจาทิศใต้เป็นตัวแทนของชิวซานจวินสู่ขอสวีโหย่วหรง ตนควรจะทำอย่างไร แต่เขารู้ว่าเพราะเหตุใดสวีซื่อจีจะต้องพบกับตนเป็นการส่วนตัวนอกตำหนักก่อน
สาเหตุนั้นทำให้เขารู้สึกโมโห เขามองดวงตาของสวีซื่อจีพลางเอ่ยว่า “ท่านลุง ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ข้ามีคุณสมบัติเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย”
คำตอบนี้เป็นธรรมดาที่จะทำให้สวีซื่อจีไม่พึงพอใจ สิ่งที่ทำให้เขาไม่พอใจก็คือ เฉินฉางเซิงเรียกตนว่าท่านลุง เป็นคำเรียกที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโส ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นการพยายามเรียก มีความหมายที่หนุ่มน้อยได้ซุกซ่อนอยู่ในนั้น เป็นความหมายที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เขาจ้องมองเฉินฉางเซิงพลางกล่าว “ดูแล้ว เจ้าเตรียมที่จะไม่ปฏิบัติสิ่งที่ได้รับปากต่อไปแล้ว”
เฉินฉางเซิง เอ่ย “ข้ามิได้คาดหวังว่าจะมีใครสามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา แต่ตัวข้าเองจะทำให้ได้”
หลังจากที่เขาเข้ามาเมืองจิงตู จวนขุนพลเทพตงอวี้กดดันและสร้างความลำบากให้เขาหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่แน่ชัดกับสาเหตุนั้น มีผู้ยิ่งใหญ่ได้ออกหน้า ให้เขาเข้าสำนักฝึกหลวง วางแผนแลกเปลี่ยนคำมั่นสัญญา แต่ในความเป็นจริง เดิมทีเขาไม่เคยให้คำมั่นใดๆ
หากจะเอ่ยถึงคำมั่นสัญญา การตกลงหมั้นหมายหลายปีก่อนหน้านี้ ถึงจะเป็นคำมั่นสัญญาที่แท้จริง
ความหมายก็คือจวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา เช่นนั้นจะมีคุณสมบัติอะไรมาตำหนิเขาไม่รักษาคำมั่นสัญญาเล่า
ท่าทางของสวีซื่อจีสงบนิ่งจ้องมองเขา เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าเด็กเช่นเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้รึ”
เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบ เตรียมที่จะหมุนกายเข้าไปในตำหนัก
สวีซื่อจีหัวเราะ พลางเอ่ยว่า “ช่างเป็นเด็กเยาว์วัยเสียจริงๆ”
เฉินฉางเซิงหยุดชะงัก เพราะว่าเขาพลันรู้สึกว่าร่างกายของตนแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
ประโยคง่ายๆ ของสวีซื่อจี ทำให้หัวใจของเขาแน่นขึ้นฉับพลัน ระดับการหมุนเวียนของเลือดในหลอดเลือดเปลี่ยนเป็นเร็วจนน่าหวาดกลัว พลังลมปราณที่ดุร้ายและกระหายเลือดควบคุมร่างกายและจิตใจของเขา
ใบหน้าของเฉินฉางเซิงมีสีแดงก่ำที่ไม่แข็งแรงผุดขึ้นมา น่าเกลียดอย่างยิ่ง จนถึงเวลานี้ เขาเพิ่งจะแน่ใจ ผู้แกร่งกล้าระดับสวีซื่อจี หากปรารถนาจะสังหารคนธรรมดาเช่นเขา ก็เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่ง
เขายืนอยู่ประตูด้านข้างตำหนัก มองไปยังแสงสว่างที่อยู่ในตำหนัก
ถึงแม้จะเป็นเวลาค่ำคืน แต่ยังคงสว่างไสวดังกลางวัน
ไม่มีผู้ใดกล้าสังหารคนท่ามกลางฝูงชนในพระราชวัง โดยเฉพาะเป็นค่ำคืนที่สำคัญอย่างยิ่ง เกรงว่าแม้จะเป็นสวีซื่อจีก็คงมิกล้า แต่เพราะว่าค่ำคืนนี้มีความสำคัญยิ่งนัก สวีซื่อจีคงไม่ยินยอมเบิกตาค้างจ้องมองเขานั่งอยู่ในตำหนักที่สามารถยืนขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำลายงานเลี้ยงมโหฬารที่ทุกคนเฝ้ารอ การหมั้นหมายครั้งนี้
สวีซื่อจีสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก จนกระทั่งทำให้เขาสลบไสลไม่ได้สติ เช่นนี้ถึงแม้จะมีความยุ่งยาก แต่สามารถกำจัดการเปลี่ยนแปลงก่อนได้
เฉินฉางเซิงชัดเจนยิ่งนักว่าสวีซื่อจีอยากจะทำสิ่งใด หากเปลี่ยนเป็นเขา ก็คงจะเลือกวิธีที่เสี่ยง แต่เขามิได้เสียใจที่ไม่ได้อยู่ในตำหนัก แต่มาพบสวีซื่อจีด้านนอกตำหนัก เพราะว่าเหมือนกับอยู่จวนสวี อยู่นอกหอจงซื่อ เขาคิดว่าตนเองไม่ได้ทำสิ่งที่ผิด ดังนั้นจึงมิได้เกรงกลัว
มือขวาเขาจับกระดุมทำจากนอแรดที่ลั่วลั่วเย็บไว้ด้านในแขนเสื้อ
ทำให้ทุกอย่าง เผยให้เห็นภายใต้แสงสว่างของไข่มุกราตรี
เวลานี้ ในความมืดของบัลลังก์พระตำหนัก พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงนั้นอบอุ่นหาสิ่งใดเปรียบได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมและผ่อนคลาย
ประหนึ่งลมฤดูใบไม้ผลิปะทะใบหน้า
“ท่านขุนพลเทพสวี ท่านมาอยู่ตรงนี้ทำอะไรหรือ”
บุรุษอ่อนวัยเดินออกมาจากความมืด สวมอาภรณ์สีเหลือง หวีเกศาเป็นระเบียบ พระพักตร์งดงาม ลักษณะท่าทางอบอุ่น
ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่มองเหตุการณ์นี้ ล้วนแต่ชัดเจนว่าระหว่างสวีซื่อจีกับเฉินฉางเซิงมีปัญหา แต่บุรุษอ่อนวัยผู้นี้ยังคงเอ่ยถามด้วยความสงบนิ่ง ถามอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่ากำลังทักทายกับสวีซื่อจี เพียงแค่เป็นการเริ่มถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้นเอง
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามายามค่ำคืน
พลังลมปราณที่คาวโลหิตและดุร้ายหายไปในพริบตา
เฉินฉางเซิงหลุดพ้นจากอันตราย สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดีขึ้น
สวีซื่อจีจ้องมองบุรุษอ่อนวัยผู้นั้น ทำความเคารพ “คารวะเฉินหลิวอ๋อง ข้าน้อยมาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย บังเอิญพบสหายเก่า ดังนั้นจึงสนทนาไม่กี่ประโยคพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินฉางเซิงตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดนี่คือเฉินหลิวอ๋องที่เล่าขาน
เฉินหลิวอ๋องจ้องมองเขา ราวกับว่าตกตะลึง พลางเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
สวีซื่อจีขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ฝ่าบาทรู้จักเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินหลิวอ๋องทรงแย้มพระสรวลพลางตรัส “นักเรียนคนแรกของสำนักฝึกหลวงในหลายปีมานี้ ข้ามิปรารถนาจะรู้จักเห็นทีจะยาก”
ตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองราชย์ เชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์เฉินทั้งหมดถูกเนรเทศไปยังนอกเมืองที่มีคนคอยจับตาดู มีเพียงแค่เฉินหลิวอ๋องที่ยังพำนักอยู่ที่จิงตู และยังเจริญพรรษาอยู่ในพระราชวัง
เฉินหลิวอ๋องเป็นสายเลือดของราชวงศ์เก่าเพียงคนเดียวที่อยู่ในจิงตู ทรงเป็นตัวแทนของความหมายมากมาย
เมื่อหลายวันก่อนที่สำนักฝึกหลวงปรากฏออกมาท่ามกลางสายตาของทุกคน จากที่ทุกคนมองเห็น นั่นก็เป็นการแทนความหมายมากมาย
สิ่งที่บังเอิญก็คือ ความหมายที่ทั้งสองได้เป็นตัวแทน ล้วนแต่เป็นความหมายที่เหมือนกัน